Monday, February 4, 2013

เอแบคโชว์โพลย้อนหลัง ยันไม่มั่ว อัดนักการเมืองหยุดใช้โวหารโจมตี

เอแบคโชว์โพลย้อนหลัง ยันไม่มั่ว อัดนักการเมืองหยุดใช้โวหารโจมตี
ผอ.เอแบคโพลล์ จวกนักการเมืองหยุดใช้โวหารอัดสำนักโพลมักง่าย ซัดกลับโกหกผ่านสื่อชี้นำตัวเองไร้ตัวเลขสถิติ รับเป็นไปไม่ได้ที่โพลจะไม่ชี้นำ พร้อมอ้างอิงผลโพลย้อนหลังทำนายใกล้เคียง หยิบกรณี สมัคร สุนทรเวช ได้เกินล้านคะแนน ระบุชัดอย่ายึดมั่นถือมั่นเชื่อโพล เพราะมีความคลาดเคลื่อน แต่อย่ามองข้าม...เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2556 ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผยแพร่บทความ อย่าเชื่อโพลตอน 2 ภายหลังได้ทำตอน 1 เมื่อปี 2551 เพื่อย้ำถึงความน่าเชื่อถือของผลโพลว่า อย่าเชื่อโพล เพราะในการทำโพลมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน แต่เหตุที่ต้องทำโพล เพราะถ้าไม่มีการทำโพลในสังคมประชาธิปไตย จะพบว่า เมื่อเปิดโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ขึ้นมาเพื่อติดตามข่าวสาร ซึ่งพื้นที่ข่าวของการให้สัมภาษณ์เกือบร้อยละ 100 เป็นเสียงของคนชนชั้นนำ เช่น นักการเมือง นายทุน นักวิชาการ นักวิเคราะห์ข่าว และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นต้น ผลที่ตามมา สังคมจะถูกชี้นำโดยชนชั้นนำเหล่านี้ แต่การทำโพลเป็นเสียงของคนทุกชนชั้นส่วนคำถามว่าโพลเป็นการชี้นำหรือไม่นั้น ถามว่ามีอะไรบ้างที่มนุษย์พูดออกมาและไม่เป็นการชี้นำ เพราะทันทีที่มนุษย์พูด หรือแสดงพฤติกรรมอะไรออกมา ล้วนแต่มีส่วนชี้นำด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่จะพูดทิ้งท้ายว่า “แล้วแต่จะพิจารณา” ก็ตาม ดังนั้น เมื่อคณะวิจัยตระหนักถึงเรื่องการชี้นำ จึงต้องหาทาง “ลด” การชี้นำ แต่ไม่มีทางหมดไปได้ โดยอาศัยหลักสถิติและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ บางคนโจมตีว่า โกหกยิ่งกว่าโกหกคือ สถิติ เป็นสำนวนของผู้ที่ต้องการหักล้างการใช้หลักสถิติ และต่อต้านการทำโพล ผมจึงชี้ให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่นักวิจัยบางคนใช้หลักสถิติ เพื่อปกปิดข้อมูลบางอย่าง และเปิดเผยบางอย่าง แต่เราก็จะพบว่า มันง่ายกว่าที่จะโกหกโดยไม่มีตัวเลขทางสถิติมายืนยัน และสังคมมักจะถูกคนบางกลุ่มโกหกผ่านสื่อมวลชน โดยไม่มีข้อมูลสถิติมารับรองความถูกต้องอยู่บ่อยๆ เช่น นักการเมืองบางคน บอกว่าผู้สมัครของตนชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่มีข้อมูลวิจัยใดๆ มายืนยัน ล่าสุดมีนักการเมืองบางคน และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อต้านความเติบโตในฐานเสียงของฝ่ายตรงข้าม ออกมาโจมตีโพลสำนักต่างๆ ว่า นักทำโพลเป็นพวกมักง่าย ทำโพลมากี่ครั้งๆ ในอดีตที่ทำนายผลการเลือกตั้งผิดพลาดมาตลอด ซึ่งเราลองมาดูกันว่าใคร เป็นพวกมักง่ายในข้ออ้างที่พูดโดยต้องการชี้นำสังคมให้คล้อยตามและตรงกับความเป็นจริงหรือไม่พร้อมมีการอ้างอิงว่า เอแบคโพลล์ทำนายผลการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2539 ว่า ดร.พิจิตต รัตตกุล จะชนะการเลือกตั้ง ต่อมาสมัย นายสมัคร สุนทรเวช บอกว่านายสมัครจะได้เกินกว่า 1 ล้านคะแนน และการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ปี 2551 ทำนายว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้ร้อยละ 44.07 ผลการเลือกตั้งจริงได้ร้อยละ 45.93 และในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ปี 2552 ในโค้งแรก บอกว่า ม.ล.ปลื้ม เทวกุล ได้ร้อยละ 37.0 แต่ยังมีการสำรวจต่อเนื่องไปจนถึงโค้งสุดท้าย ที่พบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้ร้อยละ 44.40 และผลการเลือกตั้งจริง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้ร้อยละ 45.41 ดังนั้น การที่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองระบุว่า นักทำโพลทำนายผิดพลาดมาโดยตลอด ทางคณะวิจัยเอแบคโพลล์ต้องขอร้องให้ผู้พูดตรวจสอบข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ใช้สำนวนโวหารชี้นำสังคม โดยเลือกเอาข้อมูลเฉพาะจุดว่าสนับสนุนการชี้นำของตัวเอง ซึ่งลักษณะเช่นนี้ในต่างประเทศเรียกว่า “พิกกี้” (Picky) หมายถึง พวกที่ชอบหยิบบางจุดบางประเด็นมาสนับสนุนความชอบธรรมในคำพูดของตน แต่ละทิ้งจุดที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ตัวเองต้องการชี้นำอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าในอดีตที่ผ่านมา จะมีข้อมูลยืนยันให้เห็นว่า ผลโพลใกล้เคียงความจริงมากเพียงไร แต่อย่าเชื่อโพล เพราะโพลเป็นเรื่องของการสำรวจจากตัวอย่างที่มีสองประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ หลักความเป็นตัวแทนเกิดขึ้น เมื่อให้โอกาสกับการถูกเลือกกับทุกคนในประชากรเป้าหมายที่มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ดังนั้น สำนักโพลต้องมีฐานข้อมูลลงไปให้ถึงระดับครัวเรือนอย่างครอบคลุม บางสำนักใช้วิธีการโทรศัพท์สัมภาษณ์อย่างเดียว จะพบปัญหาแห่งความไม่ครอบคลุม ถ้าคนที่ถูกศึกษาคิดแตกต่างไปจากคนที่ไม่ถูกศึกษา นอกจากนี้ ปัญหาใหญ่ของนักทำโพลในสังคมไทยคือ ส่งนักศึกษาไปเก็บข้อมูลโพลเลือกตั้งแบบเฉพาะเจาะจงตามร้านชา กาแฟ ห้างสรรพสินค้า แหล่งผู้คนเดินไปเดินมา ไม่ได้ลงไปที่ครัวเรือน ยิ่งไปกว่านั้น การทำโพลโดยให้คนโทรเข้ามาโหวต เสนอตัวเข้ามาตอบเอง เป็นวิธีที่ทำลายหลักการแห่งความเป็นตัวแทน ส่วนหลักของความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอนของการทำโพล แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการเลือกตัวอย่าง และความคลาดเคลื่อนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตัวอย่าง โดยเฉพาะประเด็นหลังนี้เกิดจากแบบสอบถามที่ไม่มีคุณภาพ เกิดจากอคติของผู้ตอบ และอคติของผู้ถาม รวมถึงการประมวลผลข้อมูลผิดพลาด เป็นต้น ดังนั้น เมื่อตระหนักและเล็งเห็นเช่นนี้แล้ว จึงอย่าเชื่อโพลและอย่ายึดมั่นถือมั่น แต่ก็อย่าดำรงตนในความประมาท อย่ามองข้าม แต่ควรนำข้อมูลผลโพลที่ค้นพบไปประกอบกับแหล่งความเป็นจริงอื่นๆ แล้วตัดสินใจด้วยตนเอง เพราะเอแบคโพลล์เชื่อว่า ประชาชนไม่ได้เป็นเพียงผู้รับ แต่ประชาชนเป็นผู้ที่สามารถตอบโต้หรือไตร่ตรองด้วยตนเองได้ และตัดสินใจเลือกคนที่ใช่สำหรับตนเองในวันเลือกตั้ง.

รัฐศาสตร์จุฬาฯ เผยตัวเลขส.ว. ขยันทำงานเฉลี่ย61.54%

รัฐศาสตร์จุฬาฯ เผยตัวเลขส.ว. ขยันทำงานเฉลี่ย61.54%
รัฐศาสตร์จุฬาฯ เผยข้อมูลความขยัน ส.ว.ทำงานเฉลี่ย 61.54% พิจารณา ก.ม. 19 ฉบับ มี ส.ว.ลงมติครบทุกครั้งเพียงคนเดียว  “นิคม” โวยเก็บข้อมูลฉาบฉวยไม่ตรงข้อเท็จจริง ชงวิปวุฒิแจง...เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำสมุดพก ส.ว.ปี 2554-2555 (1 ส.ค.2554-19 มิ.ย.2555) สรุปพฤติกรรมการทำงานของ ส.ว. ส่งมอบให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแจกจ่าย แก่ ส.ว. โดยพบว่าสมัยสามัญทั่วไป 2554 และสมัยสามัญนิติบัญญัติ 2555 ส.ว.มีการประชุมทั้งสิ้น 62 ครั้ง เป็นการประชุมวุฒิสภา 40 ครั้ง และประชุมร่วมกันของรัฐสภา 22ครั้ง พิจารณากฎหมาย 19 ฉบับ เป็นพระราชกำหนด 5 ฉบับ และพระราชบัญญัติ 14 ฉบับ มีการพิจารณาเลือก และให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งต่างๆ 6 เรื่อง พิจารณาให้บุคคลพ้นจากตำแหน่ง 1 เรื่อง ตั้งกระทู้ถาม 88 กระทู้ และเสนอญัตติ 19 ญัตติ เมื่อพิจารณาสถิติการลงมติ จะเห็นว่าสถิติเฉลี่ยทั้งสภาฯ อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงมากนักคือ 61.54% มี ส.ว.ที่ลงมติครบทุกครั้งเพียงคนเดียว มี ส.ว. 45 คน ที่ลงมติสูงกว่า 70% มี ส.ว. 71 คน ที่ลงมติสูงกว่า 50% แต่ต่ำกว่า 70% และมี ส.ว. 29 คน ที่ลงมติต่ำกว่า 50% และพบว่าการลงมติระหว่างสายสรรหา และเลือกตั้งไม่มีความแตกต่างกัน สำหรับ ส.ว.สรรหา ที่มีตั้งกระทู้ถามมากที่สุดคือ นายอนุรักษ์ นิยมเวช และ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ขณะที่ ส.ว.เลือกตั้ง ที่ตั้งกระทู้ถามมากสุดคือ นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี นายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง และนายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ส.ว.ขอนแก่น ขณะที่นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ได้ตรวจดูสมุดพกการเมืองของ ส.ว.เบื้องต้นแล้ว พบว่ายังมีหลายประเด็นที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะข้อมูลการเข้าประชุม ดังนั้นจะเสนอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา พิจารณาว่ามีประเด็นใดบ้างที่อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จะได้ทำเรื่องชี้แจงไปยังเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทยต่อไป เพราะบางครั้งการลงมติซึ่งเป็นการประชุมลับก็ไม่ได้เปิดเผยผลการลงคะแนน ดังนั้น จะเอาข้อมูลที่เปิดเผยบนเว็บไซต์มาวิเคราะห์ความขยันของ ส.ว.อย่างเดียวคงไม่ได้.

สนธยา ปัดใช้อำนาจย้ายกำนันเป๊าะ ไป รพ.ชลบุรี

สนธยา ปัดใช้อำนาจย้ายกำนันเป๊าะ ไป รพ.ชลบุรี
นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม ปัดใช้อำนาจย้ายกำนันเป๊าะ เข้ารักษาตัวที่ รพ.ชลบุรี ยืนยันแยกแยะหน้าที่ลูก และรัฐมนตรีได้ ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ย้ำ ไม่ได้เลือกปฏิบัติ...นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม ยืนยันการนำตัว นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ บิดาไปรักษาตัวที่ รพ.ชลบุรี เป็นสิทธิของผู้ป่วย ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง อีกทั้งการเข้ารักษาเป็นไปตามมาตรการทางกฎหมาย ที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมดูแล นอกจากนี้ นายสนธยา ยังได้กล่าวว่า ตนเองปฏิบัติหน้าที่ในทุกด้านอย่างเต็มที่ โดยแยกแยะระหว่างหน้าที่ของลูกและหน้าที่ของรัฐมนตรี ดังนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรี แน่นอน นอกจากนี้ คดีของบิดาก็ถึงที่สุดแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการรับโทษตามกฎหมาย ส่วนครอบครัว ก็เตรียมดำเนินการใช้สิทธิให้ความช่วยเหลือ ส่วนประเด็นการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น มีกรอบระยะเวลาอยู่ ซึ่งทางครอบครัวมีที่ปรึกษากฎหมาย คอยให้คำแนะนำในเรื่องนี้ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวว่า กรณีกำนันเป๊าะ ไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ การนำตัวเข้ารักษาที่ รพ.มีกฎ กติกา ที่ผ่านมาต้องผ่านความเห็นชอบจากแพทย์ และมีฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามกฎหมาย อย่างเคร่งครัด และการขอตัวไปคุมขัง ที่ จ.ชลบุรี นั้น ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย ไม่ได้มีการช่วยเหลือกันแต่อย่างใด

ประยุทธ์ชงเรียนรด.ต้องเกณฑ์ทหาร

ประยุทธ์ชงเรียนรด.ต้องเกณฑ์ทหาร
              4ก.ย.2556 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานวันสถาปนา รด.ครบรอบ 65 ปี ว่า หลักสูตรการฝึกนักศึกษาวิชาทหารต้องปรับปรุงให้ทันต่อสถานการณ์ และให้ทันต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ โดยให้ช่วยเหลือการปฏิบัติการทางทหารเป็นหลัก ดังนั้นต้องปลูกฝังให้เยาวชน โดยเฉพาะนักศึกษาวิชาทหารให้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนส่วนราชการต่าง ๆ นอกจากนี้ อยากให้เรียนรู้ถึงภัยคุกคามที่มากมายทุกประเทศในโลกทั้งปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว เพื่อทำให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็งขึ้น ประเด็นสำคัญ คือ จะทำอย่างไรให้มีส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการดูแลประเทศชาติให้มากขึ้น ทั้งนี้ ปัญหาของนักศึกษาวิชาทหาร คือ สัดส่วนในการเกณฑ์ทหารในแต่ละปี เรามีความต้องการทหาร 8 หมื่น โดยมีคนเข้ามาเกณฑ์ในระบบมากกว่า 3 เท่า ดังนั้น ถ้ามีคนเรียนนักศึกษาวิชาทหารมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้สัดส่วนคนเข้ามาเกณฑ์มีจำนวนลดลง และอาจจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลว่า ให้เพิ่มอัตรานักศึกษาวิชาทหารในแต่ละปี ดังนั้นต้องมองต่อไปว่า จะทำอย่างไรต่อไป               “ต่อไปผมอาจเสนอว่า ถ้าคนอยากเรียนนักศึกษาวิชาทหารจริง ๆ ก็เรียนได้ แต่เมื่อถึงเวลาตรวจเลือกทหารจะต้องมาตรวจเลือกด้วย อยากจะดูว่า คนจะมาเรียน รด.มากเหมือนเดิมหรือไม่ ทั้งนี้ หากมีนักศึกษาวิชาทหารเรียนให้มากขึ้นต้องเพิ่มครู และสถานที่ ซึ่งต้องชมเชย รด.หญิง ที่สมัครเข้ามาเรียนทั้งที่ไม่ได้รับสิทธิอะไรทั้งสิ้น ผู้หญิงไทยเก่งเข้มแข็งดี ส่วนกฎหมายที่ห้ามเยาวชนต่ำว่า 18 ปี ถืออาวุธนั้น เราแก้ปัญหาโดยให้เรียนแค่อาวุธศึกษา ไม่ต้องฝึกยิงปืน ซึ่งเราจะไม่ขัดกฎหมายอื่น ส่วนเรื่องทรงผมนักเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้นักเรียนไว้ผมยาวได้นั้น แต่ในส่วนของนักศึกษาวิชาทหาร ต้องมีกติกา ดังนั้น ผมขอเถอะ เมี่อทุกคนแต่งเครื่องแบบทหารจึงควรจะไว้ผมสั้นเสียหน่อย มิเช่นนั้นจะแยกแยะไม่ออกระหว่างทหารกับพลเรือน ถ้าผม และหนวดยาวจะดูไม่เรียบร้อย”ผบ.ทบ.กล่าว ......... (หมายเหตุ : ภาพจากแฟ้มข่าว)

ผบ.ทบ.ซัดโจรใต้ไม่ใช่คน

ผบ.ทบ.ซัดโจรใต้ไม่ใช่คน
                4 ก.พ.56 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ผู้ก่อความไม่สงบยิงครูสอนทำนาในพื้นที่ จ.ปัตตานี เสียชีวิต ว่า ตนได้สั่งเจ้าหน้าที่ให้ติดตามตั้งแต่เกิดเหตุ และให้สำรวจว่า มีหน่วยงานไหนเอาคนนอกพื้นที่เข้ามาหรือไม่ เพราะบางทีอาจไม่ได้แจ้งกัน เมื่อไม่ได้แจ้งจะทำให้เกิดช่องว่าง คนที่ไปทำงานในพื้นที่ภาคใต้ถือเป็นเรื่องดีและเป็นน้ำใจของคนภาคกลาง เพราะเป็นการฟื้นฟูนาร้างตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทั้งนี้คิดว่า คนที่ก่อเหตุไม่ใช่คน ซึ่งต้องไปทบทวนว่า จะแก้ช่องว่างพวกนี้อย่างไร ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.)แสดงความเป็นห่วง และสั่งการมายังตนขอให้ดูแลความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินให้เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งตนได้สั่งการให้คนในพื้นที่ทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยจะมีการปรับกำลังทั้งพลเรือน ตำรวจ ให้รับผิดชอบงานในเชิงรับมากขึ้นในพื้นที่ที่ไม่รุนแรงมากนัก เพื่อจะได้นำทหารไปปิดกั้นส่วนอื่น ซึ่งอีกประมาณ 2-3 เดือน เมื่อตำรวจได้รับการอนุมัติให้ทำงาน ทางทหารจะแบ่งมอบพื้นที่ให้ทำงาน                 “ยืนยันว่า การทำงานไม่สับสน และมีความชัดเจน โดยเราได้จัดรองแม่ทัพภาคทุกกองทัพภาคไปเป็น ผบ.ฉก.จังหวัด โดยจัดกำลังลงไปทั้งหมด 16 กองพัน เพี่อประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด โดยจะมีการปรับพื้นที่ให้มีการสอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้ถือเป็นการแก้ปัญหาในระยะที่สอง คือ การสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงานในพื้นที่ หากสถานการณ์ดีขึ้นจะค่อย ๆ ปรับกำลังออก แต่ถ้ายังไม่เรียบร้อยก็ปรับอะไรไม่ได้ ขอร้องให้ประชาชนช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในเรื่องการข่าว วันนี้ต้องแยกให้ออกว่า สถานการณ์เกิดขึ้นจากอะไร ซึ่งการที่มีการทำร้ายทั้งคนไทยพุทธ และไทยมุสลิมนั้น ความจริงไม่น่าทำร้ายคนทั้ง 2 พวก ดังนั้นแสดงว่า ต้องมีปัจจัยอื่นด้วย ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์อย่างเดียว อาจมีเรื่องส่วนตัว การเมืองท้องถิ่น หรือภัยแทรกซ้อนที่มีการหักหลังธุรกิจ โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ผมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะที่เป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมให้ติดตามมทุกคดีว่า มีคดีความมั่นคงกี่คดี ซึ่งเขาต้องการพยายามสร้างความบาดหมางให้กับคนสองศาสนา โดยสถิติปีที่แล้ว 7-8 พันคดีเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนอีก 2 พันกว่าคดีเป็นคดีความมั่นคง ส่วนที่เหลือเป็นคดีทั่วไป” ผบ.ทบ.กล่าว   ชวนผู้สมัคร"ผู้ว่าฯกทม."หาเสียงในค่ายทหาร                 พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการให้ผู้สมัครผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร เข้าไปหาเสียในพื้นที่เขตทหารว่า ตนได้อนุมัติไปด้วยวาจามานานแล้ว ซึ่งหน่วยในพื้นที่คงกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งในวันนี้ ตนได้รับรายงานว่า จะมีบางพรรค เริ่มเข้าไปหาเสียงในค่ายทหารบ้างแล้ว ตนได้สั่งการไปแล้วว่า ระเบียบมีอยู่แล้วว่า หากเข้าไปในค่ายทหาร เราจะรวมคนให้พูดให้หาเสียงได้ เขตทหารจะเข้าไปเดินหาเสียงเหมือนด้านนอกไม่ได้ เพราะในค่ายทหารบางทีเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย และเป็นพื้นที่ที่รักษาความปลอดภัยด้วย ดังนั้นจึงต้องหาพื้นที่ที่เหมาะสม และไปรวมคนและครอบครัวทหารมาฟังผู้สมัครปราศรัย ซึ่งทางค่ายอาจให้ผู้สมัคร เดินเข้าไปเยี่ยมตรงโน้นตรงนี้ได้ไม่มาก เพราะต้องเป็นไปตามระเบียบที่ไม่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยขึ้น เพราะคนเข้ามาเยอะและหลายพวกด้วยกัน โดยตนขอเชิญชวนทุกพรรคเข้ามา ไม่ห้ามใครอยู่แล้ว เข้าได้เหมือนกันทุกพรรค เข้ามาได้แค่ไหนก็ได้เหมือนกันทุกพรรค   ลั่นทบ.ซ้อมรบทำตามแผนรับสถานการณ์ไม่ใช่ยั่วยุ                พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการฝึกตามวงรอบประจำปีของกองทัพบกว่า การฝึกนี้เรียกว่าเป็นการฝึกตามวงรอบประจำปี มีอยู่ 2 อย่าง คือ 1. การฝึกตามวงรอบประจำปี ซึ่งทุกกองทัพภาคจะต้องมีการฝึกประจำทุกปีอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่การฝึกทหารใหม่ การฝึกภาคหมู่ ตอน หมวด ภาคกองร้อย ภาคกองพัน 2.การฝึกซักซ้อมแผนป้องกันประเทศ ซึ่งเราจะฝึกตามแผนที่เขียนไว้ทุกปี ในแต่ละภาคจะมีกองกำลัง เข้าไปฝึกหัด และจะใช้พื้นที่ด้านหลังของกองกำลังที่วางกำลังอยู่ตามแนวชายแดน เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยพื้นที่ ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นการยั่วยุอะไรใคร เขาก็ฝึกของเขา เราก็ฝึกของเรา ทำนองเดียวกันทุกประเทศ เพราะถ้าย้ายจากแนวที่เราวางอยู่ไปฝึกในพื้นที่อื่นมันคงไม่ใช่ เราต้องอยู่ดูแลพื้นที่ตรงนั้นด้วย ซักซ้อมไว้หากเกิดเหตุ แล้วจะต้องทำอย่างไร ทำกันอย่างนี้ทุกปี อย่ามองกันให้เป็นประเด็นก็แล้วกัน                เมื่อถามว่า เป็นการเตรียมรับสถานการณ์ชายแดนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ภารกิจของกองทัพบกมี 2 ประการ คือการเตรียมกำลัง การฝึกให้หน่วยมีการพร้อมรบ การใช้อาวุธ การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เรียกว่าเตรียมกำลัง และหากมีการใช้กำลังจะเอาคนพวกนี้ไปทำงานชายแดน เรียกว่า ใช้กำลัง เราต้องปฏิบัติตามแผน ป้องกันประเทศ แผนเผชิญเหตุ เป็นแผนเขียนในกระดาษ แต่ยังไม่ปฏิบัติแต่หากต้องการใช้แผนนั้นแผนนี้ ก็ต้องออกเป็นคำสั่งให้ใช้ปฏิบัติ จะชนะหรือแพ้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังพลว่า เข็มแข็งหรือไม่ อาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมหรือไม่ ซึ่งเราต้องมีความพร้อม สิ่งนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว ทหารต้องมีความพร้อมในการป้องกันประเทศ และดูแลประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติและความเดือดร้อน นี้เป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว                เมื่อถามว่า มีใครขอร้องท่านหรือไม่ว่า เมื่อพูดถึงการเตรียมพร้อมชายแดนอย่าพูดขึงขัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ขึงขัง ผมพูดเสียงดีหรือเปล่า ไม่มีใครมาขอร้องผม ผมขอร้องตัวผมเอง เตือนตัวเองอยู่เรื่อยว่า อย่าอารมณ์เสีย วันไหนถ้าผมปวดหัวมาก ผมก็อารมณ์เสียมาก ดังนั้นต้องแก้ไขตัวเอง ผมจะไปโทษใครได้ โทษสื่อก็ไม่ได้ ดังนั้นต้องโทษตัวเอง โมโหมากก็ปวดหัวมาก ถ้าไม่อยากปวดหัวก็อย่าโมโหคน ต้องลดระดับตัวเองลงไป แต่อย่าละเมิดในศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน เพราะกองทัพต้องมีศักดิ์ศรี”

จูดี้ชูรถนร.ฟรีหาเสียงวัยโจ๋มากขึ้น

จูดี้ชูรถนร.ฟรีหาเสียงวัยโจ๋มากขึ้น
               4 ก.พ.56  พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า พื้นที่ชายขอบของกทม. ปัญหาสำคัญคือ เรื่องของการเดินทาง ประชาชนส่วนใหญ่เวลาจะเข้าเมืองมักไม่มีรถเมล์ ซึ่งส่วนมากจะใช้บริการรถตู้ซึ่งมีราคาแพงกว่า  ดังนั้น ตนต้องการบริหารจัดการใหม่ ให้มีรถเมล์ฟรี โดยให้รถเมล์จากในเมือง ออกมาให้บริการบริเวณชานเมือง เพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ จะได้มีรถเมล์ทั่วถึงทุกพื้นที่ของกทม. โดยไม่เสียค่าโดยสาร ซึ่งถือว่า เป็นบริการพื้นที่ชาวกทม.ควรได้รับ นอกจากนี้ ยังเป็นการลดจำนวนรถเมล์ในพื้นที่กลางเมือง  เพื่อคืนช่องจราจรให้รถส่วนบุคคล ลดความแออัด ด้านการจราจรในเมือง  ทั้งนี้จะจัดทำระบบแรปปิ้ง เพื่อให้มีระบบรถโรงเรียนขนาดเล็กวิ่งโดยรอบเป็นวงกลมโดยเฉพาะในชุมชน เพื่อให้นักเรียนไม่ว่าจะอยู่สถาบันใดก็สามารถใช้บริการได้  เชื่อว่าจะทำให้ปัญหาการจราจรลดลง โดยจะใช้งบประมาณส่วนเดียวกับรถเมล์ฟรีทั่วไป                     ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน (โพลล์) ที่พบว่า ยังได้คะแนนนำ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พรรคประชาธิปัตย์อยู่นั้น  พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า ถือเป็นกำลังใจให้พวกเรา  แต่การลงพื้นที่ก็จะลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งนำเสนอให้ประชาชนเห็นว่า หากเลือกตนเป็นผู้ว่าฯกทม.จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง  ซึ่งยืนยันว่า จะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นกว่าแน่นอน  และจากนี้จะพบปะเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น    "เพื่อไทย"ยันลงพื้นที่ต่อเนื่องแม้โพลล์นำ เตรียมอบรม"อาสาสมัคร"เฝ้าคูหา                ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองโฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีผลโพลล์จากศูนย์อำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ขณะนี้ผลโพลล์สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนอยากเห็น กทม.มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ถึงแม้ผลโพลล์ค่อนข้างจะเป็นบวกกับพรรคเพื่อไทย แต่ว่าพรรคเพื่อไทยจะตั้งอยู่บนความไม่ประมาทและทำงานหนักต่อไปในการลงพื้นที่ที่จะนำนโยบายของพรรคเราไปชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบอย่างทั่วถึงมากที่สุด ส่วนการจัดทีมเคาะประตูบ้าน การตั้งเวทีปราศรัยย่อยสามารถทำได้ตรงตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี                 ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าวต่อว่า ในวันที่ 6 ก.พ.นี้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พรรคเพื่อไทย  จะแถลงนโยบายในลักษณะเจาะลึกถึงนโยบายที่จะใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของประชาชน การแก้ปัญหาเรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งจะครอบคลุมในเรื่องอัคคีภัยรวมถึงการแก้ปัญหายาเสพติด โดยจะชี้ให้ประชาชนเห็นถึงกระบวนการแก้ปัญหาและผลักดันนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริงจับต้องได้ ไม่ได้เพ้อฝัน ซึ่งช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งพรรคจะมีการลงพื้นที่อย่างเข้มข้นเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจโดยไม่ลังเล                "นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังให้ความสำคัญกับการป้องกันการทุจริตการเลือกตั้งทุกรูปแบบ โดยในช่วงกลางเดือน ก.พ. พรรคจะมีการเปิดอบรมอาสาสมัครตัวแทนจากภาคประชาชน จำนวน 6,548 คน โดยจะให้ทำหน้าที่สังเกตการณ์ในแต่ละคูหาเลือกตั้ง โดยฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจะเข้ามาอบรมซึ่งเนื้อหาจะมีสองส่วนคือ ความรู้ในเรื่องกฎหมายและเทคนิคกลโกงการทุจริตการเลือกตั้ง  โดยพรรคให้ความสำคัญกับการอบรมเพื่อที่จะให้การเลือกตั้งเกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุด และพรรคอยากเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมจับตากลโกงเพื่อจะได้รู้เท่าทันกลโกงและรักษาผลประโยชน์ของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม." ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าว   "อุดมเดช"ยันไม่ประมาทแม้โพลล์ให้"พงศพัศ"นำ                 นายอุดมเดช รัตนเสถียร สส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงแนวทางการหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ ว่า การปรับยุทธศาสตร์ในการหาเสียงถือเป็นยุทธศาสตร์ของพรรค เพราะถ้าหาเสียงแบบเดินโดยการลงไปดูในรายละเอียด หรือเคาะประตูบ้าน ก็จะไม่สามารถเรียกคะแนนเสียงได้ทัน เพราะขณะนี้ถือว่า ระยะเวลากระชั้นชิดแล้ว และต้องยอมรับว่า คนเป็นผู้ว่าฯมาก่อน ย่อมมีคะแนนจัดตั้ง นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ ยังมี สก. สส.ในพื้นที่ กทม.มากกว่าพรรคเพื่อไทย ดังนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ ต้องใช้ความโดดเด่นในตัวเองนำเสนอในภาพกว้างโดยผ่านสื่อ เพื่อให้ได้คะแนนในกลุ่มบ้านจัดสรร และตึกแถวเข้ามาเสริม ซึ่งเชื่อว่า คนกลุ่มดังกล่าวไม่ใช่คะแนนจัดตั้งของฝ่ายใด เพราะจะเลือกผู้สมัครที่มีวิสัยทัศน์ บุคลิก และวิธีคิดของผู้สมัคร                 "ยอมรับว่าคนที่เป็นผู้บริหารมาก่อน ย่อมมีคะแนนจัดตั้งอยู่ในมือ แต่ผลโพลล์ที่ออกมาระยะนี้ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ มีคะแนนความนิยมเหนือกว่าผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็อาจจะทำให้ผู้ที่คิดจะช่วยผู้บริหารคนเก่าอาจจะไม่กล้าช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลอยู่ถึงแม้ตอนนี้โพลล์ของ พล.ต.อ.พงศพัศ จะนำ เพราะการเลือกตั้ง สส.ที่ผ่านมาก็ยังมีความผิดเพี้ยนไปได้ โดยที่ผ่านมาโพลล์เพื่อไทยชนะยังแพ้เลย ฉะนั้นวันนี้เราต้องป้องกันให้คะแนนออกมาไม่แตกต่างจากผลโพลล์" นายอุดมเดช กล่าว                   "ผู้สมัครผู้ว่าฯ"แห่ร้อง"กกต."จี้ห้ามเผยแพร่โพลล์                 ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานเลือกตั้ง (กกต.) ว่า  นายกฤษณ์ สุริยะผล ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 20 ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียน พร้อมนำพวงหรีดที่มีข้อความว่า “แด่โพลล์ชี้นำ” เพื่อขอให้กกต.กทม. พิจารณาสั่งระงับหรือกล่าวตักเตือนไม่ให้สำนักโพลล์ต่างๆ เผยแพร่ผลการสำรวจการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในทุกกรณีโดยทันที พร้อมออกระเบียบห้ามไม่ให้เผยแพร่ผลการสำรวจความเห็นที่เกี่ยวข้องกับคะแนนนิยมของผู้สมัครรับเลือกตั้ง                นายกฤษณ์ กล่าวต่อว่า จะเห็นได้จากผลสำรวจที่ออกมาในแต่ละสัปดาห์ ไม่ว่าสำนักโพลล์ไหน ๆ ก็ระบุถึงคะแนนนิยมของผู้สมัครบางคนอย่างชัดเจน จนสร้างกระแสให้ผู้สมัครบางคนซึ่งเท่ากับเป็นการชี้นำ ดังนั้น ตนจึงไม่มั่นใจในความน่าเชื่อถือของนักวิชาการ ของสำนักโพลล์ในการสำรวจเพราะว่านักวิชาการบางคนมีความใกล้ชิดกับรัฐบาล บางคนรับเงินจากรัฐบาลในการทำงานสำรวจวิจัย พร้อมทำเวทีสานเสวนาให้กับรัฐบาล และบางคนก็สนิทสนมกับบางพรรคการเมืองอย่างแยกไม่ออกอีกด้วย                นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 6 ได้เดินทางมายื่นหนังสือขอให้ กกต.พิจารณาการทำโพลล์ที่มีการชี้นำ โดยเฉพาะการชี้นำไปที่สองพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งที่ในความเป็นจริงมีคะแนนส่วนหนึ่งที่ประชาชนให้การสนับสนุนผู้สมัครอิสระ แต่ไม่ได้รับการเผยแพร่ จึงขอความเป็นธรรมให้กับตนและผู้สมัครคนอื่นๆ ด้วยการยุติการเผยแพร่โพลล์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังขอให้สื่อให้ความเป็นธรรมอย่านำตนในฐานะผู้สมัครอิสระไปร่วมกับ ผู้สมัครอิสระคนอื่นที่อาศัยกระแส เพื่อเคลื่อนไหวโดยอิงการเมือง เพราะตนต้องการเข้ามาทำงานเพื่อคนกทม.อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ตนขอให้ กกต.กทม. ตรวจสอบว่า ถูกลอกเลียนแบบนโยบายโดย 2 พรรคการเมืองใหญ่หรือไม่ คือ นโยบายน้ำดีไล่น้ำเสีย และสวนสาธารณะลอยน้ำ ที่ตนได้คิดและประกาศนโยบายดังกล่าวตั้งแต่วันที่สมัครรับเลือกตั้งแล้ว                ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเดียวกันนั้น นายประทีป วัชระโชคเกษม อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 14 ที่ถูกตัดสิทธิ์ในการสมัครรับเลือกตั้งได้เดินทางมาชี้แจงและขอความเป็นธรรม กรณีถูกตัดสิทธิ์ โดยยืนยันว่า ไปใช้สิทธ์เลือกตั้ง สส.แบบล่วงหน้า ที่หน่วยเลือกตั้ง 72 เขตพระโขนง ซึ่งตนได้เซ็นชื่อที่ต้นขั้วของบัตรเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เซ็นในสมุดทั่วไป ทั้งนี้ ตนเล่นการเมืองมานานและเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ซึ่งขนาดนี้มีอายุถึง 63 ปี แล้ว จึงเข้าใจกฎหมายและขั้นตอน รวมทั้งมีวุฒิภาวะพอที่จะรู้ว่า หากไม่ไปใช้สิทธิ์แล้วมาสมัคร ถือว่าเป็นการให้ข้อมูลเท็จจะถูกดำเนินคดีอาญาได้ อย่างไรก็ตามตนได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวกับประธาน กกต.กทม. ที่ระบุว่า จะให้คำตอบภายใน 2-3 วัน ซึ่งหากไม่คืนสิทธิ์ให้ ตนจะร้องถึงศาลฎีกาต่อไป  

Blog Archive