Wednesday, March 31, 2010

สอบจีที200แบบไหนผมก็พร้อมทุกที่ทุกเวลา

สอบจีที200แบบไหนผมก็พร้อมทุกที่ทุกเวลา



คมชัดลึก : "ใช้มาหลายพันครั้ง ไม่เคยผิดพลาดเลย ฉก.ที่ใช้มาก็มีผลงานมาตลอด แต่พอผิดพลาด 2 ครั้งก็มาโจมตีถึงขั้นไม่ให้ใช้ในพื้นที่ ผมคิดว่าไม่ถูกนะ"






 พ.อ.ทวีศักดิ์ จันทราสินธุ์ ผบ.หน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด กองทัพบก เผยเส้นทางชีวิตที่มุ่งมั่นจะเป็น "นักกู้ระเบิด" ก่อนจะใช้ประสบการณ์เข้ามาพิทักษ์ชีวิตผู้คนในภาคใต้ด้วย "จีที 200" ซึ่งเขาพร้อมพิสูจน์ประสิทธิภาพทุกที่ทุกเวลา
@ ทำไมถึงเลือกเป็นนักกู้ระเบิด ทั้งที่นักเรียน จปร. ส่วนใหญ่จะเลือกหน่วยรบหลักอย่าง ราบ-ม้า-ปืน ทั้งนั้น
 ตอนที่เรียน จปร. ผมชอบเล่นเอฟเฟกต์ เวลาเขาสอนเกี่ยวกับระเบิดก็ชอบเข้าไปร่วมด้วยประจำ
 พอใกล้จะจบ ช่วงปี 5 มีการเลือกเหล่า ผมก็มองสิ่งที่ตัวเองชอบว่าน่าจะเป็นเหล่าเกี่ยวกับอาวุธ วัตถุระเบิด และพาหนะ ก็เลยเรียนสรรพาวุธ ทั้งที่เพื่อนมองว่าเราน่าจะเป็นทหารราบ หรือทหารม้า เพราะเราได้คะแนนดีเป็นอันดับต้นๆ ด้วย
 จบมาก็ไปอยู่ จ.ร้อยเอ็ด ตอนนั้นมีสมรภูมิช่องบก จ.อุบลราชธานี อยู่ที่นั่นหลายปี แล้วย้ายไปอยู่กองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์
 ต่อมา ก็ย้ายไปอยู่ จ.ปราจีนบุรี อยู่กองกำลังบูรพา ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วย้ายกลับกรมสรรพาวุธเป็นหัวหน้าแผนกวิจัยอาวุธโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์
 จากนั้นก็มาเป็นหัวหน้าคณะทำงานผู้บังคับบัญชากรมสรรพาวุธ ช่วงนั้นมีเหตุการณ์ "สุรสีห์ 143" ก็อยู่ จ.เชียงใหม่ ช่วงหนึ่ง แล้วกลับมาเป็นอาจารย์หัวหน้าแผนกอาวุธนำวิถี พอดีมีเหตุคลังแสงระเบิดที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ผมก็ไปช่วยเก็บระเบิดอยู่ 6 เดือน
 เสร็จแล้วก็มาเป็น "พันเอก" ที่แผนกอาวุธนำวิถี เป็นครูของอีโอดี (ชุดกู้ระเบิด) ทุกเหล่าทัพ แต่อยู่ได้ 2 อาทิตย์ก็เกิดเหตุความไม่สงบที่ภาคใต้จึงสมัครใจเข้าทำงานตั้งแต่นั้น
@ ภารกิจเก็บกู้ระเบิดในช่วงแรกๆ กับทุกวันนี้แตกต่างกันแค่ไหน
 เริ่มต้นมีกำลังพลสมัครใจไป 29 คน รับผิดชอบ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ตอนนั้นอีโอดีเหล่าทัพอื่นยังไม่มี พอมีเหตุระเบิดที่ไหนเราต้องไปหมด แต่ปีแรกยังน้อยอยู่ แต่พอเข้าปี 2548 เริ่มเยอะขึ้นก็เลยเพิ่มคนไปอีกเท่าตัว แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี ซึ่งถ้ามีหุ่นยนต์กู้ระเบิดมาช่วยด้วยก็จะช่วยแบ่งเบาภารกิจ และช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกมาก
@ ครั้งไหนที่เฉียดตายที่สุด 
 เสี่ยงทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาตั้งเวลาระเบิดเอาไว้ แต่มันไม่ทำงาน บางครั้งเราทำลายมันได้ก่อนที่จะหมดเวลา แต่บางครั้งมันเลยเวลาแล้วไม่ระเบิดก็มี ผมเองหลายครั้งก็ต้องแต่งบอมบ์สูทเข้าไปเอง เพราะในทีมจะหมุนวนหมายเลขกันไป ทุกคนต้องทำงานเหมือนกันหมด
@ ข้อห้ามสำคัญของนักกู้ระเบิด
 มันมีขั้นตอน หรือหลักการนิรภัยอยู่แล้ว ทุกคนรู้ดี แต่หลักๆ เลยอย่างการอยู่ในค่าย การออกไปไหนที่ไม่ใช่งานเก็บกู้นอกค่าย ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ให้ออก ถึงจะออกก็ต้องขออนุญาต แต่ในค่ายเราก็มีเครื่องหย่อนใจพร้อม ทั้งยูบีซี คาราโอเกะ อาหาร-เครื่องดื่ม ส่วนการเตรียมพร้อมจะมีชุดปฏิบัติการ 1 ทีม มีชุดเตรียมพร้อม 1, 2, 3 ซึ่งสามารถเลื่อนมาปฏิบัติการแทนกันได้ตลอด
@ เวลาเดินทางหรือเข้าจุดเกิดเหตุ กลัวถูกซุ่มยิงหรือลอบวางระเบิดบ้างไหม
 ก็มีบ้างนะ แต่มันก็ต้องไป ส่วนเวลาถึงที่เกิดเหตุก็มีขั้นตอนการนิรภัย เช่น การเปิดเครื่องตัดสัญญาณต้องเปิดก่อนที่รถจะจอดหรือใช้สูตร 5-25 คือ ลงจากรถต้องตรวจรอบตัว 5 เมตร ทั้งหมดลงจากรถต้องตรวจรอบรถอีก 25 เมตร จากนั้นก็ตรวจพื้นที่ด้วย จีที 200
@ คิดอย่างไรกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขณะนี้ ทั้งที่จีที 200 ช่วยเซฟชีวิตมาตลอด 5-6 ปี
 ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทอะไรทั้งสิ้น และเป็นคนเลือกไปเองด้วย จากนั้นก็ใช้มาหลายพันครั้ง ไม่เคยผิดพลาดเลย ฉก.ที่ใช้มาก็มีผลงานมาตลอด แต่พอผิดพลาด 2 ครั้งก็มาโจมตีถึงขั้นไม่ให้ใช้ในพื้นที่ ผมคิดว่าไม่ถูกนะ แล้วผลงานที่ทำมาตั้งแต่ต้นมันอยู่ตรงไหน
@ คิดอย่างไรกับกระแสเรียกร้องให้พิสูจน์จีที 200
 ผมกลัวเขาจะเป็นแนวร่วมมุมกลับ คือ เป็นแนวร่วมของกลุ่มก่อความไม่สงบโดยไม่รู้ตัว เพราะตอนนี้กลุ่มโจรหวาดระแวงเครื่องจีที 200 ที่เราใช้อยู่ ไม่กล้ามีวัตถุระเบิดในครอบครอง ไม่กล้าขนย้าย พอมีข่าวว่าใช้งานไม่ได้ โจรก็เริ่มออกมาวางระเบิดมากขึ้น
@ แม้กองทัพจะเปิดพื้นที่ให้พิสูจน์แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เชื่อถือ พร้อมพิสูจน์ในสถานที่ที่เป็นกลางไหม
 ยืนยันเหมือนเดิม ทุกที่ ทุกเวลา จะตรวจสอบแบบไหนผมก็พร้อมเสมอ ในสถานที่เป็นกลางพิสูจน์ง่ายกว่านี้เยอะ เพราะในค่ายทหารมีสารปนเปื้อนทั้งอาวุธปืน และวัตถุระเบิด แต่เครื่องก็ชี้ได้อย่างแม่นยำ ยิ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีการปนเปื้อน ผมว่าร้อยทั้งร้อยเลย
@ ถ้าผลพิสูจน์ว่าใช้งานไม่ได้ก็พร้อมยอมรับใช่หรือไม่
 ผมยอมรับผลการพิสูจน์ทุกอย่าง ถ้าเครื่องไม่ชี้ผมก็ยอมรับ 100%
เรื่อง:อาคม ไชยศรภาพ:กิตตินันท์ รอดสุพรรณ








ข่าวที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความเข้าใจจีที200ที่ตลาดบางนาด 'อนุพงษ์'ไฟเขียวสัปดาห์หน้าผ่าจีที200จีที200...ข้ออ้างมีดีกว่าไม่มีฟังไม่ขึ้นตร.โชว์ใช้จีที200ค้นยาเสพติดบนรถทัวร์1.4พันเม็ดบ.เอวิเอนำเข้าจีที200ยันเครื่องใช้งานได้ผลไม่ตุ๋น

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

อภิสิทธิ์โชว์ไทยอู่ข้าวอู่น้ำของโลก

อภิสิทธิ์โชว์ไทยอู่ข้าวอู่น้ำของโลก



คมชัดลึก :นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ถึงการเดินทางไปร่วมประชุม World Economic Forum ครั้งที่ 40 ยันต่างประเทศมีความั่นใจและเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น โชว์ไทยอู่ข้าวอู่น้ำของโลก ยันโครงการไทยเข้มแข็งทำเศรษฐกิจฟื้น






เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 31 ม.ค. นายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 55  ผ่านระบบ Tele Presence จากเมืองดาวอส สหพันธรัฐสวิส  มายังชั้น 28 บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์  ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย  และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย  ดังนี้
ช่วงที่ 1 
ผู้ดำเนินรายการ ท่านได้พูดในช่วงต้นว่าครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญเหมือนกันที่ทำให้เราได้ตอกย้ำประเทศไทยใน ฐานะที่เป็นผู้ส่งออกอาหาร  ตรงนี้ท่านได้นำเสนออะไรในเวทีการประชุมครั้งนี้บ้างคะ
นายกรัฐมนตรี  ได้นำเสนอหลัก ๆ นะครับ 1. ไทยเข้มแข็ง  ซึ่งกำลังเข้าไปแก้ปัญหาในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน คือเรื่องแหล่งน้ำ เรื่องการขนส่ง ซึ่งจะช่วยทำให้ผลผลิตต่อไร่เราสูงขึ้น  ต้นทุนในเรื่องของการนำ สินค้าเกษตรมาสู่ตลาดลดลง ซึ่งควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรทางด้านอื่น ๆ เช่น ที่ทำกิน หนี้สิน 
2. คือได้พูดถึงการที่เราปรับเปลี่ยนโครงการการแทรกแซงพืชผลทางการเกษตร  ของระบบจำนำมาเป็นระบบประกัน  ซึ่งทำให้เงินที่เราใช้เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม แต่ประโยชน์ไปตกอยู่กับเกษตรกรในจำนวนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว  ที่สำคัญคือว่าเป็นนโยบายที่เอื้อต่อการที่ทำให้สินค้าเกษตรของเรามีคุณภาพ แข่งขันได้  แล้วก็เป็นการกระตุ้นกลไกตลาดที่จะช่วยนำไปสู่ประสิทธิภาพ และโอกาสที่ดีกว่าสำหรับเกษตรกรต่อไป  ซึ่งอันนี้ก็เป็นประสบการณ์ซึ่งหลายประเทศเขากำลังดำเนินการ  เริ่มจะปรับเปลี่ยนนโยบายการแทรกแซงพืชผลทางการเกษตร มาเป็นในลักษณะของการที่จะช่วยเหลือเป็นเรื่องของรายได้ให้แก่เกษตรกรโดยตรงมากกว่า และก็จะเอื้อต่อเรื่องของการที่จะทำให้เรามีสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น  แก้ปัญหาความไม่มั่นคง หรือจะสร้างความมั่นคงทางอาหารต่อไป
ผู้ดำเนินรายการ  เรื่องร้อนที่เกิดขึ้นในการถกกันมากในเวทีดาวอสครั้งนี้คืออะไรคะ
นายกรัฐมนตรี  ถ้าพูดถึงสภาพทั่วไป ก็จะเป็นเรื่องปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน  เพราะว่าในขณะที่เศรษฐกิจต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้นมา  ความห่วงใยประการหนึ่งก็ยังมีอยู่ว่า  สถาบันการเงิน ธนาคารซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงไปหรือยัง จะมีการปฏิรูประบบการกำกับดูแลอย่างไร  เพราะฉะนั้น ก็เป็นหัวข้อที่ถกเถียง เพราะว่าในด้านหนึ่งทุกคนก็เห็นว่า ต้องเข้มงวดกวดขันกันมากขึ้นในเรื่องของภาคการเงิน  แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็กลัวว่าถ้าไปเข้มงวดกวดขันสุดโต่งเกินไป อาจจะไม่เป็นผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในวันข้างหน้า  แต่ว่าผมเองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องมากนักกับการถกเถียงในส่วนนี้ เพราะว่าในส่วนของเอเชียเป็นที่ยอมรับเลยว่าเราไม่ได้ประสบกับปัญหานี้เลยในวิกฤตรอบนี้  เขาก็เชื่อว่าเราได้บทเรียนมาตั้งแต่ปี  2540 ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง  และขณะนี้เขาก็มองเห็นว่าลู่ทางของเราทางด้านการเงินไม่ได้มีปัญหาอะไร 
ผู้ดำเนินรายการ  2 วันที่ผ่านมาอะไรที่เป็นสิ่งท้าทายที่สุดของบรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่มาพูดคุยหารือกันคะ
นายกรัฐมนตรี ผมว่าในใจหลายคนยังมีความผิดหวังกับการประชุมที่โคเปนเฮเกนในเรื่องของสิ่งแวดล้อม  สภาพภูมิอากาศ  แล้วต้องยอมรับครับผมพบกับท่านประธานาธิบดีเม็กซิโก  ซึ่งจะเป็นประธานในเรื่องนี้ในปีนี้  ท่านยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าจะเป็นงานยากมาก  ไม่เพียงแต่ว่าครั้งที่แล้วไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้  แต่ว่าท่านมีความรู้สึกว่าความไว้วางใจ  การทำงานร่วมกันระหว่างประเทศต่าง ๆ  มันก็เหมือนกับมาเริ่มต้นกันใหม่  ซึ่งมีความหนักใจในเรื่องนี้มาก 
อันนี้ชัดเจนมากนะครับ  เพราะเป็นสิ่งซึ่งแทรกอยู่กับทุกหัวข้อที่มีการประชุมกันว่าผิดหวังในเรื่องของโคเปนเฮเกน  และก็อยากจะเห็นความร่วมมือทางด้านนี้คืบหน้า เช่นเดียวกับเรื่องของการเจรจาการค้า และก็มีการพูดกันมากถึงเรื่องการปฏิรูประบบการดูแลเศรษฐกิจโลก  ตัวองค์กรอย่าง  IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) ธนาคารโลก อยู่ในระหว่างการปฏิรูปอยู่แล้ว  แต่ครั้งนี้พูดกันในหมู่ภาครัฐด้วยกันนะครับ  พูดกันค่อนข้างแรงถึงสหประชาชาติ ว่าอยากจะต้องมีการยกเครื่องกันครั้งใหญ่ เพราะว่าไม่สามารถที่จะตอบสนองปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ที่ประเทศทั่วโลกกำลังจะเป็น
ผู้ดำเนินรายการ  ในโอกาสที่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับนักธุรกิจ  เขาสนใจที่จะมาลงทุนในบ้านเรามากน้อยแค่ไหน
นายกรัฐมนตรี  คือมีช่วงหนึ่งที่เขาจัดให้มาฟังเรื่องประเทศไทยโดยเฉพาะ ซึ่งหลายคนที่มาจะมีทั้งที่ลงทุนอยู่แล้ว หรือกำลังมา  ตั้งใจที่จะทำมาลงทุนเพิ่มเติม  และหลากหลายมากนะครับ  มีตั้งแต่ปิโตรเคมี  อุตสาหกรรมยา  อุตสาหกรรมการเกษตร  เรียกว่าเกือบจะทุกด้านเลย  ที่น่าดีใจคือว่าเวลาที่ประชุมเสร็จ คือหมายความเลิกในช่วงนั้นก็จะมีคนเข้ามา และก็ยืนยันว่าสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทย  หรือขยายการลงทุนในประเทศไทย  แม้แต่ในประเด็นนี้อาจจะยังมีปัญหาอยู่  เขาก็ยังสนใจ 
ผู้ดำเนินรายการ  สุดท้ายแล้วเราได้อะไรจากการประชุมที่ดาวอสในครั้งนี้คะ
นายกรัฐมนตรี   ผมคิดว่าได้มาช่วยตอกย้ำว่า 1. ประเทศไทยฟื้นตัวแล้ว  ปีที่แล้วผมมานี่ในภาวะที่คนทุกคนพูดตรง ๆ ก็คือว่าเป็นห่วงมากว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าได้หรือเปล่า แต่ผมเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง พูดกันตรง ๆ ตอนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าปีนี้ผมจะมีโอกาสมาที่นี่หรือเปล่า   แต่ว่าปีนี้เขารับรู้ถึงความก้าวหน้า 1 ปีที่ผ่านมา  เขาได้มองเห็นว่าประเทศไทยเริ่มกลับมาเดินหน้าแล้ว  ถึงความมั่นใจในเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขต่าง ๆ ยืนยันถึงการฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี  และได้รับทราบสิ่งที่เราได้วาง เหมือนกับเป็นจุดขาย จุดแข็งของเรา เช่น ภาคการเกษตร  การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ครับ
ผู้ดำเนินรายการ  อยากกลับมาเรื่องของการเมืองบ้างนะคะ  หลังจากคุยเรื่องดาวอสไปค่อนข้างเยอะแล้ว  เรื่องการเมืองในบ้านเรา เรื่องร้อน ๆ ก็ยังเป็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  อยากให้ท่านนายกฯ ให้ความมั่นใจอีกสักครั้งหนึ่งว่า ความเห็นที่แตกต่างจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี  คือเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ผมเท้าความสั้น ๆ ว่าตอนที่จัดตั้งรัฐบาลก็เป็นประเด็นหนึ่ง ซึ่งเราหยิบยกมาคุยกัน  แล้วก็ได้พูดกันชัดเจนอย่างนี้ว่า  1. ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประเด็น ไม่ควรที่จะทำ  เพราะทำแล้วจะเกิดความขัดแย้ง  เพราะว่าปี 2551 ถ้าจำได้ชนวนของการเคลื่อนไหวชุมนุมกันตั้งแต่ต้นก็คือเรื่องนี้   ก็เห็นตรงกัน เช่น ประเด็นไหนที่นำไปสู่เรื่องการนิรโทษกรรม เรื่องอะไร  เราก็บอกว่าอย่าไปทำ 
2. เราบอกว่าถ้าการแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นที่มีความจำเป็น เช่น เขียนในทางเทคนิคแล้วมันเป็นอุปสรรค  ประเด็นไหนที่คิดว่าจะส่งเสริมประชาธิปไตยให้แก้ไขแล้ว อันนี้ตกลงกันเลยว่าอย่างนี้เดินหน้าด้วยกัน  ขณะเดียวกันมันก็มีรัฐธรรมนูญอีกหลายมาตรา หลายประเด็น  ซึ่งไม่เข้าข่ายทั้งเรื่องการไปนิรโทษกรรม สร้างความขัดแย้ง และก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขหรือว่าพัฒนาระบอบประชาธิปไตยโดยตรง  หนึ่งในประเด็นเหล่านั้นคือเรื่องเขตเลือกตั้ง  ซึ่งผมพูดกับพรรคร่วมตั้งแต่ตอนที่ไปคุยกับเขาตอนจัดตั้งรัฐบาล  ว่าประเด็นนี้ความเห็นเรายังไม่ตรงกัน  พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไปเสนอตอนที่เขามีการทำร่างรัฐธรรมนูญว่า เราเชื่อว่าระบบปัจจุบันที่เป็นเขตใหญ่  มันดีกว่า เพราะว่าเราเห็นว่ามันลดความแตกแยกในการแข่งขัน  ทำให้การแข่งขันรุนแรงน้อยกว่า เพราะฉะนั้น แก้ปัญหาธุรกิจการเมืองได้ส่วนหนึ่งด้วย และเห็นว่าการที่เป็นเขตใหญ่ช่วยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มีความตระหนักถึงภาระหน้าที่ระดับชาติมากกว่า  
ช่วงที่ 2
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ก่อนที่ผมจะออกเดินทางไปดาวอสนะครับ ซึ่งเดินทางไปเมื่อคืนวันพฤหัสบดี มีงานหลายด้านครับที่มีความคืบหน้าและก็อยากจะถือโอกาสนี้รายงานให้กับพี่น้องประชาชนได้รับทราบนะครับ เรื่องแรกคงจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจครับ ที่ตลอดระยะเวลาในช่วงสัปดาห์ - 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างชัด ตัวเลขที่ยังไม่ได้รายงานให้พี่น้องทราบผ่านทางรายการ ก็จะมีเช่นในที่สุดปีที่แล้วการขอรับการส่งเสริมการลงทุนนั้นถ้าคิดเป็นมูลค่าของโครงการต่าง ๆ รวมกันแล้ว ถึงประมาณ 700,000 ล้านบาทนะครับ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 400,000 ล้าน เรียกกว่าสูงกว่าเป้าหมายที่เราคาดคิดเอาไว้ อาจจะเรียกว่าร้อยละ 60 ทีเดียวนะครับ ซึ่งอันนี้ก็เป็นผลมาจากการที่เรามีมาตรการที่จะส่งเสริมการลงทุนเป็นกรณีพิเศษจนถึงปลายปีที่แล้ว ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนในหลายสาขาจากหลายประเทศ ทำให้ตัวเลขตรงนี้สูงขึ้นมามาก และเราได้ตั้งเป้าเอาไว้ครับว่าสำหรับปี 2553 นี้ ก็อยากจะให้มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันนะครับ ที่ผมได้เคยรายงานว่าเราได้จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเกินเป้าทั้งปีนี้อาจจะเกือบถึง 200,000 ล้าน ก็ทำให้เราสามารถที่จะกำหนดนโยบายงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2554 ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคมของปีนี้ โดยลักษณะของงบประมาณที่เราได้อนุมัติในครม. นะครับ ก็เป็นงบประมาณขาดดุลครับ คือเราประมาณการกันว่าการจัดเก็บรายได้สำหรับปีที่จะถึงนี้ จะขยับมาอยู่ที่ประมาณ 1,650,000 ล้าน และจะตั้งงบประมาณในลักษณะที่เป็นการขาดดุล เพราะฉะนั้นก็จะมีงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่ายประมาณเกิน 2 ล้านล้านบาทมาเล็กน้อย ที่น่ายินดีก็คือจากโครงสร้างงบประมาณที่เราได้ดูและจะจัดทำนี้นะครับ สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นได้มากก็จะเป็นเรื่องของงบลงทุนครับ ซึ่งปีที่แล้วงบลงทุนจะมีอยู่ที่ประมาณ 200,000 ล้าน ปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 340,000 กว่าล้านนะครับ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละเกือบร้อยละ 60 ทีเดียว เพราะฉะนั้นผมคิดว่าจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดีขึ้น การจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถจะใช้กระบวนการของงบประมาณกลับมาใช้ในการลงทุนเพื่อทำโครงสร้างพื้นฐาน และกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นอันนี้ก็จะเป็นแนวโน้มในเรื่องของเศรษฐกิจ และการจัดทำงบประมาณซึ่งจะมีขึ้นในปีงบประมาณต่อไป
นอกจากเรื่องของภาพรวมทางเศรษฐกิจนะครับ มีเรื่องของเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนอีกจำนวนมากนะครับในระดับของผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดย่อม และในส่วนของพี่น้องในชุมชนต่าง ๆ นั่นก็คือเรื่องแรกก็คือเราได้จัดนิทรรศการ SMEs หรือ SMEs EXPO ซึ่งวันนี้คือวันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายนะครับที่พี่น้องประชาชนสามารถที่จะไปเยี่ยมชม ซื้อสินค้าจากเอสเอ็มอีต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงสินค้าอยู่ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จะได้ไปเห็นถึงความก้าวหน้าการพัฒนาของอุตสาหกรรมขนาดกลางขนาดย่อมของประเทศ ซึ่งรัฐบาลนั้นให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกันในวันนี้นะครับคือวันอาทิตย์ก็มีการจัดทำประชาคมชุมชนพอเพียง โครงการชุมชนพอเพียงพร้อมกันทั่วประเทศ คงจะจำได้นะครับว่าโครงการชุมชนพอเพียงนั้นเป็นโครงการซึ่งรัฐบาลได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบแรกครับ แต่ว่าต่อมานี้พบปัญหาในเรื่องของการทุจริตที่เกิดขึ้นในบางโครงการในบางพื้นที่ ก็มีการมาทบทวนการจัดทำโครงการนี้ใหม่นะครับ และคุณมีชัย วีระไวทยะ ได้เข้ามาทำงานทางด้านนี้ วันที่ 31 คือวันนี้ครับเป็นวันที่ได้มีการกำหนดให้มีการจัดทำประชาคมพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งมีการเชิญชวนพี่น้องประชาชนนะครับ จริง ๆ แล้วใครก็ตามมีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปก็สามารถที่จะไปประชุมในชุมชนหรือหมู่บ้านของท่าน เพื่อช่วยกันคิดและจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสร้างรายได้ สร้างอาชีพ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากจน หรือเป็นโครงการที่ส่งเสริมอนุรักษ์รักษาป่า น้ำ ดิน และศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าอยากจะเห็นโครงการใด ๆ เกิดขึ้นอยู่ในชุมชนของท่าน สอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียงนั้นก็ขอให้ไปร่วมประชุมในการจัดทำประชาคมซึ่งกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ อันนี้ก็คืองานทางด้านเศรษฐกิจทั้งที่เป็นเศรษฐกิจภาพรวม และเศรษฐกิจระดับชุมชนและของพี่น้องประชาชนที่มีการดำเนินการ
สุดท้ายครับในเรื่องของเฮตินั้นอยากจะเรียนครับว่ามีความคืบหน้าในการช่วยเหลือของรัฐบาลในหลาย ๆ ด้านนะครับ เงินของรัฐบาล 100,000 เหรียญมอบกันไปเรียบร้อย และก็มีการจัดซื้อของและนำส่งถึงประชาชนในเฮติ ขณะเดียวกันเมื่อสักครู่ผมได้บอกไปแล้วว่าเรากำลังจัดส่งข้าวนะครับ โดยในส่วนแรกนั้นจัดส่งทางเครื่องบินไปก่อนนะครับ เพราะว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะนำเอาข้าวนั้นไปถึงประชาชนชาวเฮติ ส่วนข้าวที่เหลือซึ่งทั้งหมดมีอยู่ 20,000 ตันก็จะทยอยส่ง แต่จะเป็นการส่งทางเรือ ซึ่งก็จะดูประสานให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการในการช่วยเหลือในเรื่องของอาหาร และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมก็ได้พูดนะครับว่านอกเหนือจากเรื่องของข้าว เรื่องของเงินที่เป็นของภาครัฐและที่ภาคเอกชนมาร่วมบริจาคผ่านรัฐ ซึ่งขณะนี้ยอดของการบริจาคผ่านศูนย์ของรัฐบาลก็หลายสิบล้านแล้ว และยังมีของเอกชนที่เกิน 100 ล้านแล้ว เราได้พูดถึงเรื่องการส่งแพทย์หรือช่างเข้าไปช่วยเหลือ ขณะนี้ก็มีการจัดส่งทีมล่วงหน้าเดินทางไปที่เฮติ ซึ่งก็จะเป็นการปูทางไปสู่การที่เราจะส่งคนของเรานั้นเข้าไปมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูเฮติ หลังจากที่ประสบกับภัยพิบัติ ซึ่งก็จะเป็นอีกครั้งหนึ่งนะครับที่พี่น้องประชาชนคนไทยได้แสดงออกให้เห็นถึงความมีน้ำใจของเราที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนะครับ สัปดาห์นี้คงจะมีเวลาเพียงเท่านี้ครับในการรายงานงานต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมา รวมทั้งการเดินทางมาที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ของผมในช่วงวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เสาร์ สำหรับสัปดาห์หน้าจะกลับมาพบกันใหม่ครับ หลังจากที่ผมเดินทางกลับไปที่ประเทศไทยแล้วครับ สวัสดีครับ
อย่างไรก็ตามนายอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทางการ ถึงผลการประชุมในเวทีต่างๆ โดยได้กล่าวถึงเวทีการอภิปรายหัวข้อ Towards an East Asian Community ว่าได้กล่าวสุนทรพจน์ และแสดงความคิดเห็นในประเด็นการรวมกลุ่มของประเทศในเอเชียตะวันออก ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เล่าถึงประสบการณ์ในฐานะประธานอาเซียน ว่าช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา ได้มีการผลักดันความร่วมมือของในประเทศเอเชีย ทั้งเรื่องเขตการค้าเสรี  ข้อริเริ่มเชียงใหม่ และการรับพิจารณาข้อเสนอของประเทศคู่เจรจา อาทิ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เกี่ยวกับการขายยความร่วมมือในกลุ่มเอเชียตะวันออกให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปัจจุบัน และรัฐมนตรี รวมถึงผู้แทนของอินเดีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี  ซึ่งเห็นได้ว่าประเทศต่างๆมีความคาดหวังสูงกับภูมิภาคเอเชีย ในฐานะต้องเป็นกลไกในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ ถือเป็นโอกาสที่ดี และคิดว่าสิ่งที่ได้ทำในฐานะประธานอาเซียนนั้นประเทศต่างๆได้รับทราบและเห็นว่าเป็นทิศทางที่ดี ในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยด้วย  
ส่วนในการหารือ หัวข้อ Business Interaction Group on Thailand ซึ่งมีภาคเอกชนจากประเทศต่างๆเข้าร่วมหารือว่าได้มีการพูดคุยกับนักลงทุนที่มีความสนใจในประเทศไทยโดยตรง  โดยนายกรัฐมนตรีได้เล่าถึงนโยบายและการทำงานในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ชัดเจนว่า มี่การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และนักลงทุนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ ในการแก้ปัญหาในภาพรวม ส่วนปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้น เช่นกรณีมาบตาพุด มีความห่วงใยทางการเมือง หรืออุปสรรคในการค้า และลงทุนนั้น นายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้ อธิบายการดำเนินการ แก้ไข มีกลไกอย่างไร จากากรทีได้สัมผัสกับภาคเอกชนเหล่านี้ รู้สึกพึงพอใจแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เชื่อว่า ความสนใจที่จะขยายการลงทุน และการที่จะเข้ามาประเทศไทย คงมีมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดี ทัง้นี้ นักธุรกิจส่วนใหญ่ที่สนใจมักมีธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ธุรกิจปิโตรเคมี โทรคมนาคม ยา รองเท้า ภาคเกษตร แต่ยังมีความเชื่อว่า จะมีโอกาสในการขยายการลงทุนเพิ่มเติมมากขึ้น  
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือผู้นำต่างประเทศ ที่สำคัญได้แก่ ประธานาธิบดีของสวิสเซอร์แลนด์   นายกรัฐมนตรีเบลเยี่ยม  รวมถึง Duke of York ซึ่ง ส่วนใหญ่พูดคุยถึงโอกาสการขยาย การค้า การลงทุนกับไทย โดยเฉพาะสวิสฯเสนอให้ไทยพิจารณาการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับเอฟต้า (สมาคมเอฟทีเอแห่งสหภาพยุโรป) ซึ่งสวิสฯ เป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะให้กระทรวงพาณิชย์ไปศึกษาข้อดี ข้อเสีย โดยเฉพาะเอฟต้า ที่แยกออกมาจากสหภาพยุโรป   ส่วนนายกรัฐมนตรี เบลเยี่ยม  ได้พูดถึงการประชุมเอเชีย-ยุโรป หรือ อาเซม ซึ่งเบลเยี่ยมจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมปลายปีนี้ โดยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นที่เป็นหัวข้อสำคัญของการประชุม ที่จะครอบคลุมตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากนั้นได้ใช้โอกาสนี้ให้ผู้นำในยุโรปรับทราบถึงปัญหา ที่ทางสหภาพยุโรป อาจมีการออกมาตรการซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมาตรการส่งออกของไทย ซึ่งผู้นำได้รับทราบปัญหา และจะสนับสนุนไทย ในการช่วยไม่ให้เกิดมาตรการที่จะมากีดกันไทยมากขึ้น  
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สรุปภาพรวมการประชุมในปีนี้ว่า แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกดีกว่าปีที่แล้วมาก และเห็นชัดเจนมากขึ้นว่าบรรดานักธุรกิจ และผู้นำต่าง ยอมรับบทบาทของเอเชีย ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ยุโรป และสหรัฐ แม้จะมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังเป็นการฟื้นตัวที่ค่อนข้างช้า และยังมีปัญหาการว่างงาน และน่ายินดีที่หลายคนรู้ถึงสิ่งที่ประเทศไทยดำเนินการมาหลายเรื่อง อย่างกรณีความมั่นคงทางอาหาร เมื่อวานได้ขอบคุณ ที่ไทยบริจาคข้าวให้กับเฮติ ทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่ประเทศไทยประกาศ ว่าจะเป็นประเทศที่ช่วยแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหารในระดับโลก ซึ่งจุดนี้คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ว่าจะเป็นประเทศที่ช่วยแก้ปัญหา รวมถึงให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน  
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำ และกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ Davos 2010 Anti-Corruption Private Dinner ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าว เกี่ยวกับการต่อต้านคอรัปชั่น  โดยเปรียบเทียบการคอรัปชั่นเหมือนมะเร็งร้าย  ที่เกิดขึ้นได้ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และยังไม่พัฒนา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีรูปแบบในการติดสินบน ซึ่งอาจมาจากการที่ภาคเอกชนเห็นว่า  เอกชนอื่นๆก็ทำการติดสินบน   และหากมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว อาจทำให้รัฐบาลใช้อำนาจไปในทางที่ผิดได้  ดังนั้นจะต้องมีการแก้ไขปัญหาซึ่งในส่วนของไทยก็มีความพยายามต่อเนื่อง  แต่สิ่งที่ประเทศไทยโชคดีก็คือ  การมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรวงแนะนำให้ทุกคนปฎิบัติตนสุจริต  รวมถึงการที่องค์กรอิสระก็มีความพยายามดูแลปัญหาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเข้าร่วมการอภิปรายหัวข้อ  The Geat Shift in the Global Agenda ซึ่งจัดโดยสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่น โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงบทบาทของกลุ่มประเทศอาเซียน ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะกับการทำเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ กับหลายประเทศ โดยอาเซียนได้มีนโยบายที่เปิดรับทางเศรษฐกิจ ส่วนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน มีผลต่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคต่างๆ เช่นเดียวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่น ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วย
  








ข่าวที่เกี่ยวข้องอภิสิทธิ์มั่นใจศก.ฟื้นตัวเร่งแก้ปัญหาเอสเอ็มอีรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์อภิสิทธิ์โชว์ผลงานแก้ปัญหาภาคใต้
"ลี-นางมา"พิธีกรรายการเชื่อมั่นฯกับนายกฯอภิสิทธิ์

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

มาร์คชี้พฤติกรรมข่มขู่ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย

มาร์คชี้พฤติกรรมข่มขู่ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย



คมชัดลึก :เอแบคโพลล์ระบุความสุขคนไทยเดือนมกราคมลดลง ผลจากความขัดแย้งในสังคมที่เกี่ยวโยงไปยังปัญหาทางการเมือง และความไม่เป็นธรรมในสังคม สวนดุสิตโพลชี้ชัดขัดแย้งแก้รธน.ประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลลดลง อภิสิทธิ์หวั่นแก้ไขรธน.เข้าทางนิรโทษกรรม






นายนพดล กรรณิกา  ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ  เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง  “แนวโน้มความสุขมวลรวม GDH ของคนไทยภายในประเทศประจำเดือนมกราคม 2553 และความตั้งใจจับจ่ายใช้สอยของคนไทยเชื้อสายจีน ในช่วงตรุษจีนปีนี้” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้ที่พักอาศัยอยู่ใน 28 จังหวัดของประเทศ จำนวน 5,570 ตัวอย่าง  ระหว่างวันที่ 24-30 มกราคม  2553 พบว่าในเดือนมกราคมปี 2553 เทียบกับช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ค่าความสุขลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือจาก 7.26 ตกลงมาอยู่ที่ 6.52 โดยพบว่า ความสุขของคนไทยโดยภาพรวมทั้งประเทศที่น่าเป็นห่วงคือ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ตกลงจากที่เคยสูงถึง 5.58 เหลือเพียง 4.06 เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีค่าความสุขคนไทยที่น่าเป็นห่วงเกือบทุกตัวชี้วัด คือ ความเป็นธรรมในสังคมตกลงจาก 7.07 มาอยู่ที่ 5.19 สภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนตกลงจาก 7.09 มาอยู่ที่ 5.87 บรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในชุมชนตกลงจาก 7.58 มาอยู่ที่ 6.67 บรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวตกลงจาก 8.96  มาอยู่ที่ 8.01 และสุขภาพใจของประชาชนก็ตกลงจาก 7.96 มาอยู่ที่ 7.58
 เมื่อจำแนกค่าความสุขมวลรวมของคนไทยตามภูมิภาค พบว่า  คนกรุงเทพฯ มีค่าความสุขต่ำที่สุดคือ 6.17 คนในภาคกลางได้รองสุดท้ายคือ 6.19  ส่วนประชาชนที่มีความสุขมวลรวมมากที่สุดคือ คนในภาคเหนือ ได้ 7.37 และรองลงมาคือ ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ 6.69 ส่วนประชาชนในภาคใต้ ได้ 6.48
 นายนพดล กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ และบรรยากาศความขัดแย้งของผู้ใหญ่ในสังคมไทยขณะนี้ กำลังลดทอนความสุขของประชาชนคนไทยลงไปอย่างน่าเสียดาย  ทั้งๆ ที่ความสุขของประชาชนคนไทยเคยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและกระจายไปในทุกกลุ่มทั่วประเทศ โดยสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อสอบถามเฉพาะกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน ถึงความตั้งใจจะจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีน เรื่องการเซ่นไหว้ อั่งเปา และการท่องเที่ยว ซึ่งพบว่า ประชาชนคนไทยเชื้อสายจีนร้อยละ 36.8 ระบุว่าเตรียมเงินไว้มากกว่าปีที่แล้วในการเซ่นไหว้  แต่ปัญหาการเมืองอาจทำให้เปลี่ยนใจ เช่นเดียวกัน คนไทยเชื้อสายจีนร้อยละ 30.4 ระบุว่าเตรียมเงินไว้มากกว่าปีที่แล้ว สำหรับค่าอั่งเปา แต่ปัญหาการเมืองอาจทำให้เปลี่ยนใจ และคนไทยเชื้อสายจีน ถึงร้อยละ 45.8 ที่ตั้งใจจะใช้จ่ายเงินเรื่องท่องเที่ยว การรับประทานอาหารนอกบ้านมากกว่าปีที่แล้ว  แต่ปัญหาการเมืองอาจทำให้เปลี่ยนใจโดยผลสำรวจพบว่ามีไม่เกินร้อยละ 10 เท่านั้น ที่ตั้งใจจะใช้จ่ายเงินในเรื่องเซ่นไหว้ อั่งเปา และการท่องเที่ยว น้อยกว่าปีที่แล้ว
 อย่างไรก็ตาม มีสองเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับสังคมไทยในผลวิจัยชิ้นนี้คือ ความขัดแย้งของผู้ใหญ่ในสังคมที่เกี่ยวโยงไปยังปัญหาทางการเมือง และความไม่เป็นธรรมในสังคมที่กำลังลดทอนความสุขของคนไทย จึงเสนอให้ผู้ใหญ่ในสังคมเคลื่อนไหวทางการเมืองกันอย่างสร้างสรรค์ แสดงภาพให้สาธารณชนเห็นถึงการจับมือร่วมกันแก้ไขปัญหาของประเทศถึงแม้จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันก็ตาม เพราะอำนาจที่จะทำให้คนไทยจำนวนมากมีความสุขหรือทุกข์ก็อยู่ในการเคลื่อนไหวของผู้ใหญ่เหล่านั้น  แต่ทางออกสำหรับประชาชนคือ การปรับตัวให้อยู่ได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  เพราะเมื่อความแตกแยกตกลงมาอยู่ในครัวเรือน  คนที่เป็นทุกข์ไม่ใช่นักการเมืองและคนที่เคลื่อนไหวให้เกิดความแตกแยก  แต่กลับเป็นคนในครอบครัวและชุมชนมากกว่าที่เป็นทุกข์
 ดังนั้น บรรยากาศความขัดแย้งของผู้ใหญ่ในสังคมและปัญหาทางการเมือง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ลดทอนความสุขของคนไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึงนี้ได้.
สวนดุสิตโพลพบขัดแย้งแก้รธน.ประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลลดลง
 “สวนดุสิตโพล” สำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและ 19 จังหวัดทั่วประเทศจำนวน 1,549 คน ระหว่างวันที่ 28 - 30 มกราคม พ.ศ.2553 กรณีความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาล พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าทางออกของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรเชิญหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคหารือร่วมกันว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นประชาชนว่าต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ และระดมความคิดเห็นของนักกฎหมายที่มีความรู้ด้านรัฐธรรมนูญศึกษาผลดีผลเสียของรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ตามลำดับ
 ผลสำรวจยังพบว่าปัญหาขัดแย้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้ประชาชนห่วงการเมืองไทยอย่างมาก เพราะเกรงว่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดการสลับขั้วทางการเมือง ส่งผลให้เกิดการยุบสภา หรือหากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งพรรคใดถอนตัว อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้ ขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งไม่เป็นห่วง เพราะยังเชื่อมั่นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแก้ไขปัญหานี้ได้ และยังเห็นว่าเป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่น่าจะหาข้อยุติร่วมกันได้ เพราะพรรคการเมืองส่วนใหญ่ต้องการเป็นรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งดังกล่าวได้ส่งผลให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลลดลง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์
อภิสิทธิ์หวั่นแก้ไขรธน.เข้าทางนิรโทษกรรม
 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 55 ผ่านระบบ Tele Presence จากเมืองดาวอส สหพันธรัฐสวิส มายังชั้น 28 บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่า  เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมเท้าความสั้น ๆ ว่าตอนที่จัดตั้งรัฐบาลก็เป็นประเด็นหนึ่ง ซึ่งเราหยิบยกมาคุยกัน แล้วก็ได้พูดกันชัดเจนอย่างนี้ว่า
 1. ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประเด็น ไม่ควรที่จะทำ เพราะทำแล้วจะเกิดความขัดแย้ง เพราะว่าปี 2551 ถ้าจำได้ชนวนของการเคลื่อนไหวชุมนุมกันตั้งแต่ต้นก็คือเรื่องนี้ ก็เห็นตรงกัน เช่น ประเด็นไหนที่นำไปสู่เรื่องการนิรโทษกรรม เรื่องอะไร เราก็บอกว่าอย่าไปทำ
 2. เราบอกว่าถ้าการแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นที่มีความจำเป็น เช่น เขียนในทางเทคนิคแล้วมันเป็นอุปสรรค ประเด็นไหนที่คิดว่าจะส่งเสริมประชาธิปไตยให้แก้ไขแล้ว อันนี้ตกลงกันเลยว่าอย่างนี้เดินหน้าด้วยกัน ขณะเดียวกันมันก็มีรัฐธรรมนูญอีกหลายมาตรา หลายประเด็น ซึ่งไม่เข้าข่ายทั้งเรื่องการไปนิรโทษกรรม สร้างความขัดแย้ง และก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขหรือว่าพัฒนาระบอบประชาธิปไตยโดยตรง
 หนึ่งในประเด็นเหล่านั้นคือเรื่องเขตเลือกตั้ง ซึ่งผมพูดกับพรรคร่วมตั้งแต่ตอนที่ไปคุยกับเขาตอนจัดตั้งรัฐบาล ว่าประเด็นนี้ความเห็นเรายังไม่ตรงกัน พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไปเสนอตอนที่เขามีการทำร่างรัฐธรรมนูญว่า เราเชื่อว่าระบบปัจจุบันที่เป็นเขตใหญ่ มันดีกว่า เพราะว่าเราเห็นว่ามันลดความแตกแยกในการแข่งขัน ทำให้การแข่งขันรุนแรงน้อยกว่า เพราะฉะนั้น แก้ปัญหาธุรกิจการเมืองได้ส่วนหนึ่งด้วย และเห็นว่าการที่เป็นเขตใหญ่ช่วยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มีความตระหนักถึงภาระหน้าที่ระดับชาติมากกว่า
ลั่นพฤติกรรมข่มขู่ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย
 นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ สามารถทำได้ เพราะตนถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพที่สามารถทำได้ แต่สิ่งที่ตนอยากจะเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆ ช่วยกัน คือ กำลังมีคนบางกลุ่มกำลังมีพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคม
 ดังนั้นสิ่งนี้ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าไปดูแลว่าจะเข้าข่ายข่มขู่คุกคามหรือไม่ เพราะการเคลื่อนไหวในลักษณะไม่ใช่หลักประชาธิปไตยแล้ว " ต่อไปหากบ้านเมืองของเราปล่อยให้มีการข่มขู่คุกคามกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ หากปล่อยสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นผมเชื่อว่าต่อไปบ้านเมืองเราก็จะอยู่ไม่ได้ อย่างไรก็ตามหากท่านใดถูกข่มขู่คุกคาม ก็ว่าจะมีอันตราย และอยากจะให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือดูแลให้ ทางรัฐบาลพร้อมจะเข้าในสนับสนุนดูแลให้ "
 เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะช่วงที่จะมีการตัดสินคดีสำคัญ นายกฯ กล่าวว่า  ตามที่เคยบอกไปแล้วว่า ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้จะลำบากหน่อย แต่รัฐบาลเองก็มีหน้าที่ดูแลให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย และขอยืนยันในสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการมา โดยเฉพาะการเคารพสิทธิเสรีภาพ โดยอยู่ภายใต้กฎหมาย
 เมื่อถามว่า มีความเห็นกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มนายทหารที่ออกมาให้กำลังใจผู้บัญชาการทหารบก นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนเห็นว่าเป็นการแสดงออกที่สามารถดำเนินการได้ แต่หากจะถามใจของตนเองไม่อยากจะให้มันเกิดความขัดแย้งในองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ องค์กรต่างๆ หรือแม้แต่นักการเมือง ส่วนที่มีกระแสข่าวการทำปฎิวัตินั้น เรื่องนี้ตนเห็นว่าไม่เห็นมีเหตุผล หรือเงื่อนไขอะไรที่จะต้องมาทำปฎิวัติ ประเทศมีระบบการเมืองที่มีระบบรัฐสภา ซึ่งก็สามารถทำงานำได้ตามปกติ ส่วนรัฐบาลก็พยายามทำงานแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศก็กำลังฟื้นตัวเป็นลำดับ " ดังนั้น ผมจึงมองๆไม่เห็นว่าจะมีการทำปฎิวัติรัฐประหารไปเพราะอะไร และสิ่งหนึ่งที่ผมมีความมั่นใจว่าหากมีการทำปฎิวัติไปแล้ว ผมก็มีความเชื่อว่าก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ "
ยืนยันสื่อเทศไม่มีรัฐประหารและรัฐบาลเคารพหลักกฎหมายนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีขณะร่วมประชุมเศรษฐกิจโลกที่เมืองดาวอสเมื่อวานถึงกระแสข่าวที่ว่ารัฐบาลจะถูกโค่นลงจากอำนาจล้วนเกี่ยวพันกับการตัดสินของศาลในเดือนกุมภาพันธ์เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และความพยายามของม็อบเสื้อแดงที่ต้องการทำลายเสถียรภาพภายในประเทศ แต่ยืนยันว่าไม่มีเหตุผลใดๆที่จะทำให้เกิดการรัฐประหาร  และตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่บริหารประเทศ รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกกลุ่มในประเทศ รวมทั้งยังเคารพหลักกฎหมาย โดยอนุญาตให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลชุมนุมแสดงความคิดเห็นได้
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมีสิทธิที่จะแสดงความเห็น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองด้วยวิธีอื่นใดนอกเหนือจากการเลือกตั้ง และสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งอย่างเร็วเมื่อมีหลักประกันที่มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดเหตุรุนแรงและการข่มขู่ใดๆ แต่ขณะนี้ศัตรูทางการเมืองกำลังพยายามโจมตีรัฐบาล และปลุกกระแสด้วยการปล่อยข่าวเรื่องความรุนแรง และการปฏิวัติ ในช่วงที่ศาลจะมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ จึงอยากให้ทุกฝ่ายเคารพหลักกฎหมายเมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมา
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรียอมรับว่า อาจมีบางคนที่อึดอัดกับความล่าช้าของระบบกฎหมายในการดำเนินการกับกลุ่มม็อบเสื้อเหลืองที่ยึดทำเนียบรัฐบาลและยึดสนามบิน แต่ยืนยืนว่า การทำงานของตำรวจในทุกคดีมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง และผมมีนโยบายชัดเจน โดยบอกกับตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ทำงานโดยไม่ต้องสนใจว่าใครมีส่วนพัวพันคดี และมั่นใจว่าพวกเขาจะปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะพิสูจน์ว่ารัฐบาลยึดหลักกฎหมายอย่างจริงจัง
ส่วนกรณีที่กัมพูชาได้แต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนั้น นายกรัฐมนตรี บอกว่า ปัญหานี้ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นจากฝ่ายไทย เราไม่อยากเห็นปัญหาบานปลายยิ่งขึ้น และอย่างน้อยไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ซึ่งเท่าที่ผ่านมารัฐบาลก็สามารถควบคุมได้ และเพื่อให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติ ก็เป็นความรับผิดชอบของกัมพูชาที่จะต้องทำให้ทุกอย่างกลับไปยังจุดก่อนที่จะมีการแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ
 
 
 








ข่าวที่เกี่ยวข้องอภิสิทธิ์โชว์ไทยอู่ข้าวอู่น้ำของโลกเดือนเดือด !ล้วงตับสุดสัปดาห์ - แสบเหลือเกิน คุณอภิสิทธิ์ต้องใช้อำนาจการเมืองทำการปฏิวัติการเมือง ?อ้างอดีตสสร.50หนุนเขตใหญ่ซื้อเสียงยาก

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

รัฐบาลคุมกันศาล เมินลอบฆ่า เสธแดงคุมคาม

รัฐบาลคุมกันศาล เมินลอบฆ่า เสธแดงคุมคาม

อภิสิทธิ์​แนะศาลทำงานเต็มที่ไม่ต้องสนใจคำขู่ เสธ.แดง ที่ว่ามีแผนลอบสังหารองค์คณะผู้พิพากษา ระบุเข้าข่ายคุกคาม รัฐจะให้การคุ้มครอง เผยถึงไทยจะเรียก รมต.เข้าหารือกำหนดทิศทางการทำงาน ...เมื่อวันที่ 31 ม.ค.   นายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  กล่าวกับพี่น้องประชาชนในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์  ผ่านระบบ Tele Presence จากการประชุมเวทีหารือเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ครั้งที่ 40 เมืองดาวอส สหพันธรัฐสวิส เซอร์เแลนด์ มายังชั้น 28 บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์  กล่าวถึงเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า   ผมเท้าความสั้น ๆ ว่าตอนที่จัดตั้งรัฐบาลก็เป็นประเด็นหนึ่ง ซึ่งเราหยิบยกมาคุยกัน  แล้วก็ได้พูดกันชัดเจนอย่างนี้ว่า  1. ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประเด็น ไม่ควรที่จะทำ  เพราะทำแล้วจะเกิดความขัดแย้ง  เพราะว่าปี 2551 ถ้าจำได้ชนวนของการเคลื่อนไหวชุมนุมกันตั้งแต่ต้นก็คือเรื่องนี้   ก็เห็นตรงกัน เช่น ประเด็นไหนที่นำไปสู่เรื่องการนิรโทษกรรม เรื่องอะไร  เราก็บอกว่าอย่าไปทำ  2. เราบอกว่าถ้าการแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นที่มีความจำเป็น เช่น เขียนในทางเทคนิคแล้วมันเป็นอุปสรรค  ประเด็นไหนที่คิดว่าจะส่งเสริมประชาธิปไตยให้แก้ไขแล้ว อันนี้ตกลงกันเลยว่าอย่างนี้เดินหน้าด้วยกัน ขณะเดียวกันมันก็มีรัฐธรรมนูญอีกหลายมาตรา หลายประเด็น  ซึ่งไม่เข้าข่ายทั้งเรื่องการไปนิรโทษกรรม สร้างความขัดแย้ง และก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขหรือว่าพัฒนาระบอบประชาธิปไตยโดยตรง  หนึ่งในประเด็นเหล่านั้นคือเรื่องเขตเลือกตั้ง  ซึ่งผมพูดกับพรรคร่วมตั้งแต่ตอนที่ไปคุยกับเขาตอนจัดตั้งรัฐบาล  ว่าประเด็นนี้ความเห็นเรายังไม่ตรงกัน  พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไปเสนอตอนที่เขามีการทำร่างรัฐธรรมนูญว่า เราเชื่อว่าระบบปัจจุบันที่เป็นเขตใหญ่  มันดีกว่า เพราะว่าเราเห็นว่ามันลดความแตกแยกในการแข่งขัน  ทำให้การแข่งขันรุนแรงน้อยกว่า เพราะฉะนั้น แก้ปัญหาธุรกิจการเมืองได้ส่วนหนึ่งด้วย และเห็นว่าการที่เป็นเขตใหญ่ช่วยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มีความตระหนักถึงภาระหน้าที่ระดับชาติมากกว่า ส่วน กรณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ระบุว่ามีแผนลอบสังหารองค์คณะผู้พิพากษาศาล คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ที่เกี่ยวข้องกับคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น นายกฯ กล่าวว่า การพูดจาในลักษณะที่ถูกตีความได้ว่าเป็นการข่มขู่ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และเจ้าหน้าที่จะต้องพิจารณาว่า เป็นการคุกคามหรือไม่ โดยรัฐบาลขอให้ศาลทำหน้าที่อย่างอิสระ ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด และรัฐบาลจะให้การดูแลคุ้มครองความปลอดภัยอย่างเต็มที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯจะเดินทางกลับกรุงเทพฯหลังร่วมประชุมเวทีหารือเศรษฐกิจโลกถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณเวลา 15.25 น. วันที่ 1 ก.พ. โดยนายกฯเผยว่า ระหว่างเดินทางกลับจะอ่านรายงานการทำงานของรัฐมนตรี ถึงผลงานเด่นๆ ของแต่ละกระทรวง และจะเรียกมาหารือเป็นรายกลุ่ม อาทิ กลุ่มเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา เป็นต้น เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงาน  โดยไม่มีนัยอะไรใดๆ แอบแฝง.

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

นักวิชาการฟันธง รัฐบาลไม่แตก ชี้พรรคร่วมไม่กล้าตีจาก

นักวิชาการฟันธง รัฐบาลไม่แตก ชี้พรรคร่วมไม่กล้าตีจาก

นักวิชาการ ฟันธง รัฐบาลยังไม่แตก ชี้พรรคร่วมแค่ขู่ไม่กล้าตีจาก เหตุยังได้ผลประโยชน์อยู่มาก ระบุแก้ ม.94 แก้ปัญหาซื้อเสียงไม่ได้ เชื่อปชป.จะได้ใจ ปชช.หากพรรคร่วมโหวตสวน-ฟรีโหวต ...เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์  อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ให้สัมภาษณ์ ไทยรัฐออนไลน์ ถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ขณะนี้มาตราเดียวที่ทุกพรรคการเมืองเห็นร่วมกันที่จะแก้ไขคือมาตรา 190 มาตราเดียวส่วนมาตราอื่นนั้นยังขัดแย้งและมีจุดยืนที่แตกต่างกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 94 ที่จะให้มีการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ซึ่งเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์รับไม่ได้เพราะถือว่าตัวเองได้เปรียบได้รับความนิยมในวงกว้าง ส่วนพรรคอื่นมองว่าต้องการแก้เพื่อให้การบริหารการจัดการเลือกตั้งได้ง่าย ในนามตัวบุคคล แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าทั้งสองรูปแบบจะไม่สามารถแก้ไขปัญหารการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งได้ทั้งหมด ทั้งนี้คิดว่า ณ เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เร่งด่วนที่จะมาว่ากันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีเพียงแต่พรรคร่วมบางพรรคเท่านั้นที่เห็นว่าจะได้ประโยชน์ทั้งในเรื่องของตัวบุคคลและอาจจะพร้อมสำหรับการเลือกตั้งศ.ดร.สมบัติ กล่าวอีกว่า ส่วนความขัดแย้งหรือกระแสกดดันของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ไม่ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลอ่อนแอลงไป เนื่องจากการที่จะยังมีผลประโยชน์ร่วมกันมากและแน่นอนไม่อยากให้มีการยุบสภาในขณะนี้ยังต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ ส่วนจะเป็นการโหวตสวน หรือ ฟรีโหวตนั้นแน่นอนไม่สามารถทำได้ ถึงแม้จะเชื่อมั่นว่าเลือกตั้งไปแล้วจะยังคงรักษาที่นั่ง ส.ส.เดิมไว้ได้ แต่การที่จะร่วมกับพรรคใหญ่และต่อรองจนได้ตำแหน่งที่สำคัญๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น มันเป็นไปไม่ได้ ส่วนปัจจัยอื่นๆนั้นเป็นปัจจัยรอง ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อาจารย์ประจำครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลออกมาแสดงจุดยืนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และ มาตรา 94 นั้นต้องดูโครงสร้างของรัฐธรรมนูญของปี 50 ก่อน เพราะการออกแบบนั้นส่วนหนึ่งมีอิทธิพลมาจากพรรคไทยรักไทยเดิม เพื่อที่ต้องการกำจัดสิทธิหรือควบคุมนักการเมือง โดยการนำรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มาเป็นตัวตั้ง สำหรับพรรคร่วมรัฐบาลที่ออกมารวมตัวกดดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 94 ให้กลับไปเป็นเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว จะแก้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงลดลง คิดว่าเป็นไปไม่ได้ คิดว่าส่วนนี้เป็นการขบเหลี่ยมกันทางการเมืองมากกว่า เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์มองว่าเป็นพรรคใหญ่มีโอกาสในการเข้าสภาในระบบแบบเดิมคือเลือกแบบเขตใหญ่ จึงไม่ยอมแก้ ส่วนมาตรา 190 นั้นคิดว่าเป็นความฉลาดของนักการเมืองที่ต้องการพ่วงเข้าไปให้ประชาชนเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นไปเพื่อฝ่ายการเมืองเท่านั้น ส่วนมาตราอื่นๆนัั้นก็ล้วนแล้วแต่แก้ไขเพื่อนักการเมืองทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นมาตรา 68 หรือ มาตรา 237 และอื่นๆ ผศ.ดร.อดิศร  กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่เวลานี้ ควรจะหาเวลาที่เหมาะสมเนื่องจากช่วงนี้ ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมืองและวิกฤติทางเศรษฐกิจ หากมาแก้ช่วงนี้จะเป็นการซ้ำเติมประเทศ ดังนั้นตนอยากจะให้ทุกพรรคยอมรับกติกาช่วงนี้ไปก่อนแล้วเอาไว้เป็นนโยบายใน การเลือกตั้งครั้งหน้าว่าพรรคนี้มีนโยบายอย่างพรรคเพื่อไทยจะนำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ หรือประชาธิปัตย์จะใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 94 หรือ 190 เดิม หรือพรรคร่วมทั้งหมดหลังเลือกตั้งยืนยันที่จะแก้ไข 94 หรือ 190 และมาตราอื่นๆ ประรื้อกันในสมัยใหม่จึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสม ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นที่ทำลายล้างบรรยากาศทางการเมืองซึ่ง จะมีทั้งคดียึดทรัพย์และอะไรอีกมากมายที่เตรียมจะเข้ามา ดังนั้นตนจึงอยากให้นักการเมืองทุกท่านให้เห็นแก่บ้านเมืองเป็นหลักให้ฟัง ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนตัวแล้วตนเห็นด้วยกับการที่จะแก้รัฐธรรมนูญแต่ต้องไม่ใช้เวลานี้แน่นอน ส่วนกรณีพรรคร่วมขู่ว่าจะเปลี่ยนขั้วหรือถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์อ่านเกมได้ทะลุในทุกด้าน แต่ถ้าหากพรรคร่วมคิดที่จะเปลี่ยนขั้วจริงๆนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะได้ใจประชาชนมองเป็นบวกและมองพรรคร่วมว่าเป็นพรรคที่ไม่มีอุดมการณ์.


NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

แกนนำแดงร่วมยินดีพรรคแนวร่วมประชาธิปไตยฟื้นคืนชีพ

แกนนำแดงร่วมยินดีพรรคแนวร่วมประชาธิปไตยฟื้นคืนชีพ



คมชัดลึก : "แกนนำเสื้อแดง"ร่วมยินดีพรรคแนวร่วมประชาธิปไตยฟื้นคืนชีพ พร้อมประกาศนโยบายยึดหลักสังคมนิยม ที่มีความเท่าเทียมและเสมอภาค ลั่นขอเป็นศัตรูกับทุกฝ่ายที่เป็นปฎิปักษ์กับปชช.






 (31ม.ค.)  เมื่อเวลา 10.30 น. พรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย ได้จัดประชุมสัมมนา เรื่อง “ การก้าวเดินของพรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย ” โดยมีสมาชิกพรรค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าร่วมประมาณ 100 คน ทั้งนี้ยังมี พ.อ.สมคิด ศรีสังคม อดีต ส.ว. และอดีตหัวหน้าพรรค สังคมนิยมแห่งประเทศไทย และนายสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำก่อตั้งกลุ่มแดงสยาม มาร่วมแสดงความยินดีในการฟื้นฟูพรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์
 โดยนายประชา อุดมธรรมานุภาพ หัวพรรค ได้กล่าวเปิดตัว และแถลงเจตนารมณ์ของพรรค ว่า 1.พรรคฯ แนวร่วมสังคมประชาธิปไตย จะยึดอุดมการณ์ “สังคมนิยม” เป็นอุดมการณ์ของพรรค 2.พรรคฯ จะยืนอยู่ข้างประชาชนคนยากไร้ โดยสามัคคีกับกรรมการชาวนา เกษตรกร ผู้ค้าย่อย นักศึกษา ปัญญาชน นายทุนชาติ และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยอื่นๆ 3.พรรคฯ จะเป็นพรรคมหาชนเป็นพรรคของประชาชนทุกหมู่เหล่า 4.พรรคฯ จะดำเนินการทางการเมือง เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของประชาชน และจะคัดค้านบุคคล กลุ่มบุคคล นักการเมือง หรือพรรคการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างเต็มที่
 นายประชา ยังกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า เพื่อบรรลุเจตนารมณ์ และอุดมการณ์ของพรรค พรรคฯ จึงเสนอเป้าหมายและหลักนโยบายของพรรค ดังนี้ ในทางการเมือง พรรคฯ จะต่อสู้ให้ประชาชนได้รับสิทธิเสมอภาคทางการเมืองอย่างแท้จริง คัดค้านการใช้อภิสิทธิ์เหนือประชาชน สนับสนุนและต่อสู้ให้ได้มาซึ่งระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ร่วมกับกรรมการ ชาวนา นักศึกษาปัญญาชน และประชาชนทุกหมู่เหล่า คัดค้านการรัฐประหารและคัดค้านการแทรกแซงการเมืองของตุลาการทุกรูปแบบ สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยคัดค้านอำนาจนอกระบบ และส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทุกระดับมาจากการเลือกตั้ง ยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาค
 ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจ พรรคฯ จะส่งเสริมการสร้างเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมในแบบสังคมนิยมยุโรป โดยสร้างรัฐสวัสดิการ ใช้อัตราภาษีก้าวหน้า ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก เพื่อนำเงินมาจัดสรรสวัสดิการแก่ประชาชน ให้ประชาชนมีหลักประกันในด้านการดำรงชีพ และประกันการว่างงาน แทรกแซงการตลาด โดยประกันราคาพืชผลแก่ชาวไร่ชาวนา ดำเนินการปฏิวัติที่ดิน ด้วยการตั้งเพดานการถือครองที่ดิน และการเก็บภาษีอัตราสูงในที่ดินที่เกินความจำเป็นในการเป็นที่พักอาศัย และใช้ประกอบธุรกิจ และจัดสรรการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ควบคุมอุตสาหกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม สนับสนุนอุตสาหกรรมการเกษตร และบริการ
 ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม พรรคฯ จะกระจายการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง ในกลุ่มคนยากจน ผู้ด้อยโอกาส และคนชายของกลุ่มต่างๆ ลดความสำคัญการศึกษาสามัญ โดยมุ่งเน้นขยายและปรับปรุงการศึกษาด้านอาชีวะให้ประชาชนมีทักษะในการทำงานมากขึ้น ปฏิรูปการศึกษา โดยเน้นการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ส่งเสริมการวิจัย เพื่อพัฒนาด้านเทคโนโลยี และยอมรับให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาและส่งเสริมศาสนาทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน
 ด้านสาธารณสุข พรรคฯ จะส่งเสริมนโยบายประกันสุขภาพทั่วหน้าไป เพื่อสร้างหลักประกันด้านสุขภาพแก่ประชาชน สร้างและขยายโรงพยาบาลในเขตท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อกระจายการสาธารณสุขให้เท่าเทียมกัน และด้านสังคม พรรคฯ จะใช้หลักรัฐสวัสดิการในการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะเด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาส








ข่าวที่เกี่ยวข้องมาร์คชี้พฤติกรรมข่มขู่ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย อภิสิทธิ์โชว์ไทยอู่ข้าวอู่น้ำของโลกเสียงเตือนที่ควรระวังทำเนียบราษฎร...ละครการเมือง...'ประสงค์'เชื่อลอบฆ่าคนสำคัญเกิดได้

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

ปชป.ปมแก้รธน.คลี่คลายวอนพรรคร่วมจับมือรับศึกซักฟอก

ปชป.ปมแก้รธน.คลี่คลายวอนพรรคร่วมจับมือรับศึกซักฟอก



คมชัดลึก :ปชป.เชื่อผู้ใหญ่พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจเหตุไม่แก้ รธน. วอนร่วมมือตั้งรับฝ่ายค้านอภิปราย ก.พ.นี้ ย้ำแก้ รธน.ไม่ได้ปิดโอกาส ร้อง สังคม-สื่อ อย่าให้ค่าเสธ.แดง เพราะเป็นทหารเพี้ยน หนุนรบ.ใช้แผน 5 รั้วกันยานรก







 (31ม.ค.) นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าปัญหาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ น่าจะจบลงแล้ว ซึ่งมีเหตุผลสำคัญ คือ 1.ผู้ใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจถึงสถานการณ์ของประประเทศ และจะเป็นปัญหาหากมีเกิดมีการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้ 2.สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศกำลังดีขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากตัวเลขการส่งออก ท่องเที่ยว และสิ้นค้าเกษตร เติมโตขึ้นมาก หากต้องมาสะดุดในเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลและการเมือง จะเป็นปัญหากระทบในเรื่องความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจไปด้วย
  3.พรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ต้องร่วมกันจับมือตั้งรับเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และน่าจะมี 3 คน เป็นอย่างน้อยที่จะถูกอภิปราย เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ 4.พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลต้องจับมือกัน ในการบริหารงบประมาณไทยเข้มแข็ง ซึ่งกำลังเริ่มอนุมัติงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลประโยชน์ไปถึงพี่น้องประชาชนอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม และ 5. ผลโพลและความรู้สึกประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการเห็นความมั่นคงรัฐบาลที่จะเดินหน้าในการบริหารประเทศต่อไป เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งอยู่ในขณะนี้
 “ เรามั่นใจว่าทุกพรรคการเมืองและพรรคร่วมรัฐบาลอยากเห็นความมั่นคงที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ และเสียงสะท้อนจากประชาชนส่วนใหญ่ อยากเห็นรัฐบาลมีความมั่นคงและเสถียรภาพในการบริหารประเทศต่อไป ” นายสาธิต กล่าว
 กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ปิดโอกาส เพราะนโยบายเรื่องหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ ก็มีเรื่องของการปฏิรูปการเมืองอยู่ด้วย เพียงแต่รูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจเป็นหนึ่งในการปฏิรูปการเมือง ซึ่งอาจจะย้อนกลับไปในอดีตที่เคยคิดเคยพูดกันมา โดยอาจจะให้มีคณะกรรมการใดคณะหนึ่งขึ้นมาทำ ซึ่งไม่ใช่ภาคการเมือง หรือย้อนกลับไปถึงคณะกรรมการสมานฉันท์ฯในการแก้ไข 6 ประเด็น ที่ให้ทุกฝ่ายเข้าร่วม ซึ่งอาจจะเอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเขตเล็กเขตใหญ่ มาตรา 190 เป็นหนึ่งการในการปฏิรูปการเมือง ก็เป็นได้ในอนาคต
 นายสาธิต กล่าวถึงพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ว่า สังคมและสื่อมวลชน ไม่ควรให้ความสำคัญกับเสธ.แดง เพราะชัดเจนว่าเสธ.แดงเป็นทหารเพี้ยนคนหนึ่งเท่านั้น และบังเอิญไปรับใช้ผู้ที่ต้องการคนที่มาสนันสนุน โดยนับจำนวนอย่างเดียวไม่เน้นคุณภาพ จึงได้เสธ.แดงเข้า หากเปรียบกับสุภาษิตได้ว่า “ หมาผอม ไปเจอขี้แห้ง ” ซึ่งหมายความว่า หมากำลังหิวไปเจอขี้แห้งก็เลยกิน ซึ่งที่จริงไม่มีคุณค่าทางอาหาร ไม่ได้แก้ความหิวอะไรได้ และเสธ.แดงก็ไม่ได้สร้างการสนับสนุนที่มีผลกระทบในด้านบวก เพราะไม่สามารถที่จะพูดคุยกับสังคมได้  
 ส่วนเรื่องนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล นายสาธิต กล่าวว่า ต้อขอชื่นชม ที่กำลังขบเคลื่อนแผน 5 รั้ว คือ ปราบปรามอย่างจริงจัง ซึ่งเห็นได้ชัดตามผลงานที่ปรากฎ รวมทั้งการปิดกั้นตามแนวที่เจะเข้ามาในประเทศ จึงขอสนับสนุนอย่างจริงจังในเรื่องดังกล่าว และขจัดผู้ค้ายาอย่างเด็ดขาด เพื่อให้ปัญหายาเสพติดหมดไปจากปรเทศโดยเร็ว








ข่าวที่เกี่ยวข้องแกนนำแดงร่วมยินดีพรรคแนวร่วมประชาธิปไตยฟื้นคืนชีพ มาร์คชี้พฤติกรรมข่มขู่ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย อภิสิทธิ์โชว์ไทยอู่ข้าวอู่น้ำของโลกเดือนเดือด !ล้วงตับสุดสัปดาห์ - แสบเหลือเกิน

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

ปชป.ตอกแม้วเพ้อ ทวงคืน ปชต. จี้เลิกหนีคดี

ปชป.ตอกแม้วเพ้อ ทวงคืน ปชต. จี้เลิกหนีคดี

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ บุรณัชย์ ตอก แม้ว เพ้อเจ้อทวงคืนประชาธิปไตย แต่หนีคดี ชักใยป่วน  ชี้ทัศนคติ เสธ.แดง เป็นภัยต่อสังคม งง ทักษิณ ฟ้องศาลโลกทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุด ... เมื่อวันที่ 31 ม.ค. นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการส่งสัญญาณในหลายส่วนที่จะบ่งบอกถึงความรุนแรง วุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ทวิสเตอร์มา ด้วยข้อความที่ตรงกันข้ามกับการเคลื่อนไหวของเครือข่าย  โดยอ้างว่าจะนำพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย และยึดแนวทางการไม่ใช้ความรุนแรงของมหาตมะคานธีนั้น ตนเห็นว่าพฤติกรรมที่หนีคดีไปต่างประเทศ  และชักใยให้บ้านเมืองวุ่นวาย เพื่อให้ตนเองพ้นผิด และขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้ประชาชนทำผิดกฎหมายก่อการจราจล เผาบ้านเผาเมืองนั้น ตนอยากถามว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับการทวงคืนประชาธิปไตย และการสร้างความวุ่นวาย รุนแรงให้กับประเทศนั้น เป็นพฤติกรรมของผู้มีอหิงสาจริงหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมควรจะใช้วิจารณญาณในการพิจารณา การที่เครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาพูดส่งสัญญาณแห่งความรุนแรงอย่างชัดเจนในหลายส่วน ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวในรูปแบบของผู้ก่อการร้ายมากว่าจะอ้างว่าเป็นนัก ประชาธิปไตยนพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกันกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมาพูดจาในลักษณะที่สร้างความหวาดกลัวให้กลับสังคมแล้ว ยังส่อให้เห็นว่าจิตในผู้นั้นไม่สมประกอบเพราะพฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นชัดว่า บุคคลนี้ขาดความยับยั้งสติ และมีพฤติกรรมนิยมความรุนแรง และเป็นภัยต่อสังคมอย่างชัดแจ้ง ภาครัฐไม่ควรจะให้บุคคลที่อาจจะทำอันตรายต่อผู้อื่นนั้น อยู่ร่วมกับสังคมตามปกติ แต่ควรจะดำเนินการตามกฎหมายโดยด่วน ขณะเดียวกันมาตรการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนควรจะมีการขยายผลไปสู่กลุ่ม บุคคลอื่น ที่มีพฤติกรรมเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ที่จังหวัดอุดรธานี ที่นายขวัญชัย ได้มีการพูดจาชัดจูงระหว่างการประชุมของอดีตนายทหารพรานค่ายปักธงชัยว่า ให้เตรียมเอาน้ำมันใส่ขวดเพื่อเผาศาลกลางจังหวัด โดยอ้างเหตุการปฏิวัตินั้น สิ่งนี้ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวให้เกิดความรุนแรงเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันก็อยากให้ภาครัฐเร่งรัดดำเนินการต่อการปลุกระดมโดยใช้วิทยุชุมชน ซึ่งถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวโดยใช้คลื่นความถี่ของรัฐเพื่อสร้างความแตกแยก ในสังคมไทย นพ.บูรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมตัวไปนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก ตนเห็นว่าเร็วเกินไปที่จะดำเนินการดังกล่าว เพราะคดีก็ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด หากอยู่ในเขตอำนาจก็สามารถทำได้ ซึ่งดีกว่าการใช้เครือข่ายส่วนตัวชักจูงให้คนสร้างความวุ่นวายคุกคามการ ทำงานต่อศาล แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ติดสินบนตุลาการ หรือให้ข่าวกับสื่อต่างประเทศเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการ ยุติธรรม และสถาบันตุลาการของไทย พรรคฯเห็นว่าเนื่องจากกระบวนการยังไม่สิ้นสุดพรรคจึงอยากเรียร้องของให้ทุก ฝ่ายให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปตามปกติ ไม่ว่าผลตัดสินจะเป็นเช่นไร หากพิสูจน์ทราบว่ามีความบริสุทธิ์สังคมก็จะให้การยอมรับ แต่หากเป็นอย่างอื่นก็ยังสามรถดำเนินการสู่ขั้นตอนต่อไปได้ ขณะเดียวกันการที่กลุ่ม นปช. และพรรคเพื่อไทย พยายามจะหยับยกกระบวนการพิจารณาเรื่องเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาเทียบเคียงนั้น พรรคอยากให้ทุกฝ่ายยอมรับการทำงานของกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าส่วนขององค์ อิสระ และสถาบันตุลาการ ให้เดินหน้าไปโดยปราศจากการแทรกแซงใดทั้งสิ้น ในเรื่องนี้พรรคถือว่าทุกเรื่องต้องตัดสินบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงในแต่ละ กรณี และขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองให้เดินไปสู่ความปกติ และสามารถบังคับใช้กฎหมายกับทุกคนอย่างเท่าเทียม และมาตรฐานเดียวกัน.


NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

เพิ่ม5ความมั่นใจ ยุติศึกพรรคร่วมไม่ปิดทางแก้ รธน.

เพิ่ม5ความมั่นใจ ยุติศึกพรรคร่วมไม่ปิดทางแก้ รธน.

นาย สาธิต ปิตุเตชะสาธิต ชู 5 เหตุเพิ่มความมั่นใจให้พรรคร่วม ยุติศึกสาดน้ำลาย ยันยังไม่ปิดทางแก้ รธน. ขอเวลา-โอกาสที่เหมาะสม ตีค่า เสธ.แดง แค่ทหารเพี้ยน ดังสุภาษิต หมาผอม ไปเจอขี้แห้ง  ห นุนใช้มาตรการ5รั้วป้องยาเสพติด ...เมื่อวันที่ 31 ม.ค. นาย สาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมว่า พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าปัญหาดังกกล่าวกับพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะจบลงแล้ว ซึ่งมีเหตุผลสำคัญ คือ 1.ผู้ใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจถึงสถานการณ์ของประเทศ และจะเป็นปัญหาหากเกิดมีการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้ 2.สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศกำลังดีขึ้น เห็นได้ชัดจากตัวเลขที่เติบโตในการส่งออก การท่องเที่ยว และสินค้าเกษตร หากมีการสะดุดในเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาล และการเมือง จะเป็นปัญหากระทบในเรื่องความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจไปด้วย 3.พรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ต้องร่วมกันตั้งรับเรื่องการ อภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือน ก.พ.นี้ และน่าจะมี 3 คน เป็นอย่างน้อยที่จะถูกอภิปราย เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ  4.พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลต้องจับมือกัน ในการบริหารงบประมาณไทยเข้มแข็ง ซึ่งกำลังจะอนุมัติงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลประโยชน์ไปถึงพี่น้องประชาชนอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม และ 5. ผลโพลและความรู้สึกประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการเห็นความมั่นคงรัฐบาลที่จะเดินหน้าในการบริหารประเทศต่อไป เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งอยู่ในขณะนี้ ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้น กรรมการ บริหารพรรค กล่าวต่อว่า ทางเราไม่ได้ปิดโอกาส เพราะว่านโยบายเรื่องหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ ก็มีเรื่องของการปฏิรูปการเมือง เพียงแต่ว่ารูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะไปเป็นหนึ่งในการปฏิรูปการเมือง ซึ่งอาจจะย้อนกลับไปในอดีตที่เคยคิดเคยพูดกันมา โดยอาจจะให้มีคณะกรรมการใดคณะหนึ่งขึ้นมาทำ ซึ่งไม่ใช่ภาคการเมือง หรือย้อนกลับไปถึงคณะกรรมการสมานฉันท์ฯในการแก้ไข 6 ประเด็น ที่ให้ทุกฝ่ายเข้าร่วม ซึ่งอาจจะเอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเขตเล็กเขตใหญ่ มาตรา 190 เป็นหนึ่งการในการปฏิรูปการเมือง ก็เป็นได้ในอนาคต นาย สาธิต กล่าวถึง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ว่า สังคมและสื่อมวลชน ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะชัดเจนว่า เสธ.แดงเป็นทหารเพี้ยนคนหนึ่งเท่านั้น และบังเอิญไปรับใช้ผู้ที่ต้องการคนที่มาสนันสนุน โดยนับจำนวนอย่างเดียวไม่เน้นคุณภาพ หากเปรียบกับสุภาษิตได้ว่า หมาผอม ไปเจอขี้แห้ง  ซึ่งหมายความว่า หมากำลังหิวไปเจอขี้แห้งก็เลยกิน ซึ่งที่จริงไม่มีคุณค่าทางอาหาร ไม่ได้แก้ความหิวอะไรได้ และเสธ.แดงก็ไม่ได้สร้างการสนับสนุนที่มีผลกระทบในด้านบวก เพราะไม่สามารถที่จะพูดคุยกับสังคมต่อสาธารณะได้ ส่วน เรื่องนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล นายสาธิต กล่าวว่า ต้อขอชื่นชม ที่กำลังขับเคลื่อนแผน 5 รั้ว คือ ปราบปรามอย่างจริงจัง ซึ่งเห็นได้ชัดตามผลงานที่ปรากฏ รวมทั้งการปิดกั้นตามแนวที่เจะเข้ามาในประเทศ จึงขอสนับสนุนอย่างจริงจังในเรื่องดังกล่าว และขจัดผู้ค้ายาอย่างเด็ดขาด เพื่อให้ปัญหายาเสพติดหมดไปจากประเทศโดยเร็ว.

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

ทอ.ถามเสื้อแดงบุกฐานทัพเพื่ออะไร

ทอ.ถามเสื้อแดงบุกฐานทัพเพื่ออะไร



คมชัดลึก :ทอ.ไม่หวั่นกลุ่มเสื้อแดงบุกชุมนุมทวงถามการประชุมวางแผนปฎิวัติ ยันไม่มี จี้ให้ทบทวนเพราะมีเขตพระราชฐาน เตรียมเพิ่มมาตตราการรักษาความปลอดภัย เข้มงวดเส้นทางเข้าออก "ณัฐวุฒิ"แนะให้ปชช.จับตาข่าวปฎิวัติช่วง 4 - 14 ก.พ.นี้






 (31ม.ค.) น.อ.มณฑล สัชฌุกร โฆษกกองทัพอากาศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะไปชุมนุมกันที่กองทัพอากาศว่า สาเหตุที่กลุ่มเสื้อดงจะมาชุมนุมกันที่กองทัพอากาศ เขาอ้างมาว่ามีการประชุมวางแผนปฎิวัติในกองทัพอกาศ ซึ่งตนก็เคยปฎิเสธไปแล้วว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวมาจากนายจตุพร พรหมพันธุ์   แกนนำกลุ่มคนเสื้แดง ก็น่าจะกลับไปถามนายจตุพร มากกว่าว่า ทำไมถึงพูดแบบนั้น เอาอะไรมาพูด
 น.อ.มณฑล กล่าวว่า การที่กลุ่มเสื้อแดงจะมาชุมนุมกันหน้ากองทัพอากาศก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ ถ้าไม่ละเมิดกฎหมาย กองทัพอากาศก็คงไปทำอะไรไม่ได้ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องดูแล แต่การชุมนุมก็จะส่งผลกระทบต่อประชาชนในละแวกนั้นพอสมควร ซึ่งเราก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
 "เพราะฉะนั้นอยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมพิจารณาดูให้ดีว่าเหตุที่จะมากับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่อย่างที่เข้าใจและกองทัพอากาศก็ชี้แจงไปแล้วว่าไม่มี และในช่วงนั้น พล . อ . อ . อิทธิพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ก็ไปราชการที่ต่างประเทศ จะมากล่าวอ้างว่าเป็นตัวตั้งตัวตีถือเป็นสิ่งที่แย่มากและเสียหายต่อผู้ถูกกล่าวหาอย่างยิ่ง"  น.อ. มณฑล กล่าวว่า กองทัพอากาศไม่ได้เตรียมการรักษาความปลอดภัยอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากกองทัพอากาศเป็นสถานที่ราชการ มีการปฎิบัติภาระกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการขึ้นลงของเครื่องบินอยู่ตลอดเวลา หวังว่ากลุ่มคนที่จะมาชุมนุมจะไม่ทำให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อการปฎิบัติของราชการ นอกจากนั้นในกองทัพอากาศก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่เป็นเขตพระราชฐาน ซึ่งส่วนนี้จะต้องเพิ่มมาตราการความปลอดภัยและดูแลเป็นพิเศษซึ่งปกติเราก็มีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดูแลในส่วนนี้อยู่ ก็ไม่อยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมมาดำเนินการใดๆอยู่บริเวณนี้ เพราะจะไม่เหมาะสม
 เมื่อถามว่า พล . อ . อ . อิทธิพร ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ น . อ . มณฑล กล่าวว่า ไม่ได้สั่งการอะไร เพราะการควบคุมฝูงชนก็เป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว กองทัพอากาศดูแลสถานที่ในส่วนที่เป็นของกองทัพอกาศ ในเรื่องของการผ่านเข้าออกของบุคคลก็จะมีการตรวจตราเข้มงวดเพิ่มมากขึ้นหรือการเข้ามาในพื้นที่กองทัพอากาศก็ต้องสงวนเอาไว้ว่าให้เข้ามาได้เฉพาะข้าราชการที่เข้ามาทำงานเท่านั้น แต่ถ้าหากมีการยื่นหนังสือหรือเจราจาอะไรก็ให้จัดผู้แทนมา ซึ่งกองทัพอากาศก็พร้อมที่จะรับฟังและชี้แจง
 เมื่อถามว่า ประเมินสถานการณ์อย่างไรบ้าง น . อ . มณฑล กล่าวว่า เราได้ประเมินจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่กองทัพบกเมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา ว่าเป็นการมาชุมนุมเพื่อแสดงสัญลักษณ์และจุดยืน ถ้าเป็นในลักษณะนั้นก็สามารถทำได้แต่ก็อยากให้พิจารณาให้รอบคอบอีกสักครั้งว่าถ้ามาแล้วจะเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะมาทำร้ายทำลายอะไร แต่ด้วยความเหมาะสมและเหตุผลที่จะมาก็อยากให้ทบทวน ซึ่งถ้าจะมาทวงคำตอบก็คงเป็นคำตอบเดียวกันที่ได้กล่าวไปแล้ว
 เมื่อถามว่า ประเด็นสำคัญของการมาชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเพื่อต่อต้านการปฎิวัติและในขณะเดียวกันทางพรรคเพื่อไทยก็ออกมาปล่อยข่าวว่าจะมีการปฎิวัติออกมาเป็นระยะๆจะทำให้คนยิ่งมาชุมนุมมากขึ้นหรือไม่ น . อ . มณฑล กล่าวว่า เรื่องนี้ทางผู้บังคับบัญชาหลายๆท่าน ได้ตอบตรงกันว่าไม่มีเงื่อนไขหรือที่มาที่ไปที่จะมำให้เกิดการปฎิวัติ ถ้าผู้ที่เป็นระดับผู้บัญชาการกองทัพออกมายืนยันว่าไม่มีโอกาสที่จะเกิด ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ "ณัฐวุฒิ"แนะให้ปชช.จับตาข่าวปฎิวัติช่วง 4 - 14 ก.พ.นี้
 นายณัฐวัฒิ ไสยเกื้อ หนึ่งแกนนำกลุ่ม นปช. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเปิดโรงเรียนยุทธการต้านรัฐประหาร ของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ว่า เป็นครั้งแรกกลุ่ม นปช. เปิดโรงเรียนให้ความรู้ด้านประชาธิปไตย เพื่อเป็นการรับมือกับสถานการณ์รัฐประหาร ซึ่งเชื่อว่า มีการเตรียมการในกลุ่มทหาร โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัชญชาการทหารบก เป็นกำลังหลัก และเป็นหัวหน้าสั่งการที่คาดว่า จะมีขึ้นเร็วนี้ โดยได้มีการทำความเข้าใจกับกลุ่มแกนนำส่วนกลางและแกนนำส่วนภูมิภาค เพื่อกำหนดมาตรการตั้งรับก่อนการทำรัฐประหาร ขณะการทำรัฐประหาร และหลังการทำรัฐประหารแล้ว มีตั้งแต่เรื่องมาตรการก่อกระแสสูงต้านรัฐประหาร รณรงค์ทำความเข้าใจกับสถานการณ์รัฐประหาร หากมีรัฐประหารขึ้นจริง กลุ่มนปช.จะรุกขึ้นสู้โค้นล่มกลุ่มยึดอำนาจทำการรัฐประหารทันที เพื่อไม่ให้ทำรัฐประหารได้สำเร็จ นอกจากนี้ มาตรการขั้นที่ 3 หากมีการทำรัฐประหารแล้ว กลุ่มนปช.จะสู้รุกรบอย่างต่อเนื่อง เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน
 นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ในระหว่างวันที่ 4 – 14 ก.พ.นี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางไปราชการในต่างประเทศ ทำให้อำนาจการบังคับบัญชากองทัพตกอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่กลุ่มอมาตยาธิปไตยวางตัวไว้ในกองทัพ โดยใน 10 วันนี้ ต้องจับตามองเป็นพิเศษ แต่ไม่ใช่ผ่านพ้น วันที่ 14 ก.พ.ไปแล้วจะวางใจได้ กลุ่ม นปช. ยังเชื่อมั่นว่า การทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ หากทหารไม่เชื่อมั่นในอำนาจ
 ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวพาดพิงกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารศาล และ คตส. ที่เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ 7.6 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ กล่าวปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า กลุ่ม นปช. ไม่เคยหมายหัว หรือวางแผนเพื่อเอาชีวิตตามที่มีกระแสข่าวดังกล่าว ซึ่งผู้ดูแลและปกครองประเทศก็ต้องทำหน้าที่ดูแลชีวิต ขณะที่ นปช. ก็ต้องได้รับการปกป้องรักษาชีวิตอย่างเท่าเทียมเช่นเดียวกัน โดยที่ผ่านมานายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ก็เคยออกมาเปิดเผยบัญชีดำหมายเอาชีวิตแกนนำเสื้อแดงทั่วประเทศ กว่า 200 คน แต่ก็ขออย่าตะหนกตกใจ ตนเชื่อในข้อมูลของ เสธแดง คงอาจได้รับรู้ข้อมูลอะไรมา ทางผู้ปกครองประเทศรู้แล้วก็ควรให้การดูแลบุคคลที่ถูกหมายเอาชีวิต
 ส่วนแผนการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในวันที่ 4 ก.พ. จะมีการปราศัยใหญ่ที่ จ.ขอนแก่น และ จ.อุบลราชธานี ซึ่งตนจะเดินทางไปร่วมด้วย สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงส่วนกลาง จะมีการชุมนุมกันที่กองทัพอากาศ นอกจากนี้ นายอริสมันท์ พงษ์เรืองรอง และนายสุพร อัตถาวงศ์ แกนนำเสื้อแดง จะเดินทางไปชุมนุมที่กรมป่าไม้ กรมที่ดิน สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้ากรณีการกระทำมิชอบเขาสอยดาว อย่างไรก็ตาม หลังเทศกาลตรุษจีน จะมีเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้ง
 นายกฯกลับถึงไทยและไม่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางกลับจากการร่วมประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก World economic forum  ที่เมืองดาวอส สวิสเซอร์แลนด์ ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย เมื่อเวลา 15.40 น.
 นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในอิริยาบทที่ค่อนข้างเหนื่อยล้า ไม่ได้แถลงข่าวผลการปฏิบัติหน้าที่ของเขา และปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว โดยบอกเพียงว่า"พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน"








ข่าวที่เกี่ยวข้องเทศกิจลุยรื้อแผงค้าปรับภูมิทัศน์สนามหลวงนปช.ต้านแกนนำแดงร่วมยินดีพรรคแนวร่วมประชาธิปไตยฟื้นคืนชีพ มาร์คชี้พฤติกรรมข่มขู่ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย เสียงเตือนที่ควรระวังนักรบดำแห่คุ้มกัน"ขวัญชัย"แกนนำเสื้อแดง

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

ซัดกกต.อิงกระแส ฟันยุบปชป. จับตาปฏิวัติกพ.นี้

ซัดกกต.อิงกระแส ฟันยุบปชป. จับตาปฏิวัติกพ.นี้

นายจาตุรนต์ ฉายแสงจาตุรนต์ จวกยับ กกต.อิงกระแสการเมืองตัดสินคดียุบพรรค ปชป. อัดจ้องช่วยเหลือ ทำลายระบบยุติธรรม เชื่อปฏิวัติยังไม่เกิด ให้จับตาหลังเดือน ก.พ. นี้...เมื่อวันที่ 31 ม.ค. นาย จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุจะตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์หลังเดือน ก.พ.ว่า เดิมทีเรื่องนี้ก็น่าสงสัยอยู่แล้วที่นายอภิชาต สุขขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียน ลงมติยกคำร้อง ช่วยพรรคประชาธิปัตย์ ไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมา ว่าลงมติไปก่อนได้อย่างไร และเมื่อมีการส่งสัญญาณว่าจะพิจารณาตัดสินคดีช่วงหลังปีใหม่ สุดท้ายก็เลื่อนไปอีกเป็นหลังเดือน ก.พ. ยิ่งทำให้เห็นความผิดปกติมากขึ้นไปอีก เชื่อว่าเป็นการหาเรื่องช่วยกันมากกว่า การเลื่อนไปตัดสินหลังเดือน ก.พ.เพราะต้องการดูกระแสการเมืองหลังคดียึด ทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดย กกต.จะรอดูสภาพของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงว่าเป็นอย่างไร หากปรากฏว่าอยู่ในสภาพเพลี่ยงพล้ำ ถูกโจมตีจากกระแสสังคม กกต.ก็จะอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนนี้ ยกคำร้องช่วยพรรคประชาธิปัตย์ แต่หากหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วสังคมเกิดความเห็นใจ  กกต.ก็คงไม่กล้าฝืนกระแส โดยโยนเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่น่าละอายอย่างยิ่ง ที่เอาคดีความมาอิงกับกระแสการเมือง ถือเป็นการซ้ำเติมระบบกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกมองว่ามี 2 มาตรฐานของประเทศ นายจาตุรนต์ กล่าวถึงกระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหารว่า เงื่อนไขการรัฐประหารอยู่ที่ผู้มีอำนาจและกองทัพ ถ้าไม่สามารถทำให้บ้านเมืองอยู่ภายใต้การควบคุม รัฐบาลไม่ตอบสนองกองทัพ หรือปรากฏการทุจริตมาก หรือเกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย จนควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ก็จะหาเหตุทำการรัฐประหาร แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะยังไม่เกิดขึ้นเร็วนัก โดยผู้มีอำนาจและกองทัพจะใช้กระบวนการทางกฎหมายไปก่อน โดยช่วงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือช่วงหลังเดือน ก.พ.ไปแล้ว ประเทศไทยยามนี้สามารถเกิดการรัฐประหารได้เสมอ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ นักวิชาการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ ดังนั้นเราต้องช่วยกันทำความเข้าใจว่าการก่อปฏิวัติรัฐประหารเป็นเรื่องเลว ร้าย ทำให้ต่างชาติ และนักลงทุนไม่ให้ความเชื่อถือ ต้องช่วยกันประคองสถานการณ์อย่าให้เพลี่ยงพล้ำ หรือปล่อยให้มีการขยายความรุนแรง จนเป็นเหตุให้กองทัพนำไปเป็นข้ออ้างทำการรัฐประหาร อย่าไปเห็นดีเห็นงามกับพวกนักวิชาการที่ออกมาพูดสนับสนุนการปฏิวัติ รัฐประหาร.


NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

วิจารณ์ป้ายคู่สุวัจน์ลูกเจ๊เกียว

วิจารณ์ป้ายคู่สุวัจน์ลูกเจ๊เกียว



คมชัดลึก :ฮือฮาป้ายกลางเมืองโคราช "สุวัจน์" คู่ปรับ"ลูกเจ๊เกียว" ร่วมมือจัดงานตรุษจีน อ้างเพื่อความสามัคคี สมานฉันท์ในพื้นที่ ขณะที่นักสังเกตการณ์เผยมีความพยายามผนึกฐานระหว่างเจ๊เกียวกับสุวัจน์ เพื่อต่อรองกลุ่มอื่นที่นับวันจะแย่งพื้นที่เรื่อยๆ ชทพ.เตรียมนำ5พรรคร่วมฯยื่นญัตติแก้รธน.3 ก.พ.นี้








 (31ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณ 5 แยก หัวรถไฟเขตเทศบาลนครนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา  เทศบาลนครนครราชสีมาโดยนายสุรวุฒิ  เชิดชัย นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ได้ติดตั้งป้ายขนาดความยาว 20 เมตร กว้าง 10  เมตร มีข้อความ ”ความร่ำรวย มั่งคั่ง  เกิดจากความประหยัด” และมีตัวอักษรภาษีจีนและมีข้อความ”ซิน เจีย ยู่ อี่ ซิน นี่ ฮวด ใช้ “ กำกับไว้ด้านล่างสุด
 แต่ที่สร้างความแปลกใจให้กับชาวโคราชคือด้านซ้ายสุดของป้ายเป็นรูปของนายสุรวุฒิบุตรชายนางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว เจ้าของอู่ต่อรถทัวร์เชิดชัยและเจ้าของสัมปทานเดินรถโดยสารหลายสายทั่วประเทศและเป็นหัวหน้ากลุ่มการเมืองท้องถิ่น”กลุ่มประสานมิตร” ส่วนด้านขวาสุดของป้ายเป็นรูปของนายสุวัจน์  ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและเป็นแกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาและเป็นหัวหน้าทีการเมืองท้องถิ่น”กลุ่มโคราชชาติพัฒนา” ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญขับเคี่ยวต่อสู้กับกลุ่ม”ประสานมิตร”ของนางสุจินดาฯหรือเจ๊เกียว มาโดยตลอดทั้งสนามเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลนครนครราชสีมา ตลอดจนสนามเลือกตั้ง ส.ส.เขต 1  อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา จนเป็นที่รู้กันทั่วไปแก่ชาวโคราช
  นายสุรวุฒิเปิดเผยว่า ตนเป็นผู้สั่งให้จัดทำป้ายดังกล่าวไปติดตั้งเพื่อประชาสัมพันธ์งานเทศกาลตรุษจีนที่เทศบาลนครนครราชสีมาจะจัดขึ้นในวันที่ 13 ก.พ.นี้ เพราะตนเป็นผู้ไปเรียนเชิญนายสุวัจน์มาเป็นประธานเปิดงานตรุษจีนด้วยตนเอง ไม่ได้มีนัยทางการเมืองแต่อย่างใด การที่ตนไปเชิญนายสุวัจน์ฯเพราะนายสุวัจน์ เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้และได้ทำคุณประโยชน์ให้กับเมืองโคราชไว้มาก
 อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนทำลงไปก็เพื่อต้องการให้เมืองโคราชเจริญเพราะฉะนั้นถ้าสิ่งไหนทำแล้วชาวโคราชเกิดความรัก ความสามัคคี เกิดความสมานฉันท์เป็นประโยชน์ต่อเมืองย่าโม เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยตนก็พร้อมทำทุกเรื่องและไม่เฉพาะตนเท่านั้นทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ นางสุจินดา เชิดชัย และพี่ชาย นายอัสนี เชิดชัย ส.ส.สัดส่วน โซน 5 พรรคเพื่อไทยก็พร้อมจะทำเช่นกัน 
 ต่อข้อถามของผู้สื่อข่าวว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่นางสุจินดากับนายสุวัจน์ซึ่งเป็นคู่แข่งทางเมืองที่ จ.นครราชสีมา มาช้านานจะจับมือทำงานการเมืองร่วมกัน ในจ.นครราชสีมา นายสุรวุฒิ  ตอบว่า  ตนและครอบครัวเชิดชัย พร้อมร่วมมือตลอดเวลาถ้าทำแล้วสิ่งนั้นเกิดประโยชน์ เกิดความสมานฉันท์และคนโคราชรวมทั้งคนไทยได้ประโยชน์และบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า เพราะถ้าทุกคนรักกันสามัคคีกันก็จะทำให้ประเทศชาติสงบสุขและตนเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะมาผนึกกำลังกันเพื่อให้เมืองโคราชเจริญต่อไป
  ด้านนายประเสริฐ  บุญชัยสุข  ส.ส.นครราชสีมา เขต 1 พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาและเป็นคนสนิทของนายสุวัจน์  กล่าวว่าป้ายดังกล่าวเป็นป้ายประชาสัมพันธ์งานตรุษจีน ที่นายสุรวุฒิมาเชิญนายสุวัจน์  ไปเป็นประธานเปิดงานในวันที่ 13 ก.พ. ที่ลานย่าโม  ทั้งนี้ถ้ามองในแง่ดีก็แสดงให้เห็นถึงความสมานฉันท์เกิดขึ้นในการเมืองท้องถิ่นโคราช ซึ่งตนก็เห็นด้วยเพราะเป็นการสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ท่านต้องการให้คนไทยรู้รัก สามัคคี และร่วมกันสร้างชาติบ้านเมืองให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
 ขณะที่แหล่งข่าวที่ติดตามการเมืองในพื้นที่จ.นครราชสีมา ตั้งข้อสังเกตว่า  ความพยายามร่วมมือระหว่างกลุ่มนายสุวัจน์ กับกลุ่มเจ๊เกียว มีมาอย่างน้อย 2 ครั้งแล้ว เนื่องจากทั้งสองฝ่ายประเมินว่าหากยังต่อสู้กันเองต่อไป ยิ่งจะทำให้ทั้งสองกลุ่มมีปัญหาที่ถูกโดเดี่ยว และถูกกลุ่มอื่นแย่งพื้นที่ไป ซึ่งไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย โดยปัจจุบัน จ. นครราชสีมา มีส.ส.16 ที่นั่ง เป็นส.ส.พรรคเพื่อไทย 4 ที่นั่ง รวมใจไทยชาติพัฒนา ของนายสุวัจน์ 5 ที่นั่ง พรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่มว่าที่ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี 4 ที่นั่ง และพรรคภูมิใจไทย กลุ่มนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ 2 ที่นั่ง และแนวโน้ม ส.ส.กลุ่มของนายสุวัจน์ ยังมีโอกาสเปลี่ยนขั้วไปอยู่พรรคอื่น วิธีการร่วมมือกับกลุ่มเจ๊เกียวของนายสุวัจน์ น่าจะเป็นทางออกในการผนึกสองกลุ่มเข้าด้วยกันเพื่อความเป็นต่อทางการเมืองในพื้นที่
"สุริยะใส"ชี้แก้ รธน.เกมต่อรองโควต้า รมต.ของพรรคร่วม
 นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ( ก.ม.ม. ) กล่าวถึงกรณีที่มติพรรคประชาธิปัตย์ ( ปชป. ) ไม่ร่วมลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาล อันนำไปสู่กระแสข่าวถึงการบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลว่า เป็นการสร้างกระแสข่าวเพื่อเข้ายุทธวิธีลับ ลวง พราง ของพรรคร่วมฯ โดยเฉพาะนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ถนัดเกมการต่อรองเช่นนี้ มติของปชป.ที่ไม่ร่วมลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมอาจทำให้มองได้ว่า เป็นความผิดหวังของพรรคร่วมฯ แต่แท้จริงแล้ว คือต้องการเพิ่มการต่อรองของพรรคร่วมฯในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
 “ ในสถานการณ์ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังเป็นไปได้ยาก สังคมอาจมองกันว่านี่คือการพ่ายแพ้ของพรรคร่วมฯ แต่จริงๆแล้วกลับไม่ใช่เลย นี่คือการกระชับอำนาจของพรรคร่วมฯ โดยเฉพาะนายบรรหารและนายเนวิน ที่จะลดบทบาทของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการฯปชป.ในการเป็นผู้จัดการรัฐบาล อันนำไปสู่การเพิ่มอำนาจต่อรองในโควต้าคณะรัฐมนตรี หากมีการปรับครม.ครั้งต่อไปหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ” นายสุริยะใส กล่าว
ชทพ.เตรียมนำ5พรรคร่วมฯยื่นญัตติแก้รธน.3 ก.พ.นี้
 นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายเทพไทย เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถึงกรณีที่วิจารณ์การทำงานในฐานะโฆษกพรรคชทพ.กับโฆษกรัฐบาลต้องแยกกันให้ออกว่า ตนไม่ถือสานายเทพไท และไม่เห็นความสำคัญของนายเทพไทมากนัก เพราะทราบอยู่ว่านายเทพไทเป็นคนแบบไหน ดังนั้นการที่เขายิ่งมาพูดในแง่การวิจารณ์บุคคล แทนที่จะพูดหลักการ ทำให้ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ประชาชน และการเมือง ทั้งนี้การที่ตนไม่ให้ความสำคัญต่อนายเทพไทนั้น เพราะตนจะมองที่โฆษกพรรค ปชป.หรือผู้บริหารท่านอื่นเป็นหลักมากกว่า เพราะถือเป็นสัญญาณหลักที่ออกมาจากพรรค ไม่ใช่จากตัวบุคคล เพราะการแสดงความคิดเห็นของนายเทพไทนั้น ล้วนเป็นการแสดงความเห็นส่วนบุคคล ซึ่งบางครั้งหาสาระไม่ได้
 นายวัชระ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายเทพไทกำลังสับสนบทบาทของตน ถึงกับไปบอกนายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ต้องควบคุมตนนั้น คิดว่านายเทพไทคงสับสน ตนยอมรับว่าสวมหมวก /2 ใบ แต่ทั้ง 2 ตำแหน่งถือเป็นตำแหน่งทางการทั้งสิ้น มีกฎระเบียบและกฎหมายรองรับ และทุกครั้งที่ตนให้สัมภาษณ์ก็รู้บทบาทรู้หน้าที่ของตัวเองดี ไม่ว่าจะให้สัมภาษณ์ในฐานะรองโฆษกรัฐบาล หรือโฆษกพรรค ชทพ. เพราะตนถือว่าทั้ง 2 ตำแหน่งล้วนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และการสัมภาษณ์แต่ละครั้งตนแยกบทบาทและหน้าที่ได้ชัดเจน หรือนายเทพไทจะลองถามายปณิธานก็ได้ว่าการทำหน้าที่รองโฆษกรัฐบาลของตนมีขาดตกบกพร่องอย่างไร เพราะทุกครั้งที่ตนปฏิบัติหน้าที่ก็ทำอย่างเต็มที่ มีผลงานให้สังคมได้ประจักษ์มาตลอด ไม่เคยวิจารณ์ตัวนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลในเชิงเสียหาย แต่ตรงกันข้ามเวลาเอยถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ตนแสดงความชื่นชมและเชียร์โดยตลอด ไม่ว่าในขณะนั้นกำลังพูดคุยกับสีอะไรก็ตาม
 นายวัชระ กล่าวอีกว่า ส่วนการเป็นโฆษกพรรค ชทพ.ย่อมมีการพูดคุยหรือแถลงถึงเรื่องการเมืองเป็นธรรมดา ซึ่งนายเทพไทที่เป็น ส.ส.มานาน ย่อมรู้ดีว่า การทำหน้าที่โฆษกพรรคการเมืองต้องปกป้องประโยชน์ของพรรค ดังนั้นเมื่อพรรคการเมืองมีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ(รธน.) แล้วจะให้ตนแถลงชื่นชมหรือเชียร์อีกฝ่ายหนึ่ง เพราะตนก็ต้องรักษาอุดมการณ์ของพรรค ชทพ. แต่นายเทพไทเองไม่ควรหยิบยกขึ้นมาพูด ควรต่างคนต่างทำหน้าที่ และตนมองว่าเป็นเรื่องประหลาดที่นายเทพไท เอาเรื่องการทำหน้าที่ของตนไปพูดคุยกับนายปณิธานเพื่อขอให้มาควบคุมดูแลการทำหน้าที่ของตน เพราะนั่นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องการสนับสนุนแก้ไข รธน.
 ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายเทพไท ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ผิดสัญญาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายวัชระ กล่าวว่า ถึงวันนี้คงพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าพิสูจน์ก็คงง่าย ไม่ยาก ถ้าจะวัดจาก 5 พรรคร่วมรัฐบาลที่ได้มีความคิดเห็นตรงกัน แต่มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวที่พูดไม่เหมือนเพื่อน ถึงวันนี้เรารู้สึกเห็นใจนายสุเทพที่พยายามประนีประนอมและตนเห็นด้วยกับการที่นายแพทย์บุรณัติที่พยายามให้พรรคร่วมทำงานเพื่อให้รัฐบาลเดินต่อไปได้ เพราะเรามีเรื่องอื่นๆที่สำคัญต้องทำอยู่มากแต่เรื่องรัฐธรรมนูญก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นสัญญาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด จะมีอยู่จริงหรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่พิสูจน์ยาก เพราะถ้า 5 พรรคพูดเหมือนกันแต่มีเพียง 1 พรรคที่พูดไม่เหมือน แสดงว่าต้องมีฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิดตั้งแต่วันที่ได้หารือตกลงในวันจัดตั้งรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตามถึงวันนี้มันเลยไปแล้วที่จะมาพูดถึงว่ามีสัญญาหรือไม่ ต้องให้สังคมตัดสินเอาเอง แต่พรรค ชทพ.ต้องผลักดันให้มีการแก้ไข รธน.ให้ได้ ส่วนกรณีที่นายเพทไทระบุว่าให้ตนไปดูภูมิหลังของบางพรรคที่ถูกเรียกว่าปลาไหลนั้น ตนเชื่อว่านักการเมืองทุกคนทุกพรรคไม่มีคนไหนพรรคไหนที่จะดีหมดทุกเรื่อง ไม่เคยด่างพร้อยผิดพลาด ชทพ.ก็มี ปชป.ก็มี จึงป่วยการที่จะขุดอดีต ไปพูดแล้วถ้าตนขุดเรื่องสปก.4-01 ขึ้นมาอีก คงมีคนฟังมีคนดูหนังเรื่องนี้เหมือนกัน นายเทพไทเป็นนักการเมืองมานานก็ไม่น่าขุดหนังเก่ามาฉายซ้ำ อย่าให้ประชาชนเบื่อการเมือง ตนไม่เห็นประโยชน์ที่ไปเอาขุดเรื่องเก่ามาพูดเพราะมันย่างจะทำให้นายเทพไทเองถูกประชาชนมองว่าพูดเรื่องไม่มีประโยชน์
 “ผมขอพูดถึงคุณเทพไทครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร กลัวประชาชนเบื่อหน่ายและรังเกียจพรรคการเมืองมากขึ้นที่เอาประเด็นส่วนตัวมาขยาย แต่ก็อยากขอบคุณนายเทพไทที่มาสอนเรื่องมารยาทการเมืองให้กับผม ผมให้เกียรติ เพราะคุณเทพไทเป็นส.ส.มานานกว่า ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเป็นส.ส.เลยก็ตาม แต่การเป็นส.ส.ไม่ใช่ว่าคนที่ได้เป็นแล้วจะเก่งที่สุดดีที่สุด อย่ามองคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ว่าอ่อนด้อยหรือโง่กว่าตัวเอง อย่ายกตนข่มท่าน เพราะถ้าคนที่เป็นส.ส.ได้แล้วคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดดีที่สุด การเมืองไทยคงไม่เป็นอย่างนี้” นายวัชระ กล่าว
 ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทย จะนำรายชื่อมาส่งให้กับ ชทพ.ในวันจันทร์ที่ 1 ก.พ.53 นายวัชระ กล่าวว่า ทราบว่าการรวบรวมรายของแต่ละพรรคเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคงนำมาส่งให้กับนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ชทพ.ในวันจันทร์ที่ 1 ก.พ.53 แต่ไม่ทราบเวลาที่แน่ชัด เท่าที่รู้คือเสียงเพียงพอ 1ใน5 ที่จะเสนอขอแก้ไข รธน.อย่างแน่นอน และขอย้ำว่าทั้ง 5 พรรค ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแนวคิดเรื่องแก้รธน.แน่นอน
 เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวเนื่องจากมีความเห็นไม่ตรงกันกับพรรคปชป.กรณีการแก้ไข รธน. นายวัชระ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นเหตุผลที่จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลต้องถอนตัวด้วยสาเหตุดังกล่าว เพราะถึงวันนี้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวไปการแก้ไขรธน.ก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ แต่ตรงกันข้ามทั้ง 5 พรรคต้องพยายามโน้มน้าวพรรค ปชป.และสมาชิกสภาให้หันมาร่วมแก้ รธน. เพราะท่าจะถอนตัวคงไม่สามารถหาเหตุผลมาตอบให้กับสังคมได้ แต่จะกลับกลายเป็นการตีรวน ซึ่งการแก้ปัญหาให้กับประชาชนในการบริหารงานประเทศนั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน
 นายวัชระ กล่าวว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าเรื่องการรวบรวมรายชื่อแล้ว โดยมีรายชื่อจากทั้ง 5 พรรคร่วมรัฐบาล ส่วนการยกร่างแก้ไขรธน.นั้น ขณะนี้ได้ส่งไปยัง 5 พรรค เพื่อให้พิจารณานั้นเรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าจะส่งกลับคืนมาพร้อมรายชื่อทั้งหมดในวันจันทร์นี้ ส่วนกรณีที่ปชป.ระบุว่ายังมีเวลาในการแก้ไข รธน.อยู่ และควรหารือกันภายหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้วนั้น คิดว่าการแก้ไขรธน.ควรเริ่มต้นกันได้แล้ว เพราะเรารอมานานกว่า 1ปีแล้ว ซึ่งยังเชื่อว่าสามารถคุยกับพรรคประชาธิปัตย์ได้
 เมื่อถามว่าจะเปรตบหัวแล้วลูบหลังหรือไม่ นายวัชระ กล่าวว่า คิดว่า ปชป.คงไม่ทำเช่นนั้น ต่อข้อถามว่า การที่ระบุว่าควรไปพูดคุยกันภายหลังการอภิปรายไว้วางใจนั้นเป็นการซื้อเวลาหรือไม่ นายวัชระ กล่าวว่า ไม่คิดไปไกลขนาดนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ข้อเท็จจริง การอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นอยู่กับเหตุผลและหลักฐาน
 แหล่งข่าวระดับสูงจากพรรค ชทพ.เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 1 ก.พ.นี้ แกนนำของพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน จะรวบรวมรายชื่อทั้งหมดให้กับนายชุมพล จากนั้นทาง ชทพ.จะดำเนินการรวบรวมรายชื่อก่อนที่จะนำไปแนบท้ายร่างขอแก้ไขรธน. 2 ประเด็น เพื่อยื่นเป็นญัตติต่อประธานรัฐสภา โดยจะยื่นในวันพุธที่ 3 ก.พ.53 โดยขณะนี้รายชื่อจาก 5 พรรคร่วมรวมกันได้จำนวน 111 รายชื่อ ได้แก่ ชทพ. 25 รายชื่อ ภูมิใจไทย 43 รายชื่อ เพื่อแผ่นดิน 29 รายชื่อ รวมใจไทยชาติพัฒนา 9 รายชื่อ และกิจสังคม 5 รายชื่อ
 










NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

เทพเทือกครวญเลขาฯไม่มีอำนาจสั่งลูกพรรคหุบปาก

เทพเทือกครวญเลขาฯไม่มีอำนาจสั่งลูกพรรคหุบปาก

สุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกฯ ครวญเลขา ปชป.ไม่มีอำนาจสั่งลูกพรรคหุบปากสาดน้ำลายใส่พรรคร่วม เดินหน้ากราบพรรคร่วมกอดคอเดินหน้าต่อ แฉในพรรคมีคนที่ดันทุรังที่จะพูดต่อความยาวสาวความยืดอยู่  ...ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 13.00น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการประสานรอยร้าวความขัดแย้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ตนเป็นคนมุมานะ ก็พยายามทำหน้าที่ของตนต่อไป แต่ยังไม่ทราบวันนัดหารือแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ได้เดินสวนกับนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ และหัวหน้าพรรกคกิจสังคมที่เป็นเจ้าภาพก็ไม่ได้สอบถาม อย่างไรก็ตามตนพยายามจะคุยกับพรรคร่วมฯว่าการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมีเรื่อง อื่นต้องทำหลายเรื่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเพียงหนึ่งเรื่องที่เป็นความสัมพันธ์ที่ต้องมีต่อกัน แต่ภารกิจหลักคือการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชนยังต้องมีต่อไป ส่วนที่ยังมีคนในพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคออกมาพูดนั้น  เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ตนก็ได้พูดมากไปแล้ว เขาก็สวนตนมาแล้ว อย่างไรก็ตามตนพยายามจะขอร้องลูกพรรคประชาธิปัตย์ คนเราต้องพยายามทำให้เหตุการณ์ค่อย ๆ เบาบางลง เรื่องใหญ่ทำให้เป็นเรื่องกลาง เรื่องกลางทำให้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กทำให้หมดไป นี่ถึงจะถือว่าช่วยกัน ไม่ใช่เอะอะอะไรไม่ได้ว่ามา 1 คำต้องว่ากลับไป 3 คำก็เหนื่อย เมื่อถามว่า เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ย่ามใจมั่นใจว่ากุมสภาพกดหัวพรรคร่วมรัฐบาลไว้ได้ แล้ว นายสุเทพ ปฏิเสธ ว่า ไม่เป็นอย่างนั้น ตนไม่ได้คิดจะไปกดหัวใคร ตนกราบมือกราบเท้าเขาตลอดเวลาทุกคนกราบทั้งในพรรค นอกพรรค หวังให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยและตั้งหน้าตั้งตากราบต่อไป เมื่อถามว่า ท่านบอกว่าพยายามทำให้เรื่องเบาลง แต่นายเทพไทก็ยังพูดอยู่เพราะได้รับไฟเขียวจากนายกฯหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าให้ลามไปถึงนายกฯเลย เอาเฉพาะนายเทพไทเถอะ ในพรรคก็ยังมีคนที่ดันทุรังที่จะพูดต่อความยาวเพราะคนของตนมี 170 กว่าคน เลขาธิการพรรคก็สั่งไม่ได้ อำนาจของเลขาธิการพรรคน้อยมาก ไม่มี ส่วนที่นายกฯพูดถึงเรื่องความเชื่อมั่นที่มีปัญหาจากเงื่อนไขการเมืองไม่ นิ่ง ซึ่งปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเป็นคนทำให้การเมืองไม่นิ่งเสียเองนั้น ตนยังคิดว่าการเมืองยังทำให้นิ่งได้ ความเชื่อมั่นยังไม่เสียหายยังดีอยู่.


NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

เทือกท้าเพื่อไทย สอบจีที200 บอกซื้อสมัยแม้ว

เทือกท้าเพื่อไทย สอบจีที200 บอกซื้อสมัยแม้ว

นายสุเทพ เทือกสุบรรณสุเทพ ย้ำตรวจสอบเครื่องจีที 200 ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ท้าเพื่อไทยยื่น ป.ป.ช.สอบทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิด ระบุซื้อตอนที่ ทักษิณ เป็นรัฐบาล ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา ไม่กังวล ...เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 31 ม.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบเครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200 ว่า ตนยังไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพราะยังไม่ใช่เรื่องที่ตนจะต้องลงไปทำถึงขนาดนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแต่ละระดับชั้นคงดำเนินการ แต่เรื่องที่ถกเถียงกันเป็นเรื่องเทคนิคที่มีโอกาสพิสูจน์ให้เห็นชัดเจน แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบเร่งกันในวันนี้พรุ่งนี้ และไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งในการตรวจจับเก็บกู้ระเบิด ไม่ใช่อาวุธ เท่าที่ตนไปติดตามมาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเป็นฝ่ายร้องขอ ผู้บังคับบัญชาจึงจัดซื้อจัดหาให้ และไม่ใช่เรื่องมากมายอะไร อย่างไรก็ตามคงจะต้องมีการพิสูจน์ให้ชัดเจนกันไป เมื่อถามว่า ทำไมไม่พิสูจน์ให้ชัดเจนก่อน เพราะขณะที่มีข้อวิจารณ์เรื่องประสิทธิภาพก็มีการใช้งานจริงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายสุเทพ กล่าวว่า มีเรื่องอื่นอีกมากที่ต้องทำไปตามลำดับและตนไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็น เรื่องหวือหวา เพราะเป็นเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติรู้สึกว่าเขายังใช้ได้ผลอยู่ ตนจึงไม่อยากไปเร่งรัดอะไร แต่เชื่อว่าเมื่อมีข้อสงสัยของสังคมเขาก็ต้องหาทางพิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จ จริงอยู่ดี บ้านเมืองต้องมีหลักกันนิดหน่อยเอาทุกอย่างมาเป็นกระแส เอาทุกอย่างเรื่องเล็กเรื่องน้อยมาเป็นเรื่องใหญ่หมดประชาชนก็ปวดหัวแย่ ต้องเรียงลำดับ เอาเรื่องความมั่นคงโดยรวมเป็นหลักก่อน ส่วนเรื่องเครื่องมือตัวหนึ่งถึงอย่างไรก็ต้องทำให้ชัดเจน แต่ตนจะไปวุ่นวายสร้างเรื่องให้ใหญ่โตไปอีกก็จะเป็นภาระแก่เจ้าหน้าที่ ส่วนที่พรรคเพื่อไทยเตรียมจะนำเรื่องนี้ไปร้องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบนั้น รองนายกฯ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนที่เริ่มซื้อปี 2547 พรรคเพื่อไทยก็เป็นรัฐบาล ตนไม่ไปกังวลใจและไม่ติดใจอะไร ตอนที่ตนเข้ามาก็ไม่มีการจัดซื้อ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นปัญหา.


NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

สุเทพลั่นขู่ศาลไม่ได้สั่งเกาะติดคำพูดเสธ.แดง

สุเทพลั่นขู่ศาลไม่ได้สั่งเกาะติดคำพูดเสธ.แดง



คมชัดลึก :"สุเทพ"สั่งจนท.เกาะติดคำพูดเสธ.แดง ย้ำยอมให้ขู่ผู้พิพากษาไม่ได้ จวกพท.ดิ้นสร้างกระแสรบ.ปฏิวัติ หวังสร้างภาพบ้านเมืองวุ่นวาย






 (31ม.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุจะต้องมีการขยายผลดำเนินดคีดกับพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ.ที่ออกมาพูดจาข่มขู่ว่าจะมีการลอบสังหารองค์คณะผู้พิพากษาในคดียึดทรัพย์ ว่า ไม่ทราบ ตนยังไม่ได้ฟังนายกฯพูด
 ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเสธ.แดงเพียงแต่พูดข้อความว่าจะมีคนไปลอบสังหารบุคคลต่างๆจะเข้าข่ายดำเนินคดีตามกฎหมายได้หรือไม่ นายุสเทพ กล่าวว่า ต้องดูว่าถ้าเป็นการพูดจาในลักษณะที่เป็นการข่มขู่ก็น่าที่จะเข้าข่าย ตนไม่ใช่นักกฎหมายจะต้องไปตรวจสอบ สำคัญว่าเจ้าหน้าที่ต้องติดตามคำพูดที่แท้จริงที่เขาพูดว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นการพูดข่มขู่จริงเราก็ยอมไม่ได้ เพราะท่านผู้พิพากษาเหล่านั้นท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน เรายอมให้ใครมาข่มขู่ศาลหรือผู้พิพากษาไม่ได้ ซึ่งตนยังตอบไม่ได้ว่าจะเอาผิดเสธ.แดงได้หรือไม่ เพราะบางคนพูดจามีเจตนาแต่ว่าลักษณะการพูดหรือตัวคำพูดเมื่อถอดออกมาไม่เข้าข่ายกฎหมายเราก็ต้องอดทนเอา ถ้าเข้าข่ายก็ต้องดำเนินคดี
 อย่างไรก็ตาม นายสุเทพกล่าวว่า เราคงไปปรามไม่ให้เสธ.แดงพูดจาเช่นนี้ในที่สาธารณะไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะไปเชื่อฟังใคร โดยเฉพาะเรา แต่เขารู้อยู่แล้วว่าถ้าทำผิดกฎหมายเราดำเนินคดีแน่นอนไม่ว่าจะเป็นใคร
 ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เสธ.แดงระบุว่าเชื่อถือนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ จะขอให้นายไตรรงค์ไปคุบกับเสธ.แดงหรือไม่นั้น นายสุเทพ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า พรุ่งนี้เจอนายไตรรงค์ก็ถามท่านดูก็แล้วกัน
 เมื่อถามอีกว่า ฝ่ายความมั่นคงจะเพิ่มการอารักขาองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์เป็นพิเศษหรือไม่ ตามที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา เรียกร้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาองค์คณะไม่ครบต้องเลื่อนตัดสินคดีออกไป นายสุเทพ กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงก็ตรวจสอบติดตามเรื่องเหล่านี้และพยายามดูแลความปลอดภัยบรรดาผู้ที่อยู่ในข่ายที่ปราฏเป็นข่าว แต่จะไปทำอะไรที่เป็นพิเศษคงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกพวกไม่หวังดีกล่าวอีกว่าไปอยู่พวกเดียวกัน ทั้งนี้เพราะระบบศาลต้องเป็นอิสระ ผู้พิพากษาต้องรักษาความเป็นกลางและอิสระของท่าน เราเข้าไปใกล้ชิดท่านเกินไปก็เป็นอันตรายถูกวิพากษ์วิจารณ์ท่านก็เสียหาย แต่อยู่หากออกไปก็เป็นห่วง ดังนั้นต้องรักษาความพอดี
 "บ้านเมืองเราวันนี้กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีกันง่าย เราก็ต้องดูแล ซึ่งได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ดูแลความปลอดภัยโดยถือว่าท่านเป็นประชาชนคนหนึ่งเมื่อมีข่าวจะถูกปองร้าย เราไม่ประมาท จัดให้มีเวรยามผ่านไปที่บ้านพักของท่านเป็นระยะ ๆ และคอยตรวจสอบระแวดระวัง แต่จะถึงกับเอาคนขับรถประกบไปมากับท่านเหมือนตน ท่านคงไม่ยอม ทั้งนี้ตนยังใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปกติ ไม่ได้ใช้เจ้าหน้าที่จากหน่วยพิเศษ ให้ผบช.ส.กวดขันดูแล เรื่องนี้สั่งการไว้นานแล้ว ผบช.ส.ก็ดูแลอย่างเต็มที่ โดยจะดูแลไปเรื่อยจนกว่าจะไม่มีข่าวไม่มีปัญหา" นายสุเทพกล่าว
 เมื่อถามว่า ในระดับข่าวกรองฝ่ายความมั่นคงประเมินแล้วข้อมูลตรงกับที่น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือไม่ที่ระบุจะมีการลอบสังหารและลอบก่อวินาศกรรม นายุสเทพ กล่าวว่า ตนคงตอบไม่ได้ได้ว่าตรงกับใครหรือไม่ แต่เราตรวจสอบข่าวทุกข่าวไม่ประมาท ไม่มองข้ามเรื่องราว เราพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด  ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า มองว่ายังอยู่ในวิสัยที่ฝ่ายความมั่นคงจะรองรับได้ ไม่จำเป็นต้องอาศัยวิธีพิเศษเข้ามาจัดการ นายสุเทพ กล่าวว่า คิดว่าอย่างนั้น ถ้ามีอะไรที่ต้องเป็นพิเศษตนจะเรียนให้ทราบ
จวกพท.ดิ้นสร้างกระแสรบ.ปฏิวัติ
นายสุเทพ  ให้สัมภาษณ์ถึงการที่มีทหารเหล่าทัพต่างๆ ทะยอยตบเท้าแสดงพลังอย่างต่อเนื่องอ้างว่าเพื่อกอบกู้ศักดิ์สรีกองทัพ แต่ก็มีคนบางส่วนมองว่าเป็นการข่มขู่เสื้อแดงและนำร่องไปสู่การปฏิวัติ ว่า สังคมก็ต้องมีสติ พวกเราก็ต้องมีสติถ้าปล่อยให้กระแสข่าวลือชักนำพวกเราไปทุกวัน ๆ ชีวิตเราก็คงหาความสงบสุขกันยาก เมื่อมีทหารบางกลุ่มบางคนออกมาแสดงอาการกระด้างกระเดื่องด่าว่าไม่เคารพผู้บังคับบัญชา ประชาชนก็หันไปมองและตั้งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมกองทัพปล่อยให้เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อกำลังพลลุกขึ้นมาแสดงพลังว่ากำลังพลส่วนใหญ่เป็นคนดีมีวินัยกองทัพยังมีเอกภาพก็พยายามแปลว่าเขาข่มขู่ อย่างนี้ก็ลำบากต้องเห็นใจกองทัพบ้าง
 เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยออกมาประโคมข่าวว่าฝ่ายรัฐบาลมีการเตรียมการเพื่อจะปฏิวัติตัวเอง นายสุเทพ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยพยายามสร้างกระแสเพื่อให้เห็นว่าบ้านเมืองวุ่นวาย เอากันไม่อยู่ คุมสานการณ์ไม่ได้แล้ว เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกสอดประสานกัน ต้องการให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ไม่น่าแปลกใจอะไร สื่อมวลชนฟังข่าวอะไรก็ต้องใจเย็นตั้งสติ ค่อย ๆ คิด ตนยืนยันว่าไม่มีการปฏิวัติตัวเอง จะมาบอกว่ารัฐบาลจะปฏิวัติตัวเอง ผมจะไปปฏิวัติทำไม คนปฏิวัติคือต้องการยึดอำนาจรัฐ เพื่อเอาอำนาจรัฐมาจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่วันนี้เราเป็นรัฐบาลคุมอำนาจรัฐอยู่แล้ว คนพวกนั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีเหตุผล
 เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯก็ระบุว่าหากถูกยึดทรัพย์ และเกิดเหตุการปฏิวัติขึ้นก็จะมีการต่อสู้ไปจนถึงศาลโลก นายสุเทพ กล่าวว่า นี่ก็พูดไป ยังไม่รู้ว่าศาลจะพิพากษาว่าอย่างไรเลย ศาลอาจจะตัดสินคืนทรัพย์สินให้พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมดก็ได้หรือจะยึดทรัพย์ก็ได้ แต่การมาเคลื่อนไหวต่างๆ นานาเป็นลักษณะการกดดันศาล และสมมติถ้าพ.ต.ท.ทักษิณถูกยึดทรัพย์ทั้งหมดก็ไม่มีใครที่จะไปคิดปฏิวัติ ไม่เกี่ยวกัน ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณจะไปสู่ที่ศาลไหนอีกก็ได้ แต่ง่ายที่สุดคือกลับมาสู้ที่ประเทศไทย ไม่ต้องไปลำบากไปศาลโลกหรอก มันเหนื่อย เพราะไม่รู้ว่าศาลโลกจะรับพิจารณาคดีนี้ให้หรือไม่
 ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมรับศาลไทยเพราะมองว่าเป็นสองมาตรฐาน นายสุเทพ กล่าวว่า ระบบในนี้เป็นระบบเดียวกับที่พ.ต.ท.ทักษิณเคยอยู่เคยเป็นนายกฯ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เวลาอะไรได้ประโยชน์ท่านก็คิดว่าดี แต่อะไรไม่ได้ประโยชน์ก็บอกว่าไม่ดี ซึ่งไม่ค่อยยุติธรรมต่อระบบศาลเท่าไหร่
 เมื่อถามว่า มั่นใจว่าการตัดสินคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 ก.พ.จะไม่เป็นจุดสุ่มเสี่ยงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่สามารถจะพูดอะไรได้อย่างนั้น แต่ตนเคารพในระบบ เคยถูกศาลพิพากษา มีแพ้บ้างชนะบ้าง เวลาชนะตนก็ไม่ได้ดีใจเกินเหตุเพราะรู้ว่าศาลทำหน้าที่ไปตามกฎหมาย เวลาแพ้ตนก็ไม่ไปโกรธตีโพยตีพาย เพราะรู้ว่าศาลก็ทำตามพยานหลักฐาน
 








ข่าวที่เกี่ยวข้องปชป.ปมแก้รธน.คลี่คลาย-วอนพรรคร่วมจับมือรับศึกซักฟอกเดือนเดือด !'นาม'ไม่กลัวเย้ย'ขัตติยะ'มีปากไว้พูด 'ประสงค์'เชื่อลอบฆ่าคนสำคัญเกิดได้ 'พ.อ.อภิรัชต์'ปฏิเสธคนร้ายยิงเอ็ม79ในร.11รอ.

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

เลขาศาลปฏิเสธข่าวลือ ลอบฆ่า องค์คณะคดียึดทรัพย์

เลขาศาลปฏิเสธข่าวลือ ลอบฆ่า องค์คณะคดียึดทรัพย์

นายวิรัช ชินวินิจกุลเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเผยตรวจสอบข่าว จากสำนักงานข่าวกรองฯ แล้ว ไม่มีการแจ้งเตือนข่าวลอบฆ่าองค์คณะคดียึดทรัพย์ แต่อย่างใด   เชื่อว่าเป็นการปล่อยข่าวเพื่อหวังผลทางคดีเมื่อวันที่ 31 ม.ค. นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวกรณีมีข่าวขบวนการลอบฆ่าองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง ในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง สำนักงานศาลยุติธรรม ได้ตรวจสอบกระแสข่าวดังกล่าวจากสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีการแจ้งเตือนแต่อย่างใด ได้เรียนให้นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกาทราบแล้ว เชื่อว่าเป็นการปล่อยข่าวเพื่อหวังผลทางคดี นอกจากนี้ ยังได้เรียนให้องค์คณะทั้ง 9 ท่าน ทราบ พร้อมและประสานหน่วยงานความปลอดภัย มาช่วยดูแลองค์คณะ มั่นใจว่าจะไม่มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น  ก่อนการตัดสินคดี คงไม่จำเป็นถึงกับต้องเก็บตัวผู้พิพากษาไว้ในที่ปลอดภัย เพราะผู้พิพากษาไม่มีศัตรู ปฎิบัติหน้าที่ไปตามกฎหมาย ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ไม่มีอะไรที่จะบังคับองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่าน ที่ใช้ดุลยพินิจตัดสินคดีอย่างอิสระ และทุกท่านไม่มีอคติกับเรื่องอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคลหรือหลักการ ขอให้เชื่อมั่นในตัวผู้พิพากษา ที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นที่พึ่งได้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าว


NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

อภิสิทธิ์เผยไทยจะจัดเวทีศก.โลกเอเชียตะวันออกปีหน้า

อภิสิทธิ์เผยไทยจะจัดเวทีศก.โลกเอเชียตะวันออกปีหน้า



คมชัดลึก :นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ถึงการเดินทางไปร่วมประชุม World Economic Forum ครั้งที่ 40 ยันต่างประเทศมีความั่นใจและเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น โชว์ไทยอู่ข้าวอู่น้ำของโลก ยันโครงการไทยเข้มแข็งทำเศรษฐกิจฟื้น






วันที่ 31 ม.ค.  นายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  กล่าวก่อนเดินทางกลับไทยกว่า ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม อีสต์ เอเชีย หรือการประชุมเศรษฐกิจโลก เอเชียตะวันออก ในปี 2554 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความไว้วางใจจากรัฐบาลต่างชาติและนักธุรกิจชั้นนำสำหรับผลงานการเป็นประธานอาเซียนในปีที่แล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า การประชุมที่กรุงเทพฯในปีหน้า ยังมีความสำคัญต่อไทยอย่างยิ่ง หลังจากบริษัท ปตท. จำกัด มหาชน ได้เข้าเป็นสมาชิกของ เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม หรือ WEF แล้ว และธนาคารกรุงไทย ได้สมัครเป็นสมาชิกและกำลังรอการรับรองยืนยัน  และการสมัครเป็นสมาชิก WEF ของทั้งสองบริษัทนับเป็นสัญญาณอันดี และผู้จัดการประชุมมีความมั่นใจต่อประเทศไทยมากขึ้น จึงเลือกให้จัดการประชุมในปีหน้า
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา 09.00 น.นายอภิสิทธิ์    เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 55  ผ่านระบบ Tele Presence จากเมืองดาวอส สหพันธรัฐสวิส  มายังชั้น 28 บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์  ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย  และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย  ดังนี้
ช่วงที่ 1 
ผู้ดำเนินรายการ ท่านได้พูดในช่วงต้นว่าครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญเหมือนกันที่ทำให้เราได้ตอกย้ำประเทศไทยใน ฐานะที่เป็นผู้ส่งออกอาหาร  ตรงนี้ท่านได้นำเสนออะไรในเวทีการประชุมครั้งนี้บ้างคะ
นายกรัฐมนตรี  ได้นำเสนอหลัก ๆ นะครับ 1. ไทยเข้มแข็ง  ซึ่งกำลังเข้าไปแก้ปัญหาในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน คือเรื่องแหล่งน้ำ เรื่องการขนส่ง ซึ่งจะช่วยทำให้ผลผลิตต่อไร่เราสูงขึ้น  ต้นทุนในเรื่องของการนำ สินค้าเกษตรมาสู่ตลาดลดลง ซึ่งควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรทางด้านอื่น ๆ เช่น ที่ทำกิน หนี้สิน 
2. คือได้พูดถึงการที่เราปรับเปลี่ยนโครงการการแทรกแซงพืชผลทางการเกษตร  ของระบบจำนำมาเป็นระบบประกัน  ซึ่งทำให้เงินที่เราใช้เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม แต่ประโยชน์ไปตกอยู่กับเกษตรกรในจำนวนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว  ที่สำคัญคือว่าเป็นนโยบายที่เอื้อต่อการที่ทำให้สินค้าเกษตรของเรามีคุณภาพ แข่งขันได้  แล้วก็เป็นการกระตุ้นกลไกตลาดที่จะช่วยนำไปสู่ประสิทธิภาพ และโอกาสที่ดีกว่าสำหรับเกษตรกรต่อไป  ซึ่งอันนี้ก็เป็นประสบการณ์ซึ่งหลายประเทศเขากำลังดำเนินการ  เริ่มจะปรับเปลี่ยนนโยบายการแทรกแซงพืชผลทางการเกษตร มาเป็นในลักษณะของการที่จะช่วยเหลือเป็นเรื่องของรายได้ให้แก่เกษตรกรโดยตรงมากกว่า และก็จะเอื้อต่อเรื่องของการที่จะทำให้เรามีสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น  แก้ปัญหาความไม่มั่นคง หรือจะสร้างความมั่นคงทางอาหารต่อไป
ผู้ดำเนินรายการ  เรื่องร้อนที่เกิดขึ้นในการถกกันมากในเวทีดาวอสครั้งนี้คืออะไรคะ
นายกรัฐมนตรี  ถ้าพูดถึงสภาพทั่วไป ก็จะเป็นเรื่องปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน  เพราะว่าในขณะที่เศรษฐกิจต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้นมา  ความห่วงใยประการหนึ่งก็ยังมีอยู่ว่า  สถาบันการเงิน ธนาคารซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงไปหรือยัง จะมีการปฏิรูประบบการกำกับดูแลอย่างไร  เพราะฉะนั้น ก็เป็นหัวข้อที่ถกเถียง เพราะว่าในด้านหนึ่งทุกคนก็เห็นว่า ต้องเข้มงวดกวดขันกันมากขึ้นในเรื่องของภาคการเงิน  แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็กลัวว่าถ้าไปเข้มงวดกวดขันสุดโต่งเกินไป อาจจะไม่เป็นผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในวันข้างหน้า  แต่ว่าผมเองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องมากนักกับการถกเถียงในส่วนนี้ เพราะว่าในส่วนของเอเชียเป็นที่ยอมรับเลยว่าเราไม่ได้ประสบกับปัญหานี้เลยในวิกฤตรอบนี้  เขาก็เชื่อว่าเราได้บทเรียนมาตั้งแต่ปี  2540 ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง  และขณะนี้เขาก็มองเห็นว่าลู่ทางของเราทางด้านการเงินไม่ได้มีปัญหาอะไร 
ผู้ดำเนินรายการ  2 วันที่ผ่านมาอะไรที่เป็นสิ่งท้าทายที่สุดของบรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่มาพูดคุยหารือกันคะ
นายกรัฐมนตรี ผมว่าในใจหลายคนยังมีความผิดหวังกับการประชุมที่โคเปนเฮเกนในเรื่องของสิ่งแวดล้อม  สภาพภูมิอากาศ  แล้วต้องยอมรับครับผมพบกับท่านประธานาธิบดีเม็กซิโก  ซึ่งจะเป็นประธานในเรื่องนี้ในปีนี้  ท่านยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าจะเป็นงานยากมาก  ไม่เพียงแต่ว่าครั้งที่แล้วไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้  แต่ว่าท่านมีความรู้สึกว่าความไว้วางใจ  การทำงานร่วมกันระหว่างประเทศต่าง ๆ  มันก็เหมือนกับมาเริ่มต้นกันใหม่  ซึ่งมีความหนักใจในเรื่องนี้มาก 
อันนี้ชัดเจนมากนะครับ  เพราะเป็นสิ่งซึ่งแทรกอยู่กับทุกหัวข้อที่มีการประชุมกันว่าผิดหวังในเรื่องของโคเปนเฮเกน  และก็อยากจะเห็นความร่วมมือทางด้านนี้คืบหน้า เช่นเดียวกับเรื่องของการเจรจาการค้า และก็มีการพูดกันมากถึงเรื่องการปฏิรูประบบการดูแลเศรษฐกิจโลก  ตัวองค์กรอย่าง  IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) ธนาคารโลก อยู่ในระหว่างการปฏิรูปอยู่แล้ว  แต่ครั้งนี้พูดกันในหมู่ภาครัฐด้วยกันนะครับ  พูดกันค่อนข้างแรงถึงสหประชาชาติ ว่าอยากจะต้องมีการยกเครื่องกันครั้งใหญ่ เพราะว่าไม่สามารถที่จะตอบสนองปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ที่ประเทศทั่วโลกกำลังจะเป็น
ผู้ดำเนินรายการ  ในโอกาสที่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับนักธุรกิจ  เขาสนใจที่จะมาลงทุนในบ้านเรามากน้อยแค่ไหน
นายกรัฐมนตรี  คือมีช่วงหนึ่งที่เขาจัดให้มาฟังเรื่องประเทศไทยโดยเฉพาะ ซึ่งหลายคนที่มาจะมีทั้งที่ลงทุนอยู่แล้ว หรือกำลังมา  ตั้งใจที่จะทำมาลงทุนเพิ่มเติม  และหลากหลายมากนะครับ  มีตั้งแต่ปิโตรเคมี  อุตสาหกรรมยา  อุตสาหกรรมการเกษตร  เรียกว่าเกือบจะทุกด้านเลย  ที่น่าดีใจคือว่าเวลาที่ประชุมเสร็จ คือหมายความเลิกในช่วงนั้นก็จะมีคนเข้ามา และก็ยืนยันว่าสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทย  หรือขยายการลงทุนในประเทศไทย  แม้แต่ในประเด็นนี้อาจจะยังมีปัญหาอยู่  เขาก็ยังสนใจ 
ผู้ดำเนินรายการ  สุดท้ายแล้วเราได้อะไรจากการประชุมที่ดาวอสในครั้งนี้คะ
นายกรัฐมนตรี   ผมคิดว่าได้มาช่วยตอกย้ำว่า 1. ประเทศไทยฟื้นตัวแล้ว  ปีที่แล้วผมมานี่ในภาวะที่คนทุกคนพูดตรง ๆ ก็คือว่าเป็นห่วงมากว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าได้หรือเปล่า แต่ผมเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง พูดกันตรง ๆ ตอนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าปีนี้ผมจะมีโอกาสมาที่นี่หรือเปล่า   แต่ว่าปีนี้เขารับรู้ถึงความก้าวหน้า 1 ปีที่ผ่านมา  เขาได้มองเห็นว่าประเทศไทยเริ่มกลับมาเดินหน้าแล้ว  ถึงความมั่นใจในเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขต่าง ๆ ยืนยันถึงการฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี  และได้รับทราบสิ่งที่เราได้วาง เหมือนกับเป็นจุดขาย จุดแข็งของเรา เช่น ภาคการเกษตร  การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ครับ
ผู้ดำเนินรายการ  อยากกลับมาเรื่องของการเมืองบ้างนะคะ  หลังจากคุยเรื่องดาวอสไปค่อนข้างเยอะแล้ว  เรื่องการเมืองในบ้านเรา เรื่องร้อน ๆ ก็ยังเป็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  อยากให้ท่านนายกฯ ให้ความมั่นใจอีกสักครั้งหนึ่งว่า ความเห็นที่แตกต่างจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี  คือเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ผมเท้าความสั้น ๆ ว่าตอนที่จัดตั้งรัฐบาลก็เป็นประเด็นหนึ่ง ซึ่งเราหยิบยกมาคุยกัน  แล้วก็ได้พูดกันชัดเจนอย่างนี้ว่า  1. ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประเด็น ไม่ควรที่จะทำ  เพราะทำแล้วจะเกิดความขัดแย้ง  เพราะว่าปี 2551 ถ้าจำได้ชนวนของการเคลื่อนไหวชุมนุมกันตั้งแต่ต้นก็คือเรื่องนี้   ก็เห็นตรงกัน เช่น ประเด็นไหนที่นำไปสู่เรื่องการนิรโทษกรรม เรื่องอะไร  เราก็บอกว่าอย่าไปทำ 
2. เราบอกว่าถ้าการแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นที่มีความจำเป็น เช่น เขียนในทางเทคนิคแล้วมันเป็นอุปสรรค  ประเด็นไหนที่คิดว่าจะส่งเสริมประชาธิปไตยให้แก้ไขแล้ว อันนี้ตกลงกันเลยว่าอย่างนี้เดินหน้าด้วยกัน  ขณะเดียวกันมันก็มีรัฐธรรมนูญอีกหลายมาตรา หลายประเด็น  ซึ่งไม่เข้าข่ายทั้งเรื่องการไปนิรโทษกรรม สร้างความขัดแย้ง และก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขหรือว่าพัฒนาระบอบประชาธิปไตยโดยตรง  หนึ่งในประเด็นเหล่านั้นคือเรื่องเขตเลือกตั้ง  ซึ่งผมพูดกับพรรคร่วมตั้งแต่ตอนที่ไปคุยกับเขาตอนจัดตั้งรัฐบาล  ว่าประเด็นนี้ความเห็นเรายังไม่ตรงกัน  พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไปเสนอตอนที่เขามีการทำร่างรัฐธรรมนูญว่า เราเชื่อว่าระบบปัจจุบันที่เป็นเขตใหญ่  มันดีกว่า เพราะว่าเราเห็นว่ามันลดความแตกแยกในการแข่งขัน  ทำให้การแข่งขันรุนแรงน้อยกว่า เพราะฉะนั้น แก้ปัญหาธุรกิจการเมืองได้ส่วนหนึ่งด้วย และเห็นว่าการที่เป็นเขตใหญ่ช่วยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มีความตระหนักถึงภาระหน้าที่ระดับชาติมากกว่า  
ช่วงที่ 2
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ก่อนที่ผมจะออกเดินทางไปดาวอสนะครับ ซึ่งเดินทางไปเมื่อคืนวันพฤหัสบดี มีงานหลายด้านครับที่มีความคืบหน้าและก็อยากจะถือโอกาสนี้รายงานให้กับพี่น้องประชาชนได้รับทราบนะครับ เรื่องแรกคงจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจครับ ที่ตลอดระยะเวลาในช่วงสัปดาห์ - 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างชัด ตัวเลขที่ยังไม่ได้รายงานให้พี่น้องทราบผ่านทางรายการ ก็จะมีเช่นในที่สุดปีที่แล้วการขอรับการส่งเสริมการลงทุนนั้นถ้าคิดเป็นมูลค่าของโครงการต่าง ๆ รวมกันแล้ว ถึงประมาณ 700,000 ล้านบาทนะครับ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 400,000 ล้าน เรียกกว่าสูงกว่าเป้าหมายที่เราคาดคิดเอาไว้ อาจจะเรียกว่าร้อยละ 60 ทีเดียวนะครับ ซึ่งอันนี้ก็เป็นผลมาจากการที่เรามีมาตรการที่จะส่งเสริมการลงทุนเป็นกรณีพิเศษจนถึงปลายปีที่แล้ว ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนในหลายสาขาจากหลายประเทศ ทำให้ตัวเลขตรงนี้สูงขึ้นมามาก และเราได้ตั้งเป้าเอาไว้ครับว่าสำหรับปี 2553 นี้ ก็อยากจะให้มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันนะครับ ที่ผมได้เคยรายงานว่าเราได้จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเกินเป้าทั้งปีนี้อาจจะเกือบถึง 200,000 ล้าน ก็ทำให้เราสามารถที่จะกำหนดนโยบายงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2554 ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคมของปีนี้ โดยลักษณะของงบประมาณที่เราได้อนุมัติในครม. นะครับ ก็เป็นงบประมาณขาดดุลครับ คือเราประมาณการกันว่าการจัดเก็บรายได้สำหรับปีที่จะถึงนี้ จะขยับมาอยู่ที่ประมาณ 1,650,000 ล้าน และจะตั้งงบประมาณในลักษณะที่เป็นการขาดดุล เพราะฉะนั้นก็จะมีงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่ายประมาณเกิน 2 ล้านล้านบาทมาเล็กน้อย ที่น่ายินดีก็คือจากโครงสร้างงบประมาณที่เราได้ดูและจะจัดทำนี้นะครับ สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นได้มากก็จะเป็นเรื่องของงบลงทุนครับ ซึ่งปีที่แล้วงบลงทุนจะมีอยู่ที่ประมาณ 200,000 ล้าน ปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 340,000 กว่าล้านนะครับ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละเกือบร้อยละ 60 ทีเดียว เพราะฉะนั้นผมคิดว่าจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดีขึ้น การจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถจะใช้กระบวนการของงบประมาณกลับมาใช้ในการลงทุนเพื่อทำโครงสร้างพื้นฐาน และกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นอันนี้ก็จะเป็นแนวโน้มในเรื่องของเศรษฐกิจ และการจัดทำงบประมาณซึ่งจะมีขึ้นในปีงบประมาณต่อไป
นอกจากเรื่องของภาพรวมทางเศรษฐกิจนะครับ มีเรื่องของเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนอีกจำนวนมากนะครับในระดับของผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดย่อม และในส่วนของพี่น้องในชุมชนต่าง ๆ นั่นก็คือเรื่องแรกก็คือเราได้จัดนิทรรศการ SMEs หรือ SMEs EXPO ซึ่งวันนี้คือวันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายนะครับที่พี่น้องประชาชนสามารถที่จะไปเยี่ยมชม ซื้อสินค้าจากเอสเอ็มอีต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงสินค้าอยู่ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จะได้ไปเห็นถึงความก้าวหน้าการพัฒนาของอุตสาหกรรมขนาดกลางขนาดย่อมของประเทศ ซึ่งรัฐบาลนั้นให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกันในวันนี้นะครับคือวันอาทิตย์ก็มีการจัดทำประชาคมชุมชนพอเพียง โครงการชุมชนพอเพียงพร้อมกันทั่วประเทศ คงจะจำได้นะครับว่าโครงการชุมชนพอเพียงนั้นเป็นโครงการซึ่งรัฐบาลได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบแรกครับ แต่ว่าต่อมานี้พบปัญหาในเรื่องของการทุจริตที่เกิดขึ้นในบางโครงการในบางพื้นที่ ก็มีการมาทบทวนการจัดทำโครงการนี้ใหม่นะครับ และคุณมีชัย วีระไวทยะ ได้เข้ามาทำงานทางด้านนี้ วันที่ 31 คือวันนี้ครับเป็นวันที่ได้มีการกำหนดให้มีการจัดทำประชาคมพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งมีการเชิญชวนพี่น้องประชาชนนะครับ จริง ๆ แล้วใครก็ตามมีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปก็สามารถที่จะไปประชุมในชุมชนหรือหมู่บ้านของท่าน เพื่อช่วยกันคิดและจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสร้างรายได้ สร้างอาชีพ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากจน หรือเป็นโครงการที่ส่งเสริมอนุรักษ์รักษาป่า น้ำ ดิน และศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าอยากจะเห็นโครงการใด ๆ เกิดขึ้นอยู่ในชุมชนของท่าน สอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียงนั้นก็ขอให้ไปร่วมประชุมในการจัดทำประชาคมซึ่งกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ อันนี้ก็คืองานทางด้านเศรษฐกิจทั้งที่เป็นเศรษฐกิจภาพรวม และเศรษฐกิจระดับชุมชนและของพี่น้องประชาชนที่มีการดำเนินการ
สุดท้ายครับในเรื่องของเฮตินั้นอยากจะเรียนครับว่ามีความคืบหน้าในการช่วยเหลือของรัฐบาลในหลาย ๆ ด้านนะครับ เงินของรัฐบาล 100,000 เหรียญมอบกันไปเรียบร้อย และก็มีการจัดซื้อของและนำส่งถึงประชาชนในเฮติ ขณะเดียวกันเมื่อสักครู่ผมได้บอกไปแล้วว่าเรากำลังจัดส่งข้าวนะครับ โดยในส่วนแรกนั้นจัดส่งทางเครื่องบินไปก่อนนะครับ เพราะว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะนำเอาข้าวนั้นไปถึงประชาชนชาวเฮติ ส่วนข้าวที่เหลือซึ่งทั้งหมดมีอยู่ 20,000 ตันก็จะทยอยส่ง แต่จะเป็นการส่งทางเรือ ซึ่งก็จะดูประสานให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการในการช่วยเหลือในเรื่องของอาหาร และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมก็ได้พูดนะครับว่านอกเหนือจากเรื่องของข้าว เรื่องของเงินที่เป็นของภาครัฐและที่ภาคเอกชนมาร่วมบริจาคผ่านรัฐ ซึ่งขณะนี้ยอดของการบริจาคผ่านศูนย์ของรัฐบาลก็หลายสิบล้านแล้ว และยังมีของเอกชนที่เกิน 100 ล้านแล้ว เราได้พูดถึงเรื่องการส่งแพทย์หรือช่างเข้าไปช่วยเหลือ ขณะนี้ก็มีการจัดส่งทีมล่วงหน้าเดินทางไปที่เฮติ ซึ่งก็จะเป็นการปูทางไปสู่การที่เราจะส่งคนของเรานั้นเข้าไปมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูเฮติ หลังจากที่ประสบกับภัยพิบัติ ซึ่งก็จะเป็นอีกครั้งหนึ่งนะครับที่พี่น้องประชาชนคนไทยได้แสดงออกให้เห็นถึงความมีน้ำใจของเราที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนะครับ สัปดาห์นี้คงจะมีเวลาเพียงเท่านี้ครับในการรายงานงานต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมา รวมทั้งการเดินทางมาที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ของผมในช่วงวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เสาร์ สำหรับสัปดาห์หน้าจะกลับมาพบกันใหม่ครับ หลังจากที่ผมเดินทางกลับไปที่ประเทศไทยแล้วครับ สวัสดีครับ
อย่างไรก็ตามนายอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทางการ ถึงผลการประชุมในเวทีต่างๆ โดยได้กล่าวถึงเวทีการอภิปรายหัวข้อ Towards an East Asian Community ว่าได้กล่าวสุนทรพจน์ และแสดงความคิดเห็นในประเด็นการรวมกลุ่มของประเทศในเอเชียตะวันออก ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เล่าถึงประสบการณ์ในฐานะประธานอาเซียน ว่าช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา ได้มีการผลักดันความร่วมมือของในประเทศเอเชีย ทั้งเรื่องเขตการค้าเสรี  ข้อริเริ่มเชียงใหม่ และการรับพิจารณาข้อเสนอของประเทศคู่เจรจา อาทิ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เกี่ยวกับการขายยความร่วมมือในกลุ่มเอเชียตะวันออกให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปัจจุบัน และรัฐมนตรี รวมถึงผู้แทนของอินเดีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี  ซึ่งเห็นได้ว่าประเทศต่างๆมีความคาดหวังสูงกับภูมิภาคเอเชีย ในฐานะต้องเป็นกลไกในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ ถือเป็นโอกาสที่ดี และคิดว่าสิ่งที่ได้ทำในฐานะประธานอาเซียนนั้นประเทศต่างๆได้รับทราบและเห็นว่าเป็นทิศทางที่ดี ในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยด้วย  
ส่วนในการหารือ หัวข้อ Business Interaction Group on Thailand ซึ่งมีภาคเอกชนจากประเทศต่างๆเข้าร่วมหารือว่าได้มีการพูดคุยกับนักลงทุนที่มีความสนใจในประเทศไทยโดยตรง  โดยนายกรัฐมนตรีได้เล่าถึงนโยบายและการทำงานในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ชัดเจนว่า มี่การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และนักลงทุนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ ในการแก้ปัญหาในภาพรวม ส่วนปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้น เช่นกรณีมาบตาพุด มีความห่วงใยทางการเมือง หรืออุปสรรคในการค้า และลงทุนนั้น นายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้ อธิบายการดำเนินการ แก้ไข มีกลไกอย่างไร จากากรทีได้สัมผัสกับภาคเอกชนเหล่านี้ รู้สึกพึงพอใจแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เชื่อว่า ความสนใจที่จะขยายการลงทุน และการที่จะเข้ามาประเทศไทย คงมีมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดี ทัง้นี้ นักธุรกิจส่วนใหญ่ที่สนใจมักมีธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ธุรกิจปิโตรเคมี โทรคมนาคม ยา รองเท้า ภาคเกษตร แต่ยังมีความเชื่อว่า จะมีโอกาสในการขยายการลงทุนเพิ่มเติมมากขึ้น  
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือผู้นำต่างประเทศ ที่สำคัญได้แก่ ประธานาธิบดีของสวิสเซอร์แลนด์   นายกรัฐมนตรีเบลเยี่ยม  รวมถึง Duke of York ซึ่ง ส่วนใหญ่พูดคุยถึงโอกาสการขยาย การค้า การลงทุนกับไทย โดยเฉพาะสวิสฯเสนอให้ไทยพิจารณาการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับเอฟต้า (สมาคมเอฟทีเอแห่งสหภาพยุโรป) ซึ่งสวิสฯ เป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะให้กระทรวงพาณิชย์ไปศึกษาข้อดี ข้อเสีย โดยเฉพาะเอฟต้า ที่แยกออกมาจากสหภาพยุโรป   ส่วนนายกรัฐมนตรี เบลเยี่ยม  ได้พูดถึงการประชุมเอเชีย-ยุโรป หรือ อาเซม ซึ่งเบลเยี่ยมจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมปลายปีนี้ โดยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นที่เป็นหัวข้อสำคัญของการประชุม ที่จะครอบคลุมตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากนั้นได้ใช้โอกาสนี้ให้ผู้นำในยุโรปรับทราบถึงปัญหา ที่ทางสหภาพยุโรป อาจมีการออกมาตรการซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมาตรการส่งออกของไทย ซึ่งผู้นำได้รับทราบปัญหา และจะสนับสนุนไทย ในการช่วยไม่ให้เกิดมาตรการที่จะมากีดกันไทยมากขึ้น  
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สรุปภาพรวมการประชุมในปีนี้ว่า แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกดีกว่าปีที่แล้วมาก และเห็นชัดเจนมากขึ้นว่าบรรดานักธุรกิจ และผู้นำต่าง ยอมรับบทบาทของเอเชีย ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ยุโรป และสหรัฐ แม้จะมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังเป็นการฟื้นตัวที่ค่อนข้างช้า และยังมีปัญหาการว่างงาน และน่ายินดีที่หลายคนรู้ถึงสิ่งที่ประเทศไทยดำเนินการมาหลายเรื่อง อย่างกรณีความมั่นคงทางอาหาร เมื่อวานได้ขอบคุณ ที่ไทยบริจาคข้าวให้กับเฮติ ทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่ประเทศไทยประกาศ ว่าจะเป็นประเทศที่ช่วยแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหารในระดับโลก ซึ่งจุดนี้คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ว่าจะเป็นประเทศที่ช่วยแก้ปัญหา รวมถึงให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน  
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำ และกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ Davos 2010 Anti-Corruption Private Dinner ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าว เกี่ยวกับการต่อต้านคอรัปชั่น  โดยเปรียบเทียบการคอรัปชั่นเหมือนมะเร็งร้าย  ที่เกิดขึ้นได้ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และยังไม่พัฒนา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีรูปแบบในการติดสินบน ซึ่งอาจมาจากการที่ภาคเอกชนเห็นว่า  เอกชนอื่นๆก็ทำการติดสินบน   และหากมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว อาจทำให้รัฐบาลใช้อำนาจไปในทางที่ผิดได้  ดังนั้นจะต้องมีการแก้ไขปัญหาซึ่งในส่วนของไทยก็มีความพยายามต่อเนื่อง  แต่สิ่งที่ประเทศไทยโชคดีก็คือ  การมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรวงแนะนำให้ทุกคนปฎิบัติตนสุจริต  รวมถึงการที่องค์กรอิสระก็มีความพยายามดูแลปัญหาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเข้าร่วมการอภิปรายหัวข้อ  The Geat Shift in the Global Agenda ซึ่งจัดโดยสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่น โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงบทบาทของกลุ่มประเทศอาเซียน ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะกับการทำเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ กับหลายประเทศ โดยอาเซียนได้มีนโยบายที่เปิดรับทางเศรษฐกิจ ส่วนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน มีผลต่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคต่างๆ เช่นเดียวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่น ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วย
  








ข่าวที่เกี่ยวข้องอภิสิทธิ์มั่นใจศก.ฟื้นตัวเร่งแก้ปัญหาเอสเอ็มอีรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์อภิสิทธิ์โชว์ผลงานแก้ปัญหาภาคใต้
"ลี-นางมา"พิธีกรรายการเชื่อมั่นฯกับนายกฯอภิสิทธิ์

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

Blog Archive