Tuesday, January 22, 2013

ขวัญขอผู้ว่าฯกทม.เป็นคนดีมีศีลธรรม

ขวัญขอผู้ว่าฯกทม.เป็นคนดีมีศีลธรรม
"ป้อง":อยากให้กรุงเทพฯเย็นสบาย               ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ใครจะได้เป็นพ่อเมืองคนใหม่ของเมืองหลวงของประเทศไทย รอลุ้นกันได้ แต่ผู้ว่าฯ แบบไหนกันหนอที่จะมัดใจชาวกรุงเทพฯ ได้ ลองมาฟังทัศนคติของพระเอกหนุ่มนักเรียนนอก "ป้อง" ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ที่เดินทางไปมาแล้วหลายประเทศทั่วโลก เห็นแต่ละประเทศมีการพัฒนาในแบบของตัวเอง แต่เขาอยากให้เมืองหลวงของประเทศไทยพัฒนาไปในทิศทางไหน แล้วผู้ว่าฯ ในดวงใจแบบไหนที่จะมาพัฒนาความเชื่อของเขาได้ หนุ่มป้องมีคำตอบในเรื่องนี้               "ผู้ว่าฯ ในอุดมคติของผม อยากได้ผู้ว่าฯ ทำให้กรุงเทพฯ เย็น แต่จะเปิดแอร์ทั้งวันก็ไม่ได้ แต่อยากให้เข้ามาแก้ไขในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ผมเองเป็นคนที่ชอบประเทศสิงคโปร์มาก ประเทศเขาทำเป็น สิงคโปร์ ซิตี้ เดอะการ์เด้น เมืองทั้งเมืองเป็นสวน ปลูกต้นไม้เยอะมาก เหมือนกับถนนวิทยุ ในบ้านเรา ซึ่งผมอยากเห็นถนนในกรุงเทพฯ ทุกเส้น เป็นเหมือนอย่างถนนวิทยุ ผมว่า จริงๆ ไม่ต้องเอางบไปทำอะไรมากมายให้เป็นภาระ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นรูปธรรม แต่การดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้เลย เราสามารถเดินออกจากบ้านแล้วสบายๆ ร่มรื่น ไม่ใช่เดินออกมาแล้วทุกคนหน้าเครียด เพราะว่าร้อน แดดแรง ผมอยากเชิญชวนให้คนกรุงเทพฯ มาเลือกตั้ง เราเป็นประชาธิปไตย หนึ่งเสียงมีความหมายกว่าที่เราคิด ยังไงก็อยากให้มาใช้สิทธิกันเยอะๆ" ป้องกล่าว "ขวัญ":ขอเป็นคนดีมีศีลธรรม               เป็นนางเอกที่ถือว่าเป็นขวัญใจวัยรุ่นของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ สำหรับ "ขวัญ" อุษามณี ไวทยานนท์ และถือเป็นประชาชนคนหนึ่งของกรุงเทพฯ "ขวัญ" เองจึงขอใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ด้วยการรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิมีเสียงออกมาใช้สิทธิใช้เสียงตัวเองออกมาเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในวันที่ 3 มีนาคม 2556 ซึ่ง "สาวขวัญ" ขอเป็นกระบอกเสียงของคนกรุงเทพฯ ด้วยการบรรยายถึงผู้ว่าฯ ในดวงใจของตัวเองว่า               "อยากได้ผู้ว่าฯ กทม.ที่เป็นคนดี มีศีลธรรม แค่นี้แหละ อาจจะดูเหมือนว่าแค่นี้เอง แต่จริงๆ เป็นเรื่องยาก คนดีมีศีลธรรมไม่ได้มีกันทุกคน การหาคนเก่งง่ายกว่าการหาคนดี เพราะว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าคนที่เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ จะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้เป็นคนดีมีศีลธรรม เรื่องเก่งก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างเรื่องเก่งไม่เก่งเราสามารถฝึกฝนกันได้ ยังมีคนสอน ยังมีคนคอยอบรม ทำให้กลายเป็นคนที่เก่งขึ้นมาได้ แต่เรื่องดีไม่ดีมันต้องออกมาจากลึกๆ ในใจ" ขวัญกล่าวอย่างจริงจัง "สุรีวรรณ":แก้น้ำท่วมขัง-ยาเสพติด               นางสุรีวรรณ แซ่ไน่ อาชีพแม่บ้าน อาศัยอยู่เขตราชเทวี บอกว่า อยากได้ผู้ว่าฯ เป็นคนขยัน นิสัยใจคอซื่อสัตย์และซื่อตรงต่องานที่ทำ และอยากให้เข้ามาแก้ไขปัญหาในพื้นที่ตามถนน ซอย โดยเฉพาะซอย 7 ที่อาศัยอยู่ เพราะเวลาฝนตกแม้ฝนจะตกไม่มากน้ำก็ท่วมขัง รวมทั้งอยากให้เข้ามาแก้ไขปัญหายาเสพติด

ตลกร้ายผู้ใหญ่ลีขอดเกล็ดการเมืองยุคเร่งพัฒนา

ตลกร้ายผู้ใหญ่ลีขอดเกล็ดการเมืองยุคเร่งพัฒนา
               การสูญเสียครูเพลงระดับตำนาน "พิพัฒน์ บริบูรณ์" หรือ "อิง ชาวอีสาน" เจ้าของบทเพลงเสียดสีการเมืองอันลือลั่นอย่าง "ผู้ใหญ่ลี" อาจนำความโศกเศร้ามาสู่วงการเพลง ทว่าสมบัติทางภูมิปัญญาที่ "ครูพิพัฒน์" ได้ฝากไว้บนแผ่นดินนี้ใช่จะเลือนหาย หรือดับสูญไปด้วย                ปรัชญาการทำเพลงของ ครูพิพัฒน์ ท่านเล่าให้ฟังว่า เน้นเพลงทำนอง พื้นบ้านอีสาน โดยนำวงดนตรี "พิพัฒน์บริบูรณ์" ไปแสดงแถบภาคอีสาน ซึ่งในยุคนั่นมีนักร้องในวงหลายคน อาทิ ชัยชนะ บุญนะโชติ, เพชร พนมรุ้ง, ชาย ชาตรี, นํ้าผึ้ง บริบูรณ์ และดาว มรกต หรือ สรวง สันติ                ต่อมาได้แต่งเพลง "ผู้ใหญ่ลี" ภายใต้นามแฝง "อิง ชาวอีสาน" เป็นเพลงลูกทุ่งเสียดสีสังคม ขับร้องโดย "ศักดิ์ศรี ศรีอักษร" โด่งดังในช่วงประมาณปี 2504 ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สะท้อนให้เห็นถึงการสื่อสารระหว่างข้าราชการกับชาวบ้านอย่างมีอารมณ์ขัน ซึ่งดัดแปลงมาจาก "รำโทน" เนื้อหาเป็นเรื่องราวของชายชาวอีสานชื่อ "ลี" มีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งทางวงเคยนำมาร้องล้อเลียนและได้รับความนิยมมากมาย                "ผู้ใหญ่ลี" คือ สัญลักษณ์ในชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ของครูพิพัฒน์ สามารถนำข้อเท็จจริงในสังคมยุคสมัยนั้นสะท้อนผ่าน "ดนตรี" ฉายให้เห็นภาพอดีตที่สังคมไทยมีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับแรก เมื่อปี 2503 มีการปรับปรุงแก้ไขปี 2503 สมัยนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภายใต้พันธกิจ "ปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย" โดยมุ่งนำความเจริญสู่พื้นที่ชนบทจนชาวบ้านพูดติดปากว่า "ยุคน้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก"                "ทักษ์ เฉลิมเตียรณ" เขียนบันทึกเรื่อง "การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ" เนื้อหาช่วงหนึ่งได้ยกสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ สะท้อนการเมือง "ยุคผู้ใหญ่ลี" ว่า "ท่านคงจะได้เห็น หรืออาจจะรู้สึกรำคาญที่ข้าพเจ้าสนใจเรื่องพัฒนาการอยู่ทุกวันทุกเวลา ข้าพเจ้าทำในสิ่งที่เคยมีบางท่านทักท้วงว่าไม่ใช่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เช่น ความสะอาด ถนนหนทาง ร้านตลาด แม่น้ำลำคลอง ความเป็นไปในหมู่บ้าน แม้แต่เรื่องส้วม"                ทว่าสาระสำคัญและความยิ่งใหญ่ของเพลง "ผู้ใหญ่ลี" ไม่ใช่ถ้อยคำเสียดสีแบบหยิกแกมหยอก หากเป็น "ภูมิปัญญาของครูพิพัฒน์" ที่มีความฉลาดล้ำลึก สามารถสะท้อนวิถีชีวิตของชาวอีสาน สะท้อนความรู้สึกนึกคิด อุปนิสัย สะท้อนการพัฒนาชนบทของรัฐและกลไกของรัฐ                ที่สำคัญสะท้อนความผิดพลาดในการสื่อสาร อีกทั้งยังสะท้อนการศึกษาที่ล้าหลังของประชาชนในภาคอีสาน ตลอดจนสะท้อนความเข้าใจที่ต่างระดับ ระหว่าง "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" กับ "ผู้นำชาวบ้าน" และ "ชาวบ้าน" ได้อย่างลึกซึ้งและงดงาม                อย่างที่ "แวง พลังวรรณ" เรียบเรียงไว้ใน "อีสานคดีชุด ลูกทุ่งอีสาน" อธิบาย "ปรากฏการณ์ผู้ใหญ่ลี" ว่า ผู้แต่งจะเป็นใครก็ช่างเถิด แต่สิ่งที่ได้รังสรรค์จนเป็นคำร้องเพลงผู้ใหญ่ลีนั้น มันล้ำลึก ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนผู้มีทักษะในการแต่งเพลงลูกทุ่งธรรมดา เกินกว่าที่คนคลุกคลีสัมผัสชีวิตของชาวอีสานเพียงผิวเผิน เกินกว่าที่คนที่มีแนวคิดต่อการพัฒนาชนบทอย่างธรรมดาจะคิด และหยั่งไปถึง                "สิ่งที่ควรยกย่องและสดุดีบุคคลทั้งสอง-พิพัฒน์ บริบูรณ์ และศักดิ์ศรี ศรีอักษร (คนร้อง) เฉพาะหน้า ณ เวลานี้ และควรยกย่องได้อย่างสนิทใจ คือ ความกล้าหาญที่คนทั้งสองได้นำเอาเพลงผู้ใหญ่ลี ออกเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับแก่บุคคลทั่วไป นอกจากนี้ทั้งสองยังเป็นผู้ริเริ่มเอาเพลงและศิลปะการร้อง-ลำ ของชาวอีสานในรูปแบบต่างๆ ออกเผยแพร่และบันทึกไว้เป็นแผ่นเสียงให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาและซาบซึ้ง"                แม้ว่าเพลงผู้ใหญ่ลีจะโด่งดัง แต่เพิ่งได้รับการบันทึกเสียงเมื่อปี 2507 กลายเป็นเพลงฮิตในเวลาอันรวดเร็ว กระทั่ง "ศักดิ์ศรี ศรีอักษร" กลายเป็นนักร้องชื่อดัง ได้เข้าไปขับร้องในไนต์คลับหรูในกรุงเทพฯ อีกทั้งมีการดัดแปลงคำร้องเป็นเพลงภาคต่ออีกหลายฉบับ เช่น ผู้ใหญ่ลีเข้ากรุง ผู้ใหญ่ลีหาคู่ เมียผู้ใหญ่ลี ลูกสาวผู้ใหญ่ลี ผู้ใหญ่ลีผู้ใหญ่มา และนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ลูกสาวผู้ใหญ่ลี ในปี 2507 นำแสดงโดย ศักดิ์ศรี ศรีอักษร และ ดอกดิน กัญญามาลย์                ขณะเดียวกัน ศักดิ์ศรี ศรีอักษร ได้นำมาขับร้องใหม่ในจังหวะ "วาทูซี" (Watusi) ใช้ชื่อเพลงว่า"ผู้ใหญ่ลีวาทูซี" ทั้งนี้ เพลงผู้ใหญ่ลี ได้รับเลือกเป็นเพลงลูกทุ่งดีเด่นจากงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ครั้งที่ 2 ประจำปี 2534 และได้รับการบันทึกเสียงใหม่อีกหลายครั้งโดยนักร้องคนอื่นๆ เช่น นุภาพ สวันตรัจฉ์, หนู มิเตอร์, ไก่ พรรณิภา และถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โฆษณาของธนาคารกรุงไทย เมื่อ พ.ศ.2547 จนถูกประท้วงจากสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย                ดวงเจิดจรัสบนห้วงนภา ย่อมมีวันดับสูญตามกาลเวลา ถือเป็นธรรมดาของโลก...หลับสบายเถิด "ครูพิพัฒน์ บริบูรณ์" เพลง "ผู้ใหญ่ลี" คำร้อง อิง ชาวอีสาน ทำนอง พื้นเมือง ขับร้อง ศักดิ์ศรี ศรีอักษร พ.ศ.2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร ฝ่ายตาสีหัวคลอนถามว่าสุกรนั้นคืออะไร ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด สุกรนั้นไซร้คือหมาน่อยธรรมดา หมาน่อย หมาน่อยธรรมดา สายัณห์ตะวันร้อนฉี่ ผู้ใหญ่ลีขี่ม้าบักจ้อน แดดฮ้อนฮ้อนใส่แว่นตาดำ ผู้ใหญ่ลีกลัวฝนจะตกฮำ ถอดแว่นตาดำฟ้าแจ้งจางปาง ฟ้าแจ้งฟ้าแจ้งจางปาง คอกลมเหมือนดั่งคอช้าง เอวบางเหมือนยางรถยนต์ รูปหล่อเหมือนตอไฟลน หน้ามนเหมือนเขียงน้อยซอยซา เขียงน่อยเขียงน่อยซอยซา เขียงน่อยเขียงน่อยซอยซา ......... (หมายเหตุ : ตลกร้าย'ผู้ใหญ่ลี' ขอดเกล็ดการเมืองยุคเร่งพัฒนา)

อนาคตการเมืองชาติไทยพัฒนาไม่ง่าย

อนาคตการเมืองชาติไทยพัฒนาไม่ง่าย
                 การถึงแก่อสัญกรรมของ "ชุมพล ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่อเที่ยวและกีฬา แม้จะไม่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากอาการป่วยหนัก แต่การจากไปก็สร้างความเศร้าสลดเสียใจให้แก่คนรู้จักไม่น้อย                 เนื่องจาก "ชุมพล" สร้างคุณงามความดีมาไม่น้อยโดยเฉพาะจากการเป็นแกนนำปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2538                 แต่นาทีนี้คนที่น่าจะหนักใจที่สุดคือ "บรรหาร ศิลปอาชา" ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะตัวจริง เพราะนอกจากจะเสียน้องชายอันเป็นที่รักแล้ว ยังทำให้สถานการณ์ทางการเมืองของพรรคชาติไทยพัฒนาลำบากอยู่ไม่น้อย                 ปัญหาอันน่าหนักใจเริ่มมาจากการที่ตำแหน่ง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา" ซึ่งเป็นโควตาในมือของพรรคมาเป็นเวลานานว่างลง                 และที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการทำงานสไตล์ "หลงจู๊" ไม่เคยเปลี่ยนไป เมื่อเขาจะเลือกคนที่ไว้ใจได้ สายตรงเท่านั้นมาทำงาน และที่สำคัญต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ "บรรหาร"                 ที่ผ่านมากระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไม่น่าห่วง เพราะอย่างไรก็อยู่ในมือน้องชายอย่าง "ชุมพล"                 ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้จะเปลี่ยนรัฐมนตรีมาสองคนคือ "ธีระ วงศ์สมุทร" และ "ยุคล ลิ้มแหลมทอง" แต่ก็ถือเป็นเด็กสายตรง โดยมี "บรรหาร" คอยควบคุมการทำงานอีกครั้งหนึ่ง                 แต่มาวันนี้ต้องยอมรับว่าคนสายตรงของ "บรรหาร" เหลือน้อยลงเรื่อยๆ เพราะปีกของเขาไม่ได้สยายกว้างเหมือนวันที่เรืองอำนาจแม้ "ทักษิณ ชินวัตร" จะเกรงใจในไมตรีที่เคยมีให้กันอยู่ไม่น้อยก็ตาม                 แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจที่ทำเงินและชื่อเสียงอย่างเรื่องการท่องเที่ยวนั้นใช่ว่าจะเอาใครก็ได้มาทำงาน เพราะวันนี้การท่องเที่ยวกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนคนใน "เพื่อไทย" หลายคนอยากดึงมาดูแลด้วยตัวเอง และแลกเปลี่ยนโควตาในกระทรวงระดับเดียวกันให้ พรรคชาติไทยพัฒนาดูแลแทน                 มิพักต้องพูดถึง "พรรคพลังชล" ที่ "สนธยา คุณปลื้ม" ก็แสดงออกว่าไม่ถนัดกับการนั่งเก้าอี้เจ้ากระทรวง "วัฒนธรรม" จนกระทั่งมีกระแสข่าวมาว่า ได้ดอดไปพบเจ้าของพรรคตัวจริงเสียงจริงในต่างแดน                 แน่นอนว่า "บรรหาร" ย่อมไม่สบายใจเพราะกระทรวงระดับนี้การเก็บไว้กับตัวเองหมายถึงหลายๆ อย่างไม่ใช่เฉพาะศักดิ์ศรีเท่านั้น                 แต่ใครเล่าจะมาแทน และใครเล่าที่เขาจะวางใจได้ เอาแค่ในพรรค วันนี้คนที่จะเลื่อนขึ้นมาแทนตำแหน่ง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อคือ "ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์"                 หากจะดัน "ประดิษฐ์" ไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเรื่องชื่อชั้น ฝีมือไม่มีปัญหา แต่อย่างที่รู้ว่า "ประดิษฐ์" ไม่ใช่สายตรงเพราะเขามากับ "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" เขาพร้อมที่จะยอมนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ แต่ต้องไม่มี "บรรหาร" มาคอยสั่งการ                 เป็นเรื่องที่รู้กันดีว่า หลายคนที่มารวมที่พรรคชาติไทยพัฒนา เหมือนกับมาหาที่พึ่งพิงชั่วคราวก่อนที่จะฉีกหนีออกไป และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ฟังคำสั่ง "บรรหาร" แม้หลายคนจะยังปากแข็งว่าเต็มใจอยู่ด้วยกันและทำตามหัวหน้า                 "ประดิษฐ์" ก็เป็นหนึ่งในนั้น และวันนี้เขารู้ดีว่าอำนาจต่อรองเริ่มกลับมาอยู่กับตัวแล้ว หากไม่ได้ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบ                 แต่ครั้นจะกลับมาใช้คนนอกที่วางใจ แม้จะพอมองเห็น แต่ชื่อชั้นนั้นยังต้องตั้งคำถามเพราะวันนี้มีชื่อทั้ง "สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์" อดีตผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี หรือ "สมบัติ คุรุพันธ์" อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และปัจจุบันนั่งในตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ "สุวัตร สิทธิหล่อ" ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คนปัจจุบัน                 ทั้งหมดยังต้องตั้งคำถามว่าผ่านคุณสมบัติเก้าอี้ที่หลายฝ่ายอยากได้หรือไม่ หรืออ่อนด้อยเพียงพอจะให้โจมตีหรือไม่ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องหนักใจอย่างยิ่ง                 แต่ครั้นจะลงเล่นเองก็จนใจ เพราะยังติดโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง จากการถูกยุบพรรคเป็นเวลาห้าปี กว่าจะครบกำหนดก็ต้องวันที่ 3 ธันวาคม 2556 ยังเหลืออีกเกือบหนึ่งปี และผลจากการยุบพรรคครั้งนั้น ไม่ใช่เฉพาะ "บรรหาร" เท่านั้นที่ต้องโทษทางการเมือง หากแต่รวมถึงลูกๆ อีกด้วย จึงทำให้วันนี้เขาดูเดียวดายยิ่งนัก                 ครั้นจะให้ "ยุคล" ถ่างขาควบไปเรื่อยๆ รอวันพ้นโทษก็ดูจะเป็นภาระที่หนักเกินไปเพราะลำพังกระทรวงเกษตรฯ ที่เขาดูแลอยู่ก็มีงานมากมายมหาศาลอยู่แล้ว                 งานนี้การเก็บรักษา "กระทรวงการท่องเที่ยวฯ" ไว้ในมือจึงเป็นเรื่องยาก และไม่แปลกที่ "บรรหาร" จะต้องลงทุนลงแรงไปเจรจาถึงต่างแดนด้วยตัวเองด้วยหวังน้ำจิตน้ำใจในฐานะที่อยู่ด้วยกันมาแทบทุกสถานการณ์ เพราะสภาพการต่อรองในรัฐบาลวันนี้พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้มีแต้มต่อหรือเสียงดังเหมือนที่ผ่านๆ มา                 การเจรจาจึงหวังจะให้คนไกลยอมด้วยหวังว่าจะลากยาวเพื่อรอวันตัวจริงกลับมา แต่ดูแล้วก็เป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน เพราะเวลาเช่นว่านั้นนานเกินไป และกระทรวงนี้ไม่ใช่กระทรวงธรรมดาเหมือนที่ผ่านๆ มาอีกแล้ว หลังถูกจ้องตาเป็นมัน                 หากเกมรักษาเก้าอี้ในครั้งนี้ พรรคชาติไทยพัฒนาพ่ายแพ้ ก็เชื่อขนมกินได้เลยว่าพรรคจะเล็กลงไปอีก และมีคนกระโดดหนีออกไปเรื่อยๆ และวันนั้น แม้ถึงเวลาที่ "มังกรการเมือง" แต่ก็ใช่ว่าจะคืนชีพได้ง่าย

กทม.จ่อ หารือ NIETS เลื่อนสอบGAT/PAT ให้นักเรียน ไปเลือกผู้ว่าฯ

กทม.จ่อ หารือ NIETS เลื่อนสอบGAT/PAT ให้นักเรียน ไปเลือกผู้ว่าฯ
ปลัด กทม. เตรียม หารือ NIETS เลื่อนสอบ GAT/PAT ให้เด็กนักเรียน ไปใช้สิทธิเลือกผู้ว่าฯกทม.วันที่ 22 ม.ค. ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการ กทม. (เสาชิงช้า) นางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร (ผอ.กกต.ทถ.กทม.) เปิดเผยว่า ตามที่กรุงเทพมหานครกำหนดเปิดรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 21-25 ม.ค. 56 นั้น ขณะนี้ มีจำนวนผู้สมัครเท่าเดิม คือ 18 ราย ที่ยื่นใบสมัครในวันแรกสำหรับวันนี้ยังไม่มีผู้ใดมายื่นใบสมัครเพิ่มเติม และคาดว่าในวันนี้คงจะไม่มีใครมายื่นใบสมัครเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งในการเปิดรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่ละครั้งผู้สมัครส่วนใหญ่จะมายื่นใบสมัครในวันแรกและวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัคร ทั้งนี้ จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการครั้งนี้ไม่น่าจะเกิน 25 คนส่วนกรณีวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่กำหนดไว้ในวันที่ 3 มี.ค. 56 ตรงกับวันสอบ GAT/PAT ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และมีนักเรียนที่มีสิทธิเลือกตั้งต้องเข้าสอบประมาณ 6,000 คน ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครไม่ทราบมาก่อนว่ามีการสอบในวันนั้น โดยส่วนตัวอยากให้มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครบ 100% ซึ่งจะมีการหารือกับ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับแนวทางการเลื่อนวันสอบ ว่าสามารถทำได้หรือไม่ เพื่อให้นักเรียนที่มีสิทธิเลือกตั้งได้ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงอย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ก็ให้แจ้งเหตุไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 7 วัน และภายใน 7 วันนับแต่วันเลือกตั้ง เพื่อที่จะไม่เสียสิทธิทางการเมือง ทั้งนี้ การที่จะมีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดมีปัจจัยหลายอย่าง อาทิ การประชาสัมพันธ์ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเองที่จะลงพื้นที่หาเสียง การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ของ กทม. และการเผยแพร่ข่าวสารความเคลื่อนไหวของสื่อมวลชนที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

ปชป.ยุทักษิณปรับครม. สะกิดปูระวังหน้าแตก ใช้ข้อมูลศก.เก่า

ปชป.ยุทักษิณปรับครม. สะกิดปูระวังหน้าแตก ใช้ข้อมูลศก.เก่า
ปชป.หนุน ทักษิณ ส่งสัญญาณปรับ ครม.โดยเฉพาะ กิตติรัตน์-บุญทรง สะกิด ปู ระวังหน้าแตกใช้ข้อมูลเก่า ชี้ ศก.ปี 56วันที่ 22 ม.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กระแสข่าว ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เตรียมปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ทั้ง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ออก โดยจะให้ผู้บริหารจากเครือชินคอร์ปมาเสียบแทนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้คนทำงานเป็น ถ้าเห็นว่าม้าตัวไหนหมดระยะแล้ว ก็เปลี่ยนตามอำเภอใจ แต่ก็เห็นด้วยหากจะปรับ นายบุญทรง และนายกิตติรัตน์ออก เพราะทั้งนโยบายรับจำนำข้าวของกระทรวงพาณิชย์ที่พบทุจริต และยังหาตัวคนโกงมาลงโทษไม่ได้ รวมถึงตัวเลขจากนโยบายรถคันแรกที่ใช้เกินเพดานไปถึง 9 หมื่นล้านบาท ก็ถือเป็นนโยบายที่สอบตก หากอดีตนายกฯ ยังทู่ซี้ไม่ปรับเปลี่ยน ประเทศพังแน่นอน แต่พ.ต.ท.ทักษิณเอง ก็อย่าลืมว่า ทุกนโยบาย ใครคือผู้บงการตัวจริง ก็ควรจะไปปรับเปลี่ยนแนวคิดหรือพิจารณาตัวเองบ้าง ไม่ใช่พอนโยบายเกิดปัญหาก็ปรับคนทำงานเพื่อลดแรงกดดันจากสังคม ทั้งนี้ จะเอาใครมาก็ขอให้เลือกคนที่ทำงานเป็น ไม่ใช่มาลองผิดลองถูกไปเรื่อย เพราะนี่คือประเทศไทย ไม่ใช่บริษัทชินวัตร อย่ามาทำอะไรเล่นๆส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาส่งสัญญาณคาดการณ์จีดีพีของไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.5 และภาวะเงินเฟ้อจะเข้าสู่ภาวะปกติ โดยระบุว่าอัตราการตกงานของประชาชนจะลดลง นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า เข้าใจว่า นายกฯ คงเอาตัวเลขในเดือน ธ.ค.55 มาประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 56 จึงขอให้นายกฯ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งออกมาพูด หรือส่งสัญญาณอะไร หากสิ่งที่พูดมาไม่เป็นจริงจะหน้าเเตก เพราะตัวเลขที่จะประเมินได้แท้จริงในปี 56 นั้น ต้องดูหลังจากที่รัฐประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศแล้วในไตรมาสแรก คือ ม.ค. - มี.ค.56 ไม่ใช่นำตัวเลขเก่ามาประเมิน

ส่องเรียงเบอร์ศึกเสาชิงช้า หาผู้ว่าฯ กทม.คนที่16

ส่องเรียงเบอร์ศึกเสาชิงช้า หาผู้ว่าฯ กทม.คนที่16
เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ ศึกเสาชิงช้า เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คนที่ 16 โดยมีผู้สมัครลงสนามแข่งขันแล้ว 18 ราย (รับสมัครในวันแรก 21 ม.ค.) ทั้ง หน้าเก่า ฟอร์มเก๋า เจ้าประจำ หรือแม้กระทั่ง โนเนม ไม่มีใครรู้จักมาก่อน บางรายนโยบายไม่ได้คิด บางคนบอกนโยบายทำได้ทุกเรื่องสำหรับตัวเต็งในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีด้วยกัน 4 คน นำโดย หมายเลข 16 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. ที่ลงป้องกันแชมป์ ในฐานะผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญจากพรรคเพื่อไทย คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ หมายเลข 9 ก็กำลังกอบโกยคะแนนอย่างเป็นกอบเป็นกำ ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครหมายเลข 11 ก็เป็นผู้สมัครที่น่าจับตามากที่สุดคนหนึ่ง เพราะมีประวัติการทำงานโชกโชน มีกลุ่มเพื่อนเสรี เป็นแรงสนับสนุน ส่วน นายโฆสิต สุวินิจจิต  หมายเลข 10 ก็มีประวัติการทำงานด้านเอกชนอย่างโชกโชน เรียกว่าประวัติการทำงานดี คล้ายนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ขาดแค่พรรคการเมืองสนับสนุน นอกจากนี้ ยังมี นายสุหฤท สยามวาลา หมายเลข 17 นักธุรกิจและดีเจชื่อดัง ที่ได้พลังสนับสนุนจากกลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยเจ้าตัวได้เตรียมแถลงนโยบาย 12 ข้อ ในวันที่ 22 ม.ค.นี้ขณะที่กลุ่ม หน้าเก๋า เจ้าประจำ ต้องยกให้ หมายเลข 2 นายวรัญชัย โชคชนะ ที่ลงสมัครครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ซึ่งเจ้าตัวค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถต่อสู้กับผู้สมัครตัวเต็งรายอื่นได้ โดยยกนโยบายแก้ปัญหาจราจร และเสนอเปลี่ยนชื่อเมืองหลวง เป็น กรุงเทพธนบุรีมหานคร เพื่อเอาใจคนฝั่งธน พร้อมกับจะเปิดสนามหลวงให้เป็นสถานที่ไฮปาร์กทางการเมืองด้าน ตู่ ติงลี่ หรือ ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ ผู้สมัครหมายเลข 3 ก็ลงสมัครมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้ ก็สร้างสีสันให้กับการเลือกตั้งตั้งแต่วันสมัคร โดยขึ้นรถแห่รอบเมืองพร้อมถือดาบไทยโบราณที่ลงอักขระ รายนี้ก็มั่นใจมากเช่นกัน ถึงขั้นคุยโวว่าไปไหนใครๆ ก็เรียกผม ท่านผู้ว่าฯ แล้ว ซึ่งนโยบายของ ร.อ.เมตตา จะชูแก้ปัญหาจราจร โดยมีจุดขายเรื่องขนส่งมวลชนทางน้ำ ถมทะเลบางขุนเทียน สร้างสวนสนุกให้เด็กห่างไกลจากยาเสพติดนอกจากนี้ ยังมี นายสมิตร สมิตธินันท์ ผู้สมัครหมายเลข 5 ที่เคยลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มาแล้ว หลายครั้ง ซึ่งเคยสร้างความฮือฮาด้วยนโยบาย แก้ปัญหาจราจรโดยการเปิดไฟเขียวทุกแยก ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และยังมี  หมายเลข 8 นายสุเมธ ตันธนาศิริกุล กลุ่มกรุงเทพพัฒนาฯ อายุ 53 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีพค้าขาย เคยเป็นประธานเครือข่ายประชาชนคัดค้านทางด่วน พิเศษคลองเตย-สุวรรณภูมิ และเคยลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ปี พ.ศ.2551ส่วนกลุ่มผู้สมัครหน้าใหม่ ก็มีมากมายไล่ตั้งแต่ หมายเลข 1 นายวิละ อุดม ผู้สมัครอิสระ อายุ 48 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีพค้าขายปลาสวยงาม ที่ตลาดนัดซันเดย์  ปัจจุบัน เป็นประธานซันเดย์ไทยแลนด์ จำกัด ดำเนินการแก้ปัญหาคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนในการฟ้องร้อง ซึ่งประสานงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หมายเลข 4 ดร.โสภณ พรโชคชัย นักวางแผนพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหาร มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาชิกหลักของ FIABCI เป็นผู้แทน IAAO ประจำประเทศไทย และเป็นกรรมการสมาคมนักประเมินอาเซียน หมายเลข 6 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง จากกลุ่มเพื่อนสัณหพจน์สามมหาลัยดัง อายุ 39 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารรัฐกิจและกฎหมาย มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธานสภาทนายความศาลจังหวัดมีนบุรี และที่ปรึกษาบริษัทเอกชน เป็นนักธุรกิจ หมายเลข 7 นายณัฏฐ์ดนัย ภูเบศอรรถวิชญ์ ผู้สมัครอิสระ อายุ 56 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท เป็นเจ้าของบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจอัลลอย หมายเลข 12 ศ.จงจิตร์ หิรัญลาภ ผู้สมัครอิสระ อายุ 57 ปี  จบการศึกษาระดับปริญญาเอก 2 ใบ ด้านพลังงานจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลฝรั่งเศส และเป็นคนแรกของเอเชียที่ได้รับทุนการศึกษาปริญญาเอกด้านพลังงานจากประชาคมยุโรป แต่ลาออกจากอาจารย์ประจำคณะพลังงาน สิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีหมายเลข 13 นายวศิน ภิรมย์ ผู้สมัครอิสระ อายุ 32 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนหน้านี้เคยเป็นอาจารย์คณะครุศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาเทคโนโลยีมีเดีย หมายเลข 14 นายประทีป วัชรโชคเกษม ผู้สมัครอิสระ อายุ 63 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท เป็นนักธุรกิจ เคยเป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตพระโขนง เมื่อปี พ.ศ.2528 เคยเป็นนายกสมาคมชาวคลองเตย และเคยเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปราจีนบุรี หมายเลข 15 นายจำรัส อินทุมาร พรรคไทยพอเพียง อายุ 57 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพทนายความ  หมายเลข 18 นางนันท์นภัส โกไศยกานนท์ ผู้สมัครอิสระ อายุ 52 ปี  จบการศึกษาปริญญาโทจากคณะวิทยาการจัดการ สถาบันรัชภาคย์ เคยเป็นนักการตลาดและประกอบธุรกิจส่วนตัวเห็นกันจะจะแล้วทุกหมายเลข รักชอบใครแล้วอย่าลืมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ในวันที่ 3 มี.ค.นี้

Blog Archive