Monday, December 31, 2012

โหรคมช.เตือนยิ่งลักษณ์ ระวังคนใกล้ชิดสร้างปัญหา

โหรคมช.เตือนยิ่งลักษณ์ ระวังคนใกล้ชิดสร้างปัญหา
นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหร คมช. เตือน “ยิ่งลักษณ์” ระวังคนใกล้ตัวทำรัฐพัง แนะบริหารประเทศอย่าคำนึงแค่พวกพ้อง ต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองวุ่นวายภายใน 3-6 เดือน วอนทุกสีรวมเป็นหนึ่ง ยึดสีธงชาติ เดินหน้าพัฒนาประเทศ ชี้ “ทักษิณ” ยังไม่ถึงเวลากลับไทยถาวร เชื่อ “ประยุทธ์” ยังอยู่ในตำแหน่งทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง เป็นห่วงปี 56 ภัยธรรมชาติเอาคืนคนทำลาย...   เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดังแห่งวิหาร หลวงปู่เกวาลัน สำนักสุขิโต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หรือโหร คมช. ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางบ้านเมืองปี 2556 ว่า ดูตามสถานการณ์บ้านเมืองสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เรื่องของภัยธรรมชาติ ซึ่งตามที่ได้ดูตามจิตของหลวงปู่เกวาลัน ท่านบอกว่า ภัยธรรมชาติจะเริ่มแรงขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ภัยธรรมชาติตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ซึ่งหลายประเทศก็ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับภัยพิบัติ และกระจายไปตามจุดต่างๆ ของโลก โดยจะมีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวกันไว้ว่าโลกถึงเวลาสิ้นโลก ซึ่งความจริงมันไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่เป็นวันโลกาวินาศ คือจะทำให้โลกบอบช้ำในเรื่องมหันตภัยโดยภัยธรรมชาติ เป็นที่มนุษย์กระทำขึ้นมา ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือการไม่ลงรอยของประชาชนที่ไม่ได้เกิดเฉพาะเพียง ประเทศไทยเท่านั้น แต่หลายประเทศทั่วโลกก็เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของประชาชน ที่มีการประท้วงฆ่าฟันกัน ส่วนที่หนักที่สุดคือ ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องมากกว่าชาติบ้านเมือง บ้านเมืองที่ได้รับผลกระทบก็เกิดจากฝีมือคน ภัยพิบัติก็เกิดจากฝีมือคน เมื่อคนทำร้ายธรรมชาติ ธรรมชาติก็กลับมาทำร้ายคน ซึ่งถือเป็นวงเวียนของธรรมชาติ   “ประเทศไทยก็อยู่ในเกณฑ์หนึ่งที่เหมือนกับประเทศอื่นๆ ภัยพิบัติไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่จะเกิดทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยจะหนักขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งถึงปี 2560 แล้ว หลังจากนั้นสถานการณ์รุนแรงในเรื่องภัยพิบัติจะคลายลงไปเรื่อยๆ และกลับมาเป็นปกติ ทั้งนี้ สาเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากคนไม่ยอมกัน ไม่เข้าใจกันซึ่งกันและกัน เพียงแต่จะเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม โดยเฉพาะพวกพ้อง ที่สำคัญคือไม่เคารพในเรื่องของกฎหมาย ไม่เคารพเรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริง เมื่อต่างฝ่ายต่างมีความเห็นไม่ตรงกันก็เกิดการปะทะกัน ทะเลาะกัน พยายามชิงชัยชนะที่คิดว่าถูกต้องมาครอบครอง รวมไปถึงบ้านเมืองของเราในปี 2556 ตั้งแต่ปีใหม่ ถ้าคนไทยทั้่งประเทศหันหน้ามาร่วมเป็นหนึ่ง และพยายามประคับประคองบ้านเมือง และทำทุกอย่างให้ผลประโยชน์ทั้งหมดตกอยู่กับบ้านเมือง โดยที่ไม่เบียดเบียน ไม่ก่อความเดือดร้อน ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้หนึ่งผู้ใด เมื่อนั้นบ้านเมือง หรือประเทศชาติ ก็จะไปรอด แต่ถ้าหากว่ายังเหมือนเดิมรับรองว่าประเทศชาติจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกรอบแน่ ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจะเกิดด้วยฝีมือคนทั้งสิ้นที่เป็นผู้กระทำ รวมถึงกรรมของบ้านเมืองที่ผสมกันที่คนเป็นสร้างขึ้นมา” นายวารินทร์ กล่าว นายวารินทร์ กล่าวต่อว่า ความแตกแยกของบ้านเมืองจะเกิดขึ้นแน่ หากไม่ยอมหันหน้ามาเจรจากัน พยายามทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัว พยายามแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะเอาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง หรือผู้ใดผู้หนึ่ง หากไม่ทำในเรื่องนี้ความแตกแยกก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ตนอยากให้ทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมือง บ้านเมืองที่เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากมารวมเป็นกันทุกสีมารวมเป็นสีของธงชาติไทย บ้านเมืองถึงจะเดินได้เป็นปกติ ถ้าหากรัฐบาลมุ่งหน้ามุ่งตาปรับการบริหารบ้านเมืองตามครรลองครองธรรมเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชน เอื้อประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง รัฐบาลถึงจะอยู่บริหารประเทศต่อไปได้ แต่ถ้าหากมีเหตุใดเหตุหนึ่งในการเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้อื่นๆ หรือคนหนึ่งคนใด หรือให้กับกลุ่มพวกพ้อง รับรองได้เลยว่าบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวายไม่เกิน 3-6 เดือน ดังนั้น บ้านเมืองควรจะต้องช่วยกันดูแลและพัฒนากัน ช่วงนี้ไม่น่าจะทำอะไรให้เกิดความขัดแย้ง ส่วนโอกาสที่จะมีอัศวินขี้ม้าขาว อย่างอักษร ป.ปลา หรือนายทหาร ป. ที่เคยระบุไว้นั้น อักษร ป.ปลา คนปัจจุบัน ก็ยังคงปฏิบัติงานตามหน้าที่ของเขาอยู่ ถ้าเกิดเหตุนอกจากที่ตนเคยบอกไปแล้ว ก็อาจจะกลุ่มคนหลายคน รวมถึงอักษร ป.ปลา ที่ว่านี้ ก็อาจจะมารวมตัวกันและช่วยกันประคองชาติบ้านเมือง ตนยืนยันเหมือนเดิม แต่ถ้าหากตอนนี้มีการดำเนินการของกลุ่มที่มีอำนาจในปัจจุบัน หรือรัฐบาล ที่จะประคับประครองประเทศชาติ ก็สามารถไปรอด หากมีเหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้น นายวารินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนดวงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนั้น ยังไม่มีอะไร เพียงแต่กลัวคนอื่นคนใกล้ตัวมากกว่าที่จะมาสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างความวุ่นวายให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถ้าคนอื่นมาสร้างปัญหาให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะทำให้เกิดปัญหารุนแรงเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ต้องอย่าทำให้เป็นเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง รัฐบาลมีหน้าที่ในการบริหารชาติบ้านเมืองก็จะต้องควบคุมให้ดี    สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีโอกาสจะได้กลับประเทศไทยในปี 2556 หรือไม่นั้น นายวารินทร์ กล่าวว่า ยังไม่ได้ดูในรายละเอียด แต่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาประเทศไทยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาอยู่ประเทศไทยอย่างถาวรนั้นยังไม่ถึงเวลา คงจะต้องอีกระยะหนึ่ง ส่วนการดูแลความมั่นคง โดยเฉพาะตัวของ พล.อ.ประยุธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกนั้น กองทัพถือเป็นเสาหลักของชาติบ้านเมือง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กองทัพเป็นหลักของบ้านเมืองและมีหน้าที่ดูแลชาติบ้านเมือง เมื่อเกิดเหตุอะไรกองทัพก็จะเข้าไปดูแลทันที ไม่ว่าจะภัยธรรมชาติ ทหารก็จะออกมาดูแลอย่างเต็มที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงทำหน้าที่ดูแลงานความมั่นคงในปีหน้าปกติ.

ปชป.ห่วงรัฐแก้ปัญหาระบายข้าวไทยปี56

ปชป.ห่วงรัฐแก้ปัญหาระบายข้าวไทยปี56
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กัดไม่ปล่อย ชี้ข้าวไทยปี 56 เสี่ยงเจ๊งยกระบบ ระบุเวียดนามเตรียมลดราคาขายแข่งอีก...เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นักวิชาการ นายกสมาคมชาวนาที่เห็นตรงกันว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 56 โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจะมีปัญหา เพราะข้าวเก่าในโครงการจำนำปี 2555 ยังคงค้างอยู่ ขณะที่มีข้าวจะเข้าโครงการรอบใหม่ ว่า จะเป็นปัญหาคาราคาซัง เพราะรัฐบาลไม่สามารถระบายข้าวได้ เนื่องจากมีข้าวเหลือในสต๊อกของรัฐบาลประมาณ 12 ล้านตัน ซึ่งมีผู้ประกอบการโรงสีให้ข้อมูลตนมาว่า ขณะนี้การสีแปรรูปข้าวนั้นลดลงมาก เพราะรัฐบาลไม่มีสต๊อกที่จะเก็บข้าว และการที่รัฐบาลจะสร้างไซโรเพื่อเก็บข้าว โดยอ้างว่าเพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศนั้น คงฟังไม่ขึ้น เพราะประเทศไทยเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ำ จึงไม่ต้องไปกังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร จึงเห็นว่ารัฐบาลต้องปรับนโยบาย เพราะหากรัฐบาลปล่อยข้าวในสต๊อกเสื่อมสภาพ ราคาก็จะต่ำลงเรื่อยๆ และทำให้ข้าวไทยขายได้ยากมากขึ้น จึงเชื่อว่าวันนี้วงจรจำนำข้าวเริ่มกลับมาที่เดิม นพ.วรงค์ กล่าวต่อไปว่า หากรัฐบาลยังดื้อต่อไป ก็จะเกิดความเสียหายซ้ำรอยปี 55 จะเกิดความเสียหายกับประเทศชาติมากขึ้นกว่าปี 55 เพราะข้าวเก่าเสื่อมสภาพ ขายไม่ได้ราคาตามที่คิด ข้าวใหม่จะเข้ามาก็ไม่มีที่เก็บ ขณะที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งในการส่งออกข้าวกับไทย เตรียมลดราคาขายลงอีกในปี 56 เรื่องข้าวไทยจึงน่าเป็นห่วงมาก เพราะคนค้าขายจะรู้ดีว่า หากมีของเก่าอยู่ยังขายไม่ได้ และมีของใหม่จะเข้ามาอีก เมื่อขายไม่ได้อย่างที่คุยไว้ ธุรกิจก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง แต่ทำไมรัฐบาลนี้กลับคิดไม่ได้.

ชวนนท์จี้นายกฯ อย่าลอยตัวเหนือปัญหาแก้รธน.-ปรองดอง

ชวนนท์จี้นายกฯ อย่าลอยตัวเหนือปัญหาแก้รธน.-ปรองดอง
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ย้อนนายกฯ ต้องเป็นผู้นำ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ซัดอย่าลอยตัวเหนือปัญหา...เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยเนื่องโอกาสปีใหม่ โดยขอให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง และแสดงออกทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์นั้น ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้นำประเทศ ก็ควรเป็นผู้นำในเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่การกระทำของนายกฯ ที่ผ่านมา กลับเป็นไปในรูปแบบพูดแต่ไม่ทำ ลอยตัวเหนือปัญหา และนายกฯ เองก็ยังสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยที่ไม่เคยมีการห้ามปรามใดๆ ไม่ว่า นปช.จะแสดงพฤติกรรมข่มขู่คุกคามองค์กรอิสระและตุลาการก็ตาม นายชวนนท์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ นายกฯ ก็ยังคงลอยตัวเหนือความขัดแย้ง ทั้งเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ปรองดองอยู่ ฉะนั้น หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องการให้ประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง ตนเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ควรจะเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่นำในเรื่องครอบครัวของตัวเองเท่านั้น.

Sunday, December 30, 2012

ส.ว.สายเลือกตั้ง ขอปลดล็อก แก้รธน. ม.111

ส.ว.สายเลือกตั้ง ขอปลดล็อก แก้รธน. ม.111
ส.ว.สายเลือกตั้ง เดินเครื่องเต็มสูบแก้รัฐธรรมนูญ​ นัดถกหลังปีใหม่ 7 ม.ค. เน้นแก้รายมาตรา โดยเฉพาะประเด็น ม.111 ปลดล็อก ส.ว.ลงเลือกตั้งได้ 2 สมัยติดต่อกันโดยไม่ต้องเว้นวรรค... นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ส.ว.ชลบุรี เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) กล่าวว่าแนวทางวุฒิสภา หลังจากศึกษาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ยังเห็นว่าไม่มีความชัดเจน แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยจะให้ลงมติวาระ 3 เลยก็อันตราย และสุ่มเสี่ยงที่จะถูกชี้มูลความผิดอีก และเชื่อว่าประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญนี้จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าแก้ให้ใคร แก้เพื่ออะไร ดังนั้นในส่วนของ ส.ว.สายเลือกตั้ง ได้นัดหารือนอกรอบในวันที่ 7 ม.ค.2556 โดยส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าจะยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ให้เป็นอีกทางเลือกของรัฐสภา เพื่อประโยชน์ประเทศและประชาชน เพราะเราเชื่อว่าการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.มาดำเนินการนั้น ไม่น่าจะเดินไปสู้เป้าหมายได้ อาจเกิดความขัดแย้ง เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองอีก วันนี้ถือว่าพบทางตัน นายสุรชัยกล่าวว่า ดังนั้นในการหารือจะยกประเด็นที่ควรเร่งแก้ไขก่อน อาทิ มาตรา 190 เกี่ยวกับการขอความเห็นชอบร่างสนธิสัญญา มาตรา 111 การปลดล็อก ส.ว.ให้ลงรับเลือกตั้งได้ติดต่อกันโดยไม่ต้องเว้นวรรค มาตรา 116 เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาห้ามมิให้ ส.ว. ที่ยังไม่พ้นจากวาระเกิน 2 ปี เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา 265-266 เกี่ยวกับข้อห้ามการกระทำ ที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของ ส.ส. ส.ว. เพราะเชื่อว่า ส.ส.และ ส.ว.ย่อมรู้ถึงปัญหาประชาชนในแต่ละพื้นที่ดี จะช่วยแก้ปัญหาได้รวดเร็วขึ้น หรือมาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค วันนี้แนวทางการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลอาจพบกับทางตัน อาจทำให้กระบวนการทำประชามติเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงเห็นว่าสภาสูงควรแสดงบทบาทเสนอทางออกให้กับบ้านเมือง     ด้านนายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี กล่าวว่า จะมีการถกเถียงกันทุกประเด็นปัญหา โดยจะหยิบยกมาตราที่จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วนขึ้นมาก่อน ซึ่งขณะนี้เท่าที่หารือร่วมกับ ส.ว.สายสรรหาบางส่วน ก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ยืนยันว่าที่เราทำไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เราต้องการแก้ไขให้กติกาต่างๆ เข้ารูปเข้ารอย เพราะหากเราไม่ผลักดัน ก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะทำจริงจังแค่ไหน เพราะวันนี้ในพรรคเพื่อไทยเองยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่

ดุสิตโพลเผย ดัชนีการเมืองไทย 55 ภาพรวมได้ 5.18 คะแนน

ดุสิตโพลเผย ดัชนีการเมืองไทย 55 ภาพรวมได้ 5.18 คะแนน
ดัชนีการเมืองไทย ตลอดปี 2555 ภาพรวมคะแนนเต็ม 10 ได้ 5.18 คะแนน อันดับ 1 ผลงานของนายกรัฐมนตรี 5.99, อันดับ 2 ข่าวสารที่เผยแพร่จากสื่อต่างๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ 5.75...เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้ตรวจสอบภาพรวม ดัชนีการเมืองไทย ตลอดปี 2555 เป็นรายเดือนตลอดปี ประกอบด้วยตัวชี้วัดรวม 25 ประเด็น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่จะบอกได้ว่าการเมืองไทยดีขึ้น แย่ลง หรือเหมือนเดิมในแต่ละเดือน โดยเปรียบเทียบเดือนต่อเดือน ทุกวันที่ 25 ของเดือน จากคะแนนเต็ม 10 และหาค่าเฉลี่ย (EMBED Equation.3) ซึ่งในปี 2555 สวนดุสิตโพลได้รวบรวมผลการสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 81,211 คน สรุปผลภาพรวมดัชนีการเมืองไทยตลอดปี 2555 ได้ดังนี้ประชาชนให้คะแนนดัชนีการเมืองไทยตลอดปี 2555 ภาพรวมคะแนนเต็ม 10 ได้ 5.18 คะแนน โดยประชาชนให้คะแนนดัชนีการเมืองไทยในแต่ละเดือนคะแนนเต็ม 10 ดังนี้ เดือนมกราคม 5.07 คะแนน, เดือนกุมภาพันธ์ 5.25 คะแนน, เดือนมีนาคม 5.23 คะแนน, เดือนเมษายน 5.12 คะแนน, เดือนพฤษภาคม 5.32 คะแนน, เดือนมิถุนายน 5.07 คะแนน, เดือนกรกฎาคม 5.15 คะแนน, เดือนสิงหาคม 5.08 คะแนน, เดือนกันยายน 5.23 คะแนน, เดือนตุลาคม 5.14 คะแนน, เดือนพฤศจิกายน 5.24 คะแนน, เดือนธันวาคม 5.26 คะแนนอย่างไรก็ดี เดือนพฤษภาคมมีคะแนนดีที่สุด 5.32 ซึ่งในเดือนดังกล่าวมีเหตุการณ์ทางการเมือง กรณีที่บ้านเลขที่ 11 พ้นโทษ 5 ปี รัฐบาลตรึงราคาสินค้า และการปราบปรามยาเสพติด ขณะที่เดือนมกราคมและเดือนมิถุนายน มีคะแนนน้อยที่สุดเท่ากัน 5.07 เนื่องจากในเดือน ม.ค. รัฐบาล
มีการปรับ ครม.ท่ามกลางกระแสที่ขัดแย้ง นักการเมืองติดแบล็กลิสต์ และในเดือน มิ.ย. ศาล รธน. ตีความการแก้ไข รธน. นาซาสนใจสนามบินอู่ตะเภาทั้งนี้ ภาพรวมดัชนีการเมืองไทยตลอดปี 2555 ที่มีคะแนนสูงสุด อันดับ 1 ผลงานของนายกรัฐมนตรี 5.99, อันดับ 2 ข่าวสารที่เผยแพร่จากสื่อต่างๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ 5.75, อันดับ 3 ผลงานของรัฐบาล 5.73, อันดับ 4 การบริหารประเทศตามนโยบายที่ประกาศไว้ 5.59 และอันดับ 5 การจัดการศึกษาสำหรับประชาชน 5.56 ขณะที่ภาพรวมดัชนีการเมืองไทยตลอดปี 2555 ที่มีคะแนนต่ำสุดที่ยังฉุดและแก้ไม่ตก อันดับ 1 การแก้ปัญหาคอรัปชัน 4.33, อันดับ 2 การแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล 4.56, อันดับ 3 การปฏิบัติตนของนักการเมือง /ความสามัคคีของนักการเมือง 4.57, อันดับ 4 การแก้ปัญหาความยากจน 4.64 และอันดับ 5 ราคาสินค้า 4.65.

ปธ.วิปค้าน จี้ นายกฯ ทบทวนแก้รธน.

ปธ.วิปค้าน จี้ นายกฯ ทบทวนแก้รธน.
ประธานวิปฝ่ายค้าน จี้ นายกรัฐมนตรี ทบทวนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ย้ำเป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง... นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ไม่สามารถคาดการณ์สถานการณ์การเมืองใน 2556 ได้ ว่าจะไปสู่ทางตันของรัฐบาลและของประเทศหรือไม่ แต่ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ทบทวนนโยบายที่จะเป็นปัจจัยสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญ ที่นายกรัฐมนตรีระบุชัดเจนว่า หากทำประชามติไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน ก็จะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่า มีเป้าหมายที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามทั้งนี้มองว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ค่อยฟังเสียงของประชาชนมากนัก แต่เป็นไปในลักษณะการชะลอ และประวิงเวลาเรื่องต่างๆ ออกไปเท่านั้น โดยมีสิ่งเดิมพันที่มีมูลค่าสูง ทั้งเรื่องการล้างผิด การคืนเงิน ซึ่งสุดท้ายจะเป็นปัญหาที่สะสมของรัฐบาลจี้ นายกรัฐมนตรี ปรับพฤติกรรม เพิ่มวุฒิภาวะนายจุรินทร์ยังได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปรับพฤติกรรมการทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ด้วยการแสดงถึงความมีวุฒิภาวะตามระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาให้มากขึ้น เพื่อเป็นของขวัญมอบให้กับคนไทยทั้งประเทศในปี 2556 พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องการทำหน้าที่ของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้มีความเข้มแข็ง เป็นกลาง เพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนบางกลุ่มเท่านั้นส่วนการทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายค้าน พร้อมให้การสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลเต็มที่ ซึ่งในปีที่ผ่านมาฝ่ายค้านได้ร่วมโหวตผ่านกฎหมายหลายฉบับ มีเพียง 2 - 3 ฉบับเท่านั้น ที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือได้ เช่น กฎหมายปรองดอง และการแก้รัฐธรรมนูญ โดยในปีหน้าฝ่ายค้านจะเน้นตั้งกระทู้ถามมากขึ้น เพื่อเสนอความเดือดร้อนของประชาชนต่อรัฐบาล

สมศักดิ์แอ่นอกรับ แยกทางอนุทิน-เนวิน ปัดขัดแย้ง

สมศักดิ์แอ่นอกรับ แยกทางอนุทิน-เนวิน ปัดขัดแย้ง
สมศักดิ์ แกนนำกลุ่มมัชฌิมา ระบุชัด แยกทางเดินกับกลุ่ม อนุทิน และ เนวิน จริง แต่ไม่ขัดแย้ง ยังให้เกียรติซึ่งกันและกัน ปัดเข้าร่วมรัฐบาลเพราะยังเป็นฝ่ายค้าน ไม่เหมาะสม แต่มีความรู้สึกที่ดีเอาใจช่วยรัฐบาล ย้ำไม่สนแก้ รธน. ชี้ปรองดองต้องให้อภัยกันอย่ารื้อฟื้น หนุน ตู่ เป็นอำมาตย์...นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึง จุดยืนทางการเมืองของกลุ่มมัชฌิมา ว่า วันนี้กลุ่มมัชฌิมาเป็นอิสระ ได้ทำความเข้าใจกับหลายๆ ส่วนแล้ว จะไม่ทำให้ใครต้องหนักใจ เพราะจะเดินทางการเมืองในทิศทางที่สร้างสรรค์ ยึดคำมั่นสัญญา คำพูด ซึ่งนิสัยใจคอของคนมัชฌิมาสายกลางอยู่แล้ว จะให้ออกมายืนตะโกนด่าใคร เชียร์ใครชมใครคงไม่ทำ จะไม่ให้ใครเอาเปรียบใคร ส่วนกระแสข่าวการร่วมรัฐบาลนั้น การที่ตอนนี้ยังเป็นฝ่ายค้านคงไม่เหมาะสม เพียงแต่มีความรู้สึกที่ดี ที่เอาใจช่วยรัฐบาล อยากให้บุคลากรของชาติ ทรัพยากรที่ถูกใช้ไปได้อย่างคุ้มค่า เพราะการเลือกตั้งบ่อยๆ ไม่ดี มันสิ้นเปลืองทั้งนี้ กลุ่มมัชฌิมาไม่ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่จะไม่ปฏิเสธเรื่องของการปรองดอง อะไรที่จะต้องลดทอนหรือให้อภัยกันด้วยเหตุผล อะไรที่เป็นเหตุเป็นผลพยายามทำให้จบ ไม่พยายามที่จะไปรื้อฟื้นจนเกิดความร้าวฉาน แต่มัชฌิมามีจำนวนเล็กน้อยจะเป็นผู้นำทางนี้ไม่ได้ ส่วนกระแสข่าวการขัดแย้งกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  และนายเนวิน ชิดชอบ ยืนยันไม่มีความขัดแย้ง เพราะต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่เป็นปัญหาต่อกัน แต่การทำงานทางการเมือง เราได้แยกกันเดินจริงตามที่เป็นข่าวส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป เชื่อว่ารัฐบาลคงจัดสัดส่วน ให้เสื้อแดงเข้าไปเพราะเป็นวิถีทางอันหนึ่ง เพราะเสื้อแดงเป็นฝ่ายที่ออกแรงมากพอสมควร คิดว่ามันยุติธรรม อาจจะเป็นการแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ เพราะการเมืองคือการทำให้คนส่วนใหญ่มีความสุข กลุ่มผลประโยชน์ในแต่ละกลุ่มในพรรคการเมืองให้มีความสุขโดยทั่วหน้าก็จะอยู่ได้ ทั้งนี้ หากมีการเกลี่ยตำแหน่งรัฐมนตรี เอานายจตุพร พรหมพันธ์ุ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าไปก็จบแล้ว และที่ผ่านมาไม่มีการนำชื่อเสนอขึ้นโปรดเกล้าฯ นายจตุพรก็หันกลับไปทะเลาะอำมาตย์อีก.

ปชป.ขอรัฐบาล 9 ข้อ ของขวัญปีใหม่ไทย

ปชป.ขอรัฐบาล 9 ข้อ ของขวัญปีใหม่ไทย
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ขอรัฐ 9 ข้อของขวัญปีใหม่ ไม่สองมาตรฐานบังคับใช้กฎหมาย แก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ...เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เทศกาลปีใหม่นี้ตนขอของขวัญ 9 ข้อคือ 1.ขอให้นายกรัฐมนตรี กล้าตัดสินใจเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้ประชาชนที่ทำผิด หรือฝ่าฝืนคำสั่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ช่วงชุมนุมทางการเมือง แต่ไม่ได้กระทำผิดกฎหมายอาญา 2.ขอให้ยุติสนับสนุนการใช้กำลังข่มขู่ จัดตั้งมวลชนคุกคามองค์กรอื่นที่เห็นต่าง 3.ขอให้เป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน ไม่มีสองมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมาย และขอให้สนับสนุนทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมควรเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม นายชวนนท์ กล่าวต่อไปว่า 4.ขอให้ละทิ้งปัญหาทางการเมือง หันมาใส่ใจปัญหาปากท้องประชาชน 5.ขอให้แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างจริงจัง 6.ขอให้ทบทวนการกู้เงินมาจำนวนมาก แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง กลายเป็นกู้มาโกง 7. ขอให้เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 8.ขอให้แก้ไขและป้องกันการทุจริตคอรัปชันอย่างจริงจัง และ 9. ขอให้เตรียมพร้อมประเทศเข้าสู้ประชาคมอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า.

ปู่พิชัยสงสารนายกฯ ชี้แก้รธน.-ไฟใต้ ทำการเมืองปี56ร้อนแรง

ปู่พิชัยสงสารนายกฯ ชี้แก้รธน.-ไฟใต้ ทำการเมืองปี56ร้อนแรง
นายพิชัย รัตนกุล กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ รธน.-ไฟใต้ทำปี 56 แรง ยันพรรคส่ง สุขุมพันธ์ ลงผู้ว่าฯ กทม.อีกสมัย เหมาะที่สุด ขณะที่จี้ “อภิสิทธิ์” ทาบทามคนเก่าแก่ช่วย ปชป. ...เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. นายพิชัย รัตนกุล กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองปี 2556 ว่า การเมืองไทยคงยังไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นในทางที่ดีขึ้น หรือร้ายแรงเหมือนกับปี 2555 แต่เรื่องที่จะทำให้ขัดแย้งได้คือ เรื่องรัฐธรรมนูญ ที่ขณะนี้ภายในพรรคเพื่อไทยเองก็ยังหาข้อตกลงไม่ได้ ตนอยากเห็นพรรคฝ่ายรัฐบาลมีเอกภาพเรื่องรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนจะได้รู้ว่าแนวทางของรัฐบาลจะไปในทิศทางใด และรู้สึกสงสาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องหาความเป็นเอกภาพให้ได้ เพื่อจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองต่อไปขณะเดียวกัน รู้สึกเป็นห่วงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่หากรัฐบาลและฝ่ายค้านไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกันแล้ว จะมีความรุนแรงมากขึ้น แม้จะใกล้กับการเข้าร่วมประชาคมอาเซียนในอีก 3 ปีแล้ว เหตุการณ์จะสงบนั้นเป็นไปไม่ได้ จึงอยากให้ในปี 2556 รัฐบาลกับฝ่ายค้านควรนำเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมตั้งคณะกรรมการร่วมกันขึ้นมาระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ นายพิชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. จะลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ อีกสมัย ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ เหมาะสมที่สุด ซึ่งจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ก็อยู่ที่ประชาชน ซึ่งกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรค กับกลุ่ม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค คนปัจจุบันนั้น เห็นว่าตนรู้จักกับนายสุเทพ แต่ไม่รู้จักนายเฉลิมชัย เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไร เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค จะต้องปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่ นายพิชัย ตอบว่า นายอภิสิทธิ์ทำงานเต็มที่แล้ว คงดูแลพรรคได้ไม่มีปัญหา ภายในพรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นเอกภาพ หากมีเรื่องขัดแย้งก็เป็นเรื่องเล็กน้อย การทำงานของนายอภิสิทธิ์ควรพิจารณานำคนเก่าๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคมาใช้งานมากขึ้น เช่น นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ที่จะหมดวาระในวันที่ 31 ธ.ค. ก็ควรเชิญมาเป็นที่ปรึกษาพรรค รวมทั้ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ที่ถือว่าเป็นคนมีฝีมือ ควรหางานให้ทำเพิ่มขึ้น หรือนายสาวิตต์ โพธิวิหค นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ที่นายอภิสิทธิ์ ควรให้คนเหล่านี้มาช่วยงาน จะสามารถฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ได้มากขึ้น และต้องฟังคนกลุ่มนี้ด้วย.

Tuesday, December 25, 2012

ขสมก.จับมือ 6 องค์กร รณรงค์ไม่ดื่มบนรถ ลดอุบัติเหตุปีใหม่

ขสมก.จับมือ 6 องค์กร รณรงค์ไม่ดื่มบนรถ ลดอุบัติเหตุปีใหม่
ขสมก.จับมือ 6 องค์กรภาครัฐ-เอกชน ออกรณรงค์ติดสติกเกอร์ไม่ดื่มบนรถ รับมืออุบัติเหตุปีใหม่ ภายใต้โครงการ “โนแอลกอฮอล์  ขสมก.ปลอดภัย”...วันที่ 25 ธ.ค. นายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เป็นประธานเดินรณรงค์แจกสื่อติดสติกเกอร์ “ห้ามดื่มสุราบนรถ” และติดป้าย “สถานีรถโดยสารห้ามขายห้ามดื่มสุรา” ภายใต้โครงการ “โนแอลกอฮอล์ ขสมก. ปลอดภัย” เพื่อให้ประชาชนไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถ หวังรับมืออุบัติเหตุปีใหม่  จัดโดย กรมการขนส่งทางบก องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ภาคีเครือข่ายองค์กรงดเหล้า มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ สหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศแห่งประเทศไทย (ITF) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นอกจากนี้ ยังมีการแสดงจำลองสถานการณ์ ดื่มแล้วสร้างปัญหาบนรถโดยสาร ตอน “บนรถนะพี่ไม่ใช่ที่กินเหล้า” จากเครือข่ายละครรณรงค์ DDD เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 55 ที่สถานีรถโดยสาร บางเขน. 

สดศรียัน กกต. ไม่เหมาะเป็นที่ปรึกษารัฐทำประชามติ

สดศรียัน กกต. ไม่เหมาะเป็นที่ปรึกษารัฐทำประชามติ
“สดศรี สัตยธรรม” ถามรัฐบาลเชิญ กกต. คุยทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญในฐานะอะไร ชี้ให้ กกต.เป็นที่ปรึกษาคงไม่เหมาะ…ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้งด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมเชิญ กกต.ไปหารือ เพื่อขอคำปรึกษาการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า หน้าที่กกต. เป็นผู้อธิบายให้ประชาชนรับทราบเกี่ยวกับขั้นตอนการออกเสียงประชามติ กกต.ไม่สามารถไปกำหนดประเด็นการจัดทำประชามติให้รัฐบาลได้ รัฐบาลต้องเป็นผู้กำหนดประเด็นเอง หากมีการเชิญจากรัฐบาลจริง กกต.คงจะมอบหมายให้เลขาธิการ กกต. ไปแทนอีกทั้งการที่รัฐบาลจะเชิญ กกต.ไปนั้น ต้องถามกลับไปยังรัฐบาลว่าจะให้ กกต.ไปในฐานะอะไร ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลต้องการที่จะให้ กกต. เป็นผู้อธิบายในข้อกฎหมายนั้น และคิดว่าทางรัฐบาลมีทีมกฎหมายที่คอยให้คำปรึกษาอยู่แล้ว จะให้ กกต. ไปให้คำปรึกษาคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจะให้ กกต.เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน วินิจฉัยเอง และแนะนำให้คำปรึกษาด้วยนั้น คงจะไม่เหมาะสม.

บัญญัติชี้ 3 ชนวนเหตุเสี่ยงทำการเมืองปี 56 เปลี่ยนแปลง

บัญญัติชี้ 3 ชนวนเหตุเสี่ยงทำการเมืองปี 56 เปลี่ยนแปลง
บัญญัติ บรรทัดฐาน ที่ปรึกษาพรรค ปชป. วิเคราะห์การเมืองปี 56 ชี้ 3 ชนวนเหตุเสี่ยงทำการเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง สั่ง ส.ส. ปชป. จับตารัฐทำทุกทางให้ประชามติเข้าเป้า...วันที่ 25 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การเมืองปีหน้าว่าจะสุ่มเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงทางการเมือง ตามที่ นายบุญเลิศ ไพรินทร์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา ที่ได้ทำนายเหตุการณ์การเมืองในปีหน้า จากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ที่เน้นประชานิยม การสร้างภาระหนี้สินต่างๆ ที่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถึงขั้นอาจจะมีการยุบสภาในช่วงกลางปี หรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง โดยสาเหตุที่สะท้อนให้เห็น 3 เหตุการณ์ คือ 1.การมุ่งประเด็นโยนความผิดเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมในปี 53 ที่ก่อให้เกิดการสูญเสีย 98 ศพ ว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ โดยนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ที่ต้องรับความผิด ทั้งที่รู้ว่าในแง่ของกฎหมายและการต่อสู้คดีในชั้นศาล ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ที่มีกฎหมายรองรับ แต่รัฐบาลยังใช้เป็นเครื่องมือต่างๆ ออกข่าวผ่านสื่อเพื่อทำลายชื่อเสียง และตีกินพื้นที่ข่าว สร้างความสับสนให้ประชาชนและสังคมต่อ 2. กรณีของ นายราเมศ รัตนะเชวง ทีมทนายพรรค ที่ถูกประทุษร้ายเอาชีวิตจนบาดเจ็บสาหัส ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลกำลังย้อนไปสู่ยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ยึดคติว่า ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ด้วยการข่มขู่ประชาชนต่างๆ นานา และ 3. กรณีปมใหญ่คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลรณรงค์อ้างว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่ผ่านมาหลายรัฐบาลก็ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ มาได้โดยตลอด และเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติด้วย ครั้งนี้ จึงเป็นการพิสูจน์คนไทยว่าจะออกมาทำประชามติให้มีการแก้ไขหรือไม่ เพราะรัฐบาลมีพฤติกรรมชัดเจนว่า จะมุ่งทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนายบัญญัติ กล่าววิเคราะห์ต่อว่า ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เขาใหญ่ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า คนเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นคนเนื้อเดียวกันแล้ว เพราะแกนนำเสื้อแดงบอกให้โหวตวาระ 3 ไปเลย โดยไม่ต้องทำประชามติ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบอกให้ทำประชามติให้ถูกต้องขั้นตอนตามที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด เพราะรู้ว่าถ้าไม่ทำจะมีคนไปยื่นฟ้องศาล ทำให้เสียเวลาในการกลับบ้าน นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเชื่อว่าจะสามารถระดมเสียง ให้คนออกมาใช้สิทธิ์ตามที่กฎหมายกำหนดคือ เกิน 24.7 ล้านเสียง เพราะถือว่ามีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ที่สุดแล้วก็จะมีการข่มขู่ข้าราชการประจำ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าราชการ จะต้องเกณฑ์ระดมคนมาให้เกิน 60-70 เปอร์เซ็นต์ ของแต่ละพื้นที่ คือทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ หากไม่เข้าเป้าก็จะมีการโยกย้ายเหมือนกับที่เคยทำมาในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ตีแตกข้าราชการ ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระทรวงต่างๆ อีกทั้งยังมีการให้ ส.ส. ในพื้นที่ทุ่มเทสรรพกำลัง ในการระดมคนออกมาทำประชามติ อิงแอบไปกับผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เช่น ถ้าพื้นที่ไหนไม่เข้าเป้า ครั้งหน้าไม่ส่งลงเลือกตั้ง ซึ่งทั้งหมดจะเป็นตัวทวีให้เดินไปสู่ความขัดแย้ง จะมีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมา รวมตัวกันเหมือนปรากฏการณ์ ม็อบ เสธ.อ้าย ที่ผ่านมา จึงขอให้ ส.ส. และสมาชิกพรรค จับตาการทำประชามติว่ามีพฤติกรรมดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร และแจ้งให้พรรคทราบ.

Sunday, December 23, 2012

ปชป.ดักคอทักษิณ ทำประชามติ อาจมีเล่นตุกติก

ปชป.ดักคอทักษิณ ทำประชามติ อาจมีเล่นตุกติก
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ดักคอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจมีเล่นตุกติก หลังมีการประกาศ หนุนทำประชามติ ก่อนลุยโหวตแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3... วันนี้ (23 ธ.ค.55) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินมายังเวทีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีการระบุว่าการลงคะแนนเสียงผ่านการทำประชามติ จำนวน 24.3 ล้านเสียง ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนทำได้ไม่ยาก เป็นเรื่องหมูๆ ว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะสนับสนุนให้ทำประชามติ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ต้องจับตาดูคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า การที่ออกมาแสดงความมั่นใจเช่นนี้มีจุดประสงค์ใดหรือไม่เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ มักใช้เล่ห์เพทุบายทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจความชอบธรรม และถ้าทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็เชื่อว่าจะเกิดปัญหาอีกอย่างแน่นอน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องแสดงความรับผิดชอบที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด  รู้ทันรัฐ อ้างเผด็จการมั่วแก้ ม.309 ช่วยนายใหญ่ นายองอาจกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนจับตาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วน ม.309 ว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังใช้กลยุทธ์ โดยอ้างว่าหากใครไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรานี้ เท่ากับว่าเป็นพวกเดียวกับเผด็จการ ซึ่งถือเป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการใช้ประชาธิปไตยบังหน้า และพยายามปิดบัง อำพรางความต้องการอย่างแท้จริง และแม้ว่าก่อนหน้านี้บรรดานักวิชาการและทุกภาคส่วนในสังคมก็ออกมาตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกันว่า การแก้ไขมาตรานี้จะเป็นปัญหาและสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความขัดแย้งมากขึ้น แต่รัฐบาลก็ยังจะคิดแก้มาตราดังกล่าวนี้ จึงมองว่าเป้าหมายการแก้ไขมาตรา 309 ที่แท้จริง ก็เพื่อแก้ไขและล้มล้างทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหาร และเท่ากับว่ากระบวนการตรวจสอบหลังรัฐประหารถูกล้มเลิกไปโดยปริยาย เป็นการทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลบอกให้ชัดเจนว่าเหตุใดต้องแก้ไขมาตรานี้ และจะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไร เพราะการจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรานี้ แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมนักการเมืองที่มีการอ้างประชาธิปไตยเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากแก้ไขมาตรานี้คดีที่ตัดสินไปแล้วจะถูกล้มล้างทั้งหมด อย่างไรก็ดี ขอยืนยันว่าพรรคไม่ได้เกลียดชัง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สนใจผู้หลบหนีคดีจะชื่อทักษิณหรือไม่ แต่การมาปกป้องเรื่องนี้เพราะต้องการผดุงไว้ให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และความถูกต้องของบ้านเมือง อัดยับ อ้าง ส.ส.ร.บังหน้า ทั้งที่คุมได้หมดแล้ว เมื่อถามว่าการที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า หากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะต้องมีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ นายองอาจกล่าวว่า การอ้าง ส.ส.ร.โดยโยงถึงหลักประชาธิปไตยเป็นการนำประชาธิปไตยมาบังหน้าเพื่ออำพรางความต้องการที่แท้จริง เพราะเมื่อพิจารณาสัดส่วนการได้มาซึ่ง ส.ส.ร.จำนวน 99 คนแล้ว จะพบว่ามีถึง 22 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลหาอีกเพียงแค่ 30 คน ก็จะเกินครึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ร.ทั้งหมด และอาจทำให้บังคับทิศทางการทำงานของ ส.ส.ร.ได้ อีกทั้งเมื่อมองพื้นฐานการเลือกตั้งปี 2554 แล้ว จะเห็นว่ารัฐบาลสามารถควบคุมจำนวนเสียงส่วนใหญ่ได้หมด ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่รัฐบาลสามารถดลบันดาลให้มีรัฐธรรมนูญตามที่ตัวเองต้องการได้ ดังนั้นที่บอกว่า ส.ส.ร.เป็นตัวแทนจากประชาชนจึงไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่รัฐธรรมนูญที่จะยกร่างใหม่จะเป็นไปตามความต้องการของคนที่อยู่เบื้องหลัง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ นั่นเอง

สุริยะใสเย้ย นปช. ทักษิณแช่แข็งปฏิญญาเขาใหญ่

สุริยะใสเย้ย นปช. ทักษิณแช่แข็งปฏิญญาเขาใหญ่
สุริยะใส ชี้ ปฏิญญาเขาใหญ่ ของ นปช.อาจถูกแช่แข็งโดยนายใหญ่ เตือนรัฐบาลลบข้อครหาแก้ รธน.ให้คนๆ เดียว หวั่นเดินตามรอยวิกฤติความขัดแย้งเหมือนประเทศอียิปต์...วันที่ 23 ธ.ค. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวถึงกรณีการออกเสียงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้ยังมีความเห็นที่ต่างกันระหว่างแกนนำ นปช.ที่เสนอให้ลงมติวาระ 3 ขณะที่รัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องการให้เดินหน้าออกเสียงประชามติ เชื่อว่าในที่สุดคงเป็นไปตามความเห็นของนายใหญ่ ความเห็นต่างกันนี้คงไม่ขยายตัวเป็นความขัดแย้ง เพราะอำนาจเด็ดขาดทั้งในพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น ปฏิญญาเขาใหญ่ ของกลุ่ม นปช.ที่ต้องการให้เดินหน้าลงมติวาระ 3 คงถูกแช่แข็งโดย พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นเคย เหมือนคราวที่ นปช.จัดชุมนุมหน้าสภากดดันให้ลงมติวาระ 3 แต่ก็กลับบ้านมือเปล่า อยากเตือนรัฐบาลว่าตราบใดที่ยังไม่สามารถลบข้อครหาว่าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อคนๆ เดียว ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็จะเป็นสายล่อฟ้าและเงื่อนไขความแตกแยกในสังคมมากขึ้น คงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะควบคุมกระแสต่อต้านได้ ประเทศไทยคงเดินตามรอยประเทศอียิปต์ที่ขัดแย้งไม่รู้จบ ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าว

เพื่อไทยปัดแก้ ม.309 ช่วยทักษิณหลุดคดี

เพื่อไทยปัดแก้ ม.309 ช่วยทักษิณหลุดคดี
เพื่อไทยนัดลงมติสรุปวิธีแก้ รธน. 25 ธ.ค. ประกาศให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ปัดแก้มาตรา 309 ล้างคดีช่วย “ทักษิณ” พ้นผิด ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่าการประชุมพรรคเพื่อไทย 25 ธ.ค.จะหารือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ขณะนี้มี 3 แนวทางคือ การโหวตลงมติวาระ 3 การทำประชามติ และการแก้ไขรายมาตราของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี โดยจะนำการหารือของคณะทำงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นและจะประชุมกันในวันที่ 24 ธ.ค. มาหารือในที่ประชุมพรรคด้วย คาดว่า ในวันที่ 25 ธ.ค.จะได้ข้อสรุปว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในแนวทางใด จากนั้นจะไปหารือกันในการประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทย ระหว่างวันที่ 6-7 ม.ค.อีกครั้งที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา จากนั้นจะเริ่มกระบวนการขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทย ไม่มีความแตกแยก ขัดแย้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อพรรคได้ข้อยุติเป็นอย่างไร สมาชิกพรรคทุกคนจะให้ความเคารพ นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ส่วนที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ทำเพื่อประโยชน์และล้มล้างคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการบิดเบือนความจริง เพราะการแก้ไขมาตรา 309 เป็นเรื่องของ ส.ส.ร. ที่จะมายกร่าง แต่วันนี้ยังไม่มีการยกร่างแก้ไข ที่สำคัญการแก้ไขมาตรา 309 ไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะมาตรา 309 เป็นการรับรองความชอบธรรมการกระทำรัฐประหาร แม้จะมีการแก้ไขมาตรา 309 แต่คดีความของพ.ต.ท.ทักษิณต้องดำเนินการต่อไป การที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามขยายผล มาตรา 309 มาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ เป็นการคิดและดูถูกประชาชนทั้งประเทศในโอกาสปีใหม่นี้ ของขวัญปีใหม่ที่พรรคเพื่อไทยจะให้ประชาชน นอกจากการนำความสงบสุข ความปรองดอง กินดีอยู่ดีแล้ว จะให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นของขวัญปีใหม่ปี 2556 ด้วย หากอธิษฐานได้ก็ขอให้พรรคฝ่ายค้านเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อประเทศชาติ ให้หันมาจับมือกันทำงาน อย่าเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้ผู้อื่น.

Saturday, December 22, 2012

นิด้าโพลชี้คนกรุงยังเลือก สุขุมพันธุ์ นั่งผู้ว่าฯ

นิด้าโพลชี้คนกรุงยังเลือก สุขุมพันธุ์ นั่งผู้ว่าฯ
นิด้าโพล เผยผลสำรวจชาวกรุงต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ระบุร้อยละ 31.42 ยังเลือก สุขุมพันธุ์ ด้าน พงศพัศ ตามมาเป็นอันดับสอง ที่ร้อยละ 25.32  ในขณะที่ร้อยละ 28.55 ยังไม่ตัดสินใจ ส่วนหลักที่จะใช้ตัดสินใจ สูงสุดร้อยละ 38.60 คือความรู้ ความสามารถ ส่วนร้อยละ 18.42 เลือกจากตัวบุคคล …ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “คนกรุง กับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20–21 ธ.ค. 2555 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) จำนวน 1,254 หน่วยตัวอย่าง กระจายทั้ง 50 เขต ทุกระดับการศึกษาและทุกกลุ่มอาชีพ จากการสำรวจพบว่า ต่อคำถาม หากวันนี้เป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ท่านจะเลือกใคร คนกรุงเทพฯ ร้อยละ 31.42 จะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รองลงมาร้อยละ 25.36 จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ร้อยละ 13.32 จะเลือก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส และร้อยละ 28.55 ยังไม่ตัดสินใจ ส่วนคำถามว่า หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. กลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจ ร้อยละ 38.60 ระบุว่า ตัดสินจากความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ รองลงมา ร้อยละ 25.28 เป็นตัวบุคคล ร้อยละ 18.42 เป็นนโยบายของผู้สมัคร และอีกร้อยละ 13.96 เป็นพรรคการเมืองที่สังกัด.

ปชป.จี้นายกฯเอาจริงปราบคอรัปชันในประเทศ

ปชป.จี้นายกฯเอาจริงปราบคอรัปชันในประเทศ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยกข้อมูลไทยฟอกเงินผิดก.ม. ลำดับ 13 ของโลก เร่งนายกฯ เอาจริงปราบทุจริตเริ่มที่ ครม.ก่อน ....เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาการทุจริตคอรัปชันว่า จากกรณีที่นายเรย์มอนด์ เบเกอร์ ประธานองค์การเพื่อความซื่อสัตย์ มั่นคงทางการเงินแห่งโลก (จีเอฟไอ) ยืนยันว่าได้มีเงินสกปรกไหลออกจากประเทศต่างๆ ไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วรวมถึง เกาะต่างๆ ที่เป็นสวรรค์แห่งการฟอกเงิน ซึ่ง 1 ในเกาะที่อยู่ในรายงานของจีเอฟไอคือ หมู่เกาะที่เคยมีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปเกี่ยวข้อง พร้อมระบุว่า ประเทศไทยติดอันดับที่ 13 โดยเงินที่ไหลออกมาจากการก่ออาชญากรรม การเลี่ยงภาษี และการทุจริตคอรัปชัน โดยรายงานตั้งแต่ปี 2543-2553 เงินสกปรกเหล่านี้ ไหลออกปีละ 199,206 ล้านบาท รวม 10 ปี เป็นจำนวน 1,992 ล้านล้านบาทนายองอาจ กล่าวว่า ทั้งนี้ เงินสกปรกจะดำเนินการโดยใครก็ตาม แต่เงินที่ทุจริตของนักการเมืองต้องยอมรับว่า เกิดจากนักการเมืองที่เลวร่วมมือกับข้าราชการที่มีโอกาสโกงกินกอบโกยไปแล้ว ก็จะนำกลับประเทศเพื่อยึดอำนาจกลับมาสู่มือตัวเองได้ภายหลัง จึงขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตใน 3 เรื่อง คือ 1.นายกฯและรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในครม. ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในความซื่อสัตย์สุจริต 2.หากพบว่ามีการทุจริตหรือส่อทุจริตก็ต้องจัดการกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง หากเป็นคนในรัฐบาล แม้ทางกฎหมายจะเอาผิดในทางกฎหมายไม่ได้ นายกฯก็ต้องจัดการในเชิงบริหาร 3.ขจัดเงื่อนไขและอุปสรรคในการป้องกันและปราบปราบการทุจริตคอรัปชัน โดยนายกฯ จะต้องมองว่าเป็นปัญหาที่ประเทศจะต้องแก้ไข.

ตร.รุดสอบปมราเมศที่ทำการพรรคปชป.

ตร.รุดสอบปมราเมศที่ทำการพรรคปชป.
รองผบช.น.-ผกก.บางนา บุกปชป. สอบคดี ราเมศ ด้าน นิพิฏฐ์ ดักคอ ตร. ชี้ปมส่วนตัวแจ้งให้ชัดเรื่องอะไร แนะ เหลิม หุบปาก อย่าชี้นำ หวั่นรัฐตำรวจเฟื่อง หยาม อดุลย์ ถ้าเป็น ผบ.ตร.จับมือทุบได้ใน 5 วัน...เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รองผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กัญชล อินทราราม ผกก.สน.บางนา และฝ่ายสอบสวน จากกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ได้เข้าพบ และสอบปากคำ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กรณี นายราเมศ รัตนเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง โดยภายหลังนายนิพิฏฐ์ เปิดเผยว่า ในวันนี้เป็นการสอบปากคำถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนายราเมศ ในสมัยที่ตนเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของพรรคและเคยทำงานในฝ่ายกฎหมายด้วยกันมา อีกทั้งยังทำคดียุบพรรคด้วยกันและสนิทสนมกันมาเป็นเวลา 4-5 ปีที่แล้วนายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้สอบถามว่า นายราเมศเคยทำคดีใดบ้าง สำหรับสาเหตุนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่คิดว่าน่าจะมาจากการทำหน้าที่ทางการเมืองให้กับพรรค อย่างไรก็ตาม วันนี้ได้มีพี่สาวและพี่ชายของนายราเมศร่วมอยู่ด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็ยืนยันว่าโดยส่วนตัวนายราเมศไม่มีความขัดแย้งกับใคร นอกจากมาทำงานด้านการเมืองเมื่อถามว่าเบื้องต้นตำรวจระบุว่าสาเหตุมาจากเรื่องส่วนตัว นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ถ้ารู้แล้วว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ดี ไม่ต้องมาสอบเราอีก ถ้าเรื่องส่วนตัวก็ต้องบอกให้ชัดว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เรารู้ว่านายราเมศไม่มีเรื่องส่วนตัวกับใคร แต่ถ้าตำรวจคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ให้สอบไปเมื่อถามว่าทางพรรคต้องการให้ ผบ.ตร.ลงมาดูคดีนี้เอง นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องคุยกับหัวหน้าพรรคก่อน คิดว่าเย็นนี้ต้องคุยกัน ส่วนตัวอยากขอกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ถือว่ามากเกินไปว่า ให้นายกฯ และ ผบ.ตร.ได้พูดในเรื่องนี้สัก 1-2 ประโยค ส่วนร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องพูดอีก เพราะท่านเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ทราบว่านายกฯ รู้หรือยังว่ารองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ถูกทำร้าย อาการสาหัส และอยากให้แสดงความเห็นว่ามีความรับผิดชอบและมีหน้าที่ในการป้องกันคุกคาม ข่มขู่เหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายค้านอย่างไรบ้าง เพราะท่านเป็นนายกฯ เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2502-2503 สมัยจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม แล้วก็มาเกิดอีกครั้งในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์“ความรู้สึกของผมก็คิดว่านายราเมศมาทำงานให้พรรคแล้วถูกทำร้าย แต่เรื่องอื่นไม่คิดว่าจะมี ไม่เห็นว่าจะมีสาเหตุกับใคร ส่วนจะเป็นการเมืองเรื่องใด ผมไม่รู้ เป็นเรื่องที่ตำรวจต้องสอบต่อไป ผมไม่หวังว่าจะจับตัวใครได้ พูดมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนให้ผมเป็น ผบ.ตร. 5 วัน จับได้แน่นอน ส่วนเรื่องที่นายศิริโชคระบุว่าคนร้ายเป็นอดีตตำรวจ ผมไม่มีข้อมูล” นายนิพิฏฐ์ กล่าว.

Friday, December 21, 2012

มท.เปิดศูนย์ฯอำนวยการ 7วันอันตราย ลดยอดตาย-เจ็บ

มท.เปิดศูนย์ฯอำนวยการ 7วันอันตราย ลดยอดตาย-เจ็บ
ชัจจ์ เตรียมเปิดศูนย์ฯ ช่วง 7 วันอันตราย 27 ธ.ค.นี้ ตั้งเป้ายอดตาย-เจ็บลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ เน้นดูแลถนนสายรอง พร้อมเข้มงวดผู้ขับขี่ที่เมาสุราเป็นพิเศษ...เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 21 ธ.ค. ที่โรงแรมแม็กซ์ ถ.พระรามเก้า พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย พร้อมด้วย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ ก้าวสู่ปีใหม่อย่างปลอดภัย ร่วมใจลดอุบัติเหตุ Drink Dont Drive หรือ ดีดีดี โดยจะเป็นการรณรงค์แจกสติกเกอร์และเข็มขัด Drink Dont Drive แก่สมาชิกผู้นำ อป.พร. เพื่อประชาสัมพันธ์ เตือนสติประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ให้เกิดจิตสำนึกรับผิดชอบทางสังคม คือ เมื่อดื่มสุราไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตของประชาชน และที่สำคัญเพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่ยานพาหนะพล.ต.ท.ชัจจ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้กำชับศูนย์อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อป.พร.) ทุกระดับ ร่วมลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 โดยให้จัดกำลัง อป.พร.เฝ้าระวังตามจุดเสี่ยง และให้พร้อมปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุในทุกพื้นที่ รวมทั้งให้เป็นแกนนำรณรงค์และสนธิกำลังประจำจุดตรวจ ตั้งด่าน สนับสนุนการตรวจจับผู้กระทำผิดกฎหมายจราจร และอำนวยความสะดวกในการเดินทางตามจุดบริการต่างๆ ทั้งถนนสายหลักและถนนสายรอง สำหรับ 7 วันอันตราย ในช่วงระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 55-2 ม.ค. 56  นอกจากนี้ พล.ต.ท.ชัชจ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่ว่า การดูแลจะเน้นดูแลในถนนสายรอง โดยให้กรมทางหลวงชนบทดูแล นอกจากนั้น จะเพิ่มจำนวนการตั้งด่านตรวจเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ 1,000 จุด โดยจะเข้มงวดผู้ขับขี่ที่เมาสุราเป็นพิเศษ ทั้งนี้ มท.จะดำเนินการเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาอุบัติเหตุทางถนน 2556 ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.นี้ ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จนถึงวันที่ 3 ม.ค. 56 จะปิดศูนย์ฯ เพื่อรวบรวมผลการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม สำหรับป้องกันอุบัติเหตุในปีนี้ ตั้งเป้าลดลอุบัติเหตุลงร้อยละ 5 ส่วนการติดตามสถานการณ์เบื้องต้น ยังไม่มีรายงานว่าจะมีอุบัติภัยหรือเหตุการณ์พิเศษ ที่จะเกิดขึ้นช่วงเทศกาลปีใหม่นี้.

สดศรี เชื่อประชามติวุ่น หัวหมอตีความข้อกฎหมาย

สดศรี เชื่อประชามติวุ่น หัวหมอตีความข้อกฎหมาย
“สดศรี” ชี้ประชามติส่อเค้าวุ่นวายหลังคนหัวหมอออกมาตีความข้อกฎหมาย หวั่น ปชช.เกิดความสับสน แนะหากรัฐเดินหน้าทำประชามติ ต้องชัดเจนในเรื่องดังกล่าว...วันที่ 21 ธ.ค. นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติให้กับนักศึกษาหลักสูตร การพัฒนาการเมือง และการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่น 4 ตอนหนึ่งว่า การเดินหน้าทำประชามติของไทยขณะนี้ ส่อเค้ามีปัญหาความวุ่นวาย เนื่องจากมีคนหัวหมอออกมาตีความรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 9 ถึงประเด็นจำนวนของการออกเสียง ซึ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชนเป็นอย่างมากทั้งนี้ หากรัฐบาลจะเดินหน้าจัดทำประชามติ ต้องมีความชัดเจนในเรื่องประเด็นที่จะขอความเห็นจากประชาชน แม้ที่ผ่านมาจะเคยมีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ สมัย พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และกฎหมายประชามติที่มีปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ อีกทั้งสภาวะบ้านเมืองขณะนี้มีความแตกแยกทางความคิดสูง การทำงานของรัฐบาลมีฝ่ายค้านคอยตรวจสอบ หรือเป็นการต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ สู้กันเพื่อประโยชน์ของแต่ละพรรคการเมือง ทำให้แต่ละค่ายออกมารณรงค์เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญไปในทิศทางที่ต่างกัน ดังนั้น การจะเอาผลคะแนนในการออกเสียงประชามติปี 50 มาเป็นตัวเทียบเคียงว่าการทำประชามติที่จะเกิดขึ้นว่าจะได้คะแนนเสียงที่เห็นชอบในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคงไม่ได้.

มาร์คแขวะพท.สับสน ยุรัฐคว่ำแก้รธน.-กม.ปรองดอง

มาร์คแขวะพท.สับสน ยุรัฐคว่ำแก้รธน.-กม.ปรองดอง
มาร์ค แนะ คว่ำ รธน.ก.ม.ปรองดอง ไปกับวันสิ้นโลก บ้านเมืองถึงเดินหน้าไปได้ ไม่เช่นนั้น ก็ติดหล่มขัดแย้ง แขวะเพื่อไทยยังสับสนแก้ รธน.  วันที่ 21 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เสนอแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ 9 ประเด็น แต่ยังไม่มีการแยกมาตรา และยืนยันว่า มาตรา 309 ไม่ใช่ ตัวปลดพันธะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้นั้น ตนไม่รู้ว่า 9 ประเด็น ที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุ คืออะไรบ้าง แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะคิด แต่เท่าที่ฟังดู เหมือนกับว่า รัฐบาลยังไม่ตกผลึกเรื่องนี้ เพราะบางคนยังเดินหน้า ให้ทำประชามติ บางคนก็ให้แก้เป็นรายมาตรา แต่อะไรก็ตาม ที่ไม่ไปสร้างปมความขัดแย้งขึ้นมา ก็เป็นทางออกได้ทั้งนั้น ส่วนการแก้ไขมาตรา 309 ที่มองว่า จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดพ้นจากคดีทุจริต เป็นเพราะรัฐบาลมีความคิดว่าเรื่องนี้ จะทำให้การทำงาน ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีปัญหา ซึ่ง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่รัฐบาลเสนอ ก็ขัดกับรัฐธรรมนูญใช้ไม่ได้ ทั้งมาตรา 309 และประเด็น คตส.ซึ่งจะทำให้เกิดประเด็นโต้แย้งขึ้นมาอีก ล้วนเกี่ยวข้องกับปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น จนทำให้เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองจนถึงขณะนี้ ผมจึงเน้นกับรัฐบาลว่า หากปล่อยเรื่องนี้ ไปกับวันสิ้นโลก ทุกอย่างจะได้เดินหน้าไปได้ เดี๋ยวสิ้นโลกแล้ว แต่ยังสิ้นคิดกันอยู่ ก็จะเป็นปัญหาไม่สิ้นสุด ถ้าไม่ปล่อยเรื่องนี้บ้านเมืองก็ติดหล่ม คนขัดแย้งกัน เราก็เสียโอกาสและนับวันจะเสียโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่คนไม่มีความมั่นใจว่า บ้านเมืองจะเดินไปอย่างไรจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว.

Thursday, December 20, 2012

มาร์คแนะรัฐตั้งหลักใหม่ แก้รธน.ต้องก้าวข้ามคดีทักษิณ

มาร์คแนะรัฐตั้งหลักใหม่ แก้รธน.ต้องก้าวข้ามคดีทักษิณ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ย้ำรัฐตั้งหลักใหม่แก้ รธน. ลั่นพร้อมหารือทุกพรรคหาทางออกชาติ วอนสลัดทักษิณออกให้ชาติไปต่อได้...เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่โรงเเรมรามาดาพลาซ่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ขอย้ำอีกครั้งว่าถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยหรือปรับปรุงระบบยังมีหลายวิธี แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ จนเกิดความสับสนวุ่นวาย เพราะไปผูกติดกับคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้าตั้งหลักใหม่คุยกันระหว่างพรรคการเมือง ภาคประชาชนว่าจะปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อส่วนรวม ตนว่าจะเดินหน้าได้ง่ายกว่า โดยเลิกแนวคิดเดิมที่จะรื้อทั้งฉบับก่อน เพราะมีฐานอยู่แล้ว เคยมีการศึกษาไว้ทั้งของวุฒิสภาและหลายคณะกรรมการว่ามี มาตราไหนที่เป็นปัญหาจะนำมาเป็นตัวตั้งก็ทำได้ เบื้องต้นต้องพูดเรื่องจริงก่อนว่า ถ้ายังไม่หยุดเรื่องพยายามจะล้างผิด อย่างไรก็สับสนและวุ่นวาย ให้หยุดก่อนทุกอย่างจะคุยได้ง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่จบเหมือนกับกฎหมายล้างผิดที่เสนออยู่ในขณะนี้ อ้างว่ารัฐบาลไม่เกี่ยว แต่แท้จริงแล้ว สภาคือเสียงข้างมากคือผู้สนับสนุนรัฐบาล ดังนั้น นายกฯ เป็นผู้กำหนดได้ ซึ่งจะโยนความรับผิดชอบให้สภาไม่ได้ เพราะเป็นกลุ่มคนเดียวกันต้องแสดงจุดยืนให้ชัดว่าต้องการทำอะไรนายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การนำประชามติมาเป็นเครื่องมือแก้ไขความขัดแย้งทางความคิด สามารถทำได้ แต่คำถามต้องชัด รวมถึงเป้าหมายด้วยว่า ทำแล้วนำไปสู่อะไร ฉะนั้น ถ้ายังไม่ชัดเจน เช่น อ้างว่าจะแก้เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่พ่วงเรื่องล้มคดี อย่างนี้ก็ไม่มีทางรู้คำตอบที่ได้มาว่าตอบเรื่องอะไร เพราะถ้ามาถามตนว่า รัฐธรรมนูญควรแก้ไขหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ควรแก้และเคยแก้แล้ว 2 มาตรา ถ้าถามว่าเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมไหม ส่วนตัวเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมบางเรื่อง เช่น การชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมล้างผิดให้คนโกง“ที่แปลกก็คือฝ่ายผม เป็นคนบอกว่าไม่ควรล้างผิดให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการตายของประชาชนในปี 2553 แต่พรรคเพื่อไทยกลับเสนอกฎหมายให้มีการล้างผิดตรงนี้ ความสับสนที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีการนำประโยชน์ของคนบางคนมาเป็นตัวกำหนด ทำให้เกิดการโต้แย้งตลอดเวลา ถ้าหยุดตรงนี้ได้บ้านเมืองก็เดินได้ และผมเห็นด้วย หากทุกพรรคการเมืองจะหารือร่วมกันเพื่อหาทางออก แต่ที่ผ่านมา เมื่อมีการหารือก็ไม่ได้มีการดำเนินการตามที่มีข้อยุติ จึงอยากให้รัฐบาลมีความชัดเจน ซึ่งผมย้ำว่า ถ้าสลัดก้าวข้ามคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ไปได้บ้านเมืองเดินได้ ไม่มีปัญหา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว.

ปชป.จับตาตำรวจ ทำคดีราเมศ โวยระบบรปภ.ห่วย

ปชป.จับตาตำรวจ ทำคดีราเมศ โวยระบบรปภ.ห่วย
ปชป.จี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำคดี “ราเมศ รัตนะเชวง” ทีม กม.ปชป. โวย รปภ. มีตำรวจเฝ้าหน้าห้องพักรักษาตัวเพียงนายเดียว เกรงไม่ปลอดภัย...วันที่ 20 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคและทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ว่า มีการสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคนใกล้ชิดนายราเมศ ก็เป็นห่วงว่าจะได้รับความเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน และมีข้อมูลที่พรรคได้มาอีกด้านหนึ่งด้วย จึงต้องจับตาดูการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนี้ก็ให้เจ้าหน้าที่ทำงานตามหน้าที่ไปก่อน โดยในขณะนี้ นายราเมศยังไม่สามารถให้ปากคำกับตำรวจได้ เพราะเมื่อวานนี้ (19 ธ.ค.) ตนไปเยี่ยมก็พยายามจะพูด แต่ส่งเสียงได้เพียงเล็กน้อย และจำเป็นต้องพักผ่อน ให้มีเวลาในการพักฟื้นด้วย ตนเห็นว่าตำรวจต้องเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ ด้านนายประมวล เอมเปีย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้เดินทางไปเยี่ยมนายราเมศ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า นายราเมศตายังมีอาการบวมมาก โดยเฉพาะรอบดวงตา แม้จะรู้สึกตัวแล้ว แต่ที่น่าสังเกตคือ ตำรวจให้ข่าวว่ามีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไป รปภ.อย่างดีและเข้มงวด แต่กลับปรากฏว่ามีตำรวจแก่ๆ นายเดียวนั่งอยู่หน้าห้อง ต่างจากการให้ข่าวของตำรวจที่ระบุว่ามีการจัดเวรยาม รปภ.เต็มที่ แล้วจะให้วางใจได้อย่างไร เพราะนายราเมศถือเป็นทนายความที่ร่วมรับผิดชอบคดีสำคัญหลักๆ ของพรรค ที่บางฝ่ายพยายามจะล้มยุบพรรคให้ได้ จึงขอให้ทางตำรวจดูแลให้เข้มงวด ไม่ใช่ออกข่าวสร้างภาพ.

นิคมหนุนรัฐทำประชามติ แก้รธน.เชื่อ ไม่ยากอย่างที่คิด

นิคมหนุนรัฐทำประชามติ แก้รธน.เชื่อ ไม่ยากอย่างที่คิด
นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา หนุนรัฐทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อไม่ยากอย่างที่คิด ห่วงรัฐจัดเวทีประชาเสวนา เป็นการชี้นำ ปชช. ... วันที่ 20 ธ.ค. ที่รัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ตนเห็นด้วยกับแนวทางการทำประชามติ เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะลดความขัดแย้งได้ ถ้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 จะมีพรรคการเมือง หรือบางกลุ่ม ออกมาคัดค้าน และยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 อีก ส่วนการแก้ไขเป็นรายมาตราที่ดูง่าย แต่ที่จริงมันยาก เพราะถ้าแก้ 1 มาตรา พรรคการเมืองฝ่ายค้าน หรือ ส.ว.บางกลุ่มไม่เห็นด้วย หากรวมกันมี 180 คน แปรญัตติทุกคน ก็ใช้เวลายาวนานมาก ทางเดินมีแต่ขวากหนามทั้งนั้น ทุกทางยากทั้งหมด แต่แนวทางที่ขัดแย้งน้อยสุดคือ โยนอำนาจคืนให้กับประชาชน แม้จะไม่ผ่านการทำประชามติ แต่ก็ทำให้รู้ ซึ่งรัฐบาลมีกลไก เครื่องมือเยอะ น่าจะรณรงค์ และอาจเป็นโอกาสดี ให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลที่แท้จริง ทำให้ความขัดแย้งลดลงได้ด้วย ทั้งนี้ มองว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำประชามติให้ผ่าน เพราะเมื่อปี 2540 ช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการเขตสาทร ก็เคยช่วยทำประชามติ ประชาพิจารณ์ที่เขตทำให้ แม้รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็ขอร้องประชาชน บอกให้มาลงประชามติให้ผ่านไปก่อน แล้วค่อยมาแก้ไขทีหลัง อย่างไรก็ตาม การทำเวทีประชาเสวนาของกระทรวงมหาดไทย 108 เวที คู่ขนานการทำประชามติของรัฐบาลนั้น มองว่าเป็นการชี้นำ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่าต้องให้ข่าวสาร ข้อมูลต่อประชาชนว่าจะทำเรื่องอะไรบ้าง.

Wednesday, December 19, 2012

มท.เล็งรวมจัดเวที สานเสวนา-ประชามติ เป็นกลาง

มท.เล็งรวมจัดเวที สานเสวนา-ประชามติ เป็นกลาง
มท.ย้ำ จัดสานเสวนาเป็นกลาง จารุพงศ์ เผย เล็งรวมเวที สานเสวนา- ประชามติ แจงชัด ทุกรายละเอียด ไม่เชื่อ ฝ่ายค้าน ยุ นอนหลับทับสิทธิ์...วันที่ 19 ธ.ค. ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ในการประชุมปลัดจังหวัดและนายอำเภอทั่วประเทศ นายชวน ศิรินันท์พร อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวถึงการจัดเวทีสานเสวนาหาทางออกประเทศไทยว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแล และสนับสนุนการดำเนินการจัดเวทีฯ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ นายชวลิต วิชยสุต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย คณะทำงาน รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ขอให้ฝ่ายปกครองทำงานด้วยความเป็นกลาง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ปัญหาความขัดแย้งมาจากนักการเมืองที่ขัดแย้งกัน หาทางแก้ยากที่จะให้ทุกคนเข้าใจกัน การจัดเวทีประชาเสวนา จะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยได้ จึงขอให้ปลัดและนายอำเภอ กล้าที่จะช่วยกันสร้างความเข้าใจและแก้ไขปัญหาเวลา นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงแนวทางการทำประชามติและจัดเวทีประชาเสวนา หาทางออกให้ประเทศไทยว่า ในช่วงเย็นของวันนี้ พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมเรื่องประชาเสวนาและการทำประชามติ โดยจะสรุปแนวทางที่จะทำสองเรื่องให้บูรณาการ เข้าด้วยการได้อย่างไร ทั้งนี้ งานประชาเสวนาหาทางออกให้ประเทศไทย เกิดขึ้นจากเดิมเกิดความตีบตันขัดแย้งไม่มีทางออกจึงต้องถามประชาชนเพื่อขอ ความเห็น ดังนั้น จึงจะนำเรื่องการทำประชามติ และการจัดเวทีประชาเสวนา มาบูรณาการร่วมกัน เมื่อถามว่า เกรงว่าจะโดนโจมตีหรือไม่ ที่เดิมการดำเนินการแต่ะส่วนแยกกันทำ นายจารุพงศ์ กล่าวว่า ต้องไปดู พ.ร.บประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2552 ในมาตรา 10 ให้เข้าใจว่า ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะลงประชามติได้เลย จะตองมีรายละเอียดอีกหลายอย่าง เช่น รัฐบาลต้องบอกให้ชัดเจนว่า การทำประชามติจะทำเรื่องอะไร มีสาระสำคัญอย่างไร การทำงบประมาณเท่าไร สถานที่ วันเวลา ต้องมีการระบุทั้งหมด โดยจะตองชี้แจงประชาชนให้รับทราบถึงเหตุผล ข้อดีข้อเสียวิเคราะห์จุดอ่อนจุด แข็งแต่ไม่ใช่ การชี้นำ และเมื่อมีผลการทำประชามติแล้ว ต้องมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา คล้ายกับการเลือกตั้ง แต่ไม่ใช่แค่การมากาบัตรเท่านั้น ทั้งนี้ เราต้องทำตามมาตรา 10 อย่างชัดเจน เห็นได้จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติตั้งคณะกรรมการที่มาจาก 4 กระทรวงเข้ามาดูแล สิ่งที่ยากคือทำอย่างไรที่จะให้เกิดความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องการทำประชามติส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านได้ประกาศให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ ให้นอนอยู่บ้านในวันลงประชามติ นายจารุพงศ์ กล่าวว่า วิถีทางประชาธิปไตย ต้องให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ ถ้าไม่ให้ออกมา ก็ไม่ใช่วิีถีทางประชาธิปไตย ไม่เชื่อว่าฝ่ายค้านจะไปทำอะไรอย่างน้ั้น.

มท.1โยนนายอำเภอชี้แจงประชาชน เสวนาปรองดอง

มท.1โยนนายอำเภอชี้แจงประชาชน เสวนาปรองดอง
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย มอบนายอำเภอศึกษาประชามติ-แจง ปชช. เร่งระดมสมองสานเสวนา ย้ำชัดรัฐธรรมนูญต้องเขียนโดยประชาชน...เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย กล่าวในการประชุมมอบนโยบายแก่ปลัดจังหวัดและนายอำเภอตอนหนึ่งถึงเรื่องของ การจัดเวทีประชาเสวนา ว่า การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของประเทศไม่ให้หยุดชะงักอีกต่อไป โดยการทำประชามติ ซึ่งนายกฯ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ไปศึกษาแนวทางการทำประชามติ เนื่องจากมีขั้นตอนจำนวนมากทั้งนี้ ขอมอบหมายให้นายอำเภอกลับไปอ่าน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ตั้งแต่มาตรา 5 วรรค 3 ถึงมาตรา 10 เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และต้องทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อให้เห็นความสำคัญของการจัดทำเสวนา ไม่ใช่แค่ต้องทำ แต่มันเป็นหน้าที่ เพราะประเทศไทยหลังเหตุการณ์รัฐประหาร มีแต่ความแตกแยก เราจะต้องยุติความขัดแย้ง หาทางออกให้กับประเทศให้ได้ โดยรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุด ดังนั้น จะต้องเขียนโดยผู้ถูกปกครองคือ ประชาชน ดังนั้น เราจะต้องเดินหน้า และหากทำได้ ประเทศชาติก็จะหลุดพ้นจากความขัดแย้งต่างๆ ทั้งนี้ ขอให้ยึดถือพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของความเมตตาและความปรารถนาดีรมว.มหาดไทย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ นายอำเภอจะต้องทำความเข้าใจ และสร้างความปรองดอง รวมถึงทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยมือของพวกเรา ดังนั้น ในการเตรียมความพร้อมการทำประชาเสวนา ขอให้พิถีพิถัน โดยเฉพาะการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ขอให้ได้คนที่มีความรู้ มีความตั้งใจจริง มีศักยภาพและได้รับการยอมรับ มาร่วมระดมสมอง อย่าสักแต่หลับหูหลับตา ไปหาคนมาให้ครบๆ คนไม่มีสมองไม่ต้องเอามา มันเป็นทางที่จะให้บ้านเมืองไปรอด เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้ไปตกกับลูกหลาน จึงต้องเร่งแก้ไขให้สำเร็จ.

เสธ.หนั่น การตอบสนองไม่ดี แพทย์ยังเฝ้าอาการ

เสธ.หนั่น การตอบสนองไม่ดี แพทย์ยังเฝ้าอาการ
แพทย์เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เสธ.หนั่น อย่างใกล้ชิด หลังติดเชื้อที่ปอดและทางเดินปัสสาวะ อาการยังทรงตัวเหมือนเดิม การตอบสนองไม่ดีมาก งดเยี่ยมต่อไป...เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2555 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงความคืบหน้าอาการโรคระบบทางเดินหายใจ (ถุงลมโป่งพอง) ของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ว่า ยังมีภาวะติดเชื้อที่ปอดและทางเดินปัสสาวะ ซึ่งคณะแพทย์ได้ให้การรักษาตามอาการและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่คนไข้จะต้องเผชิญกับภาวะดังกล่าว เนื่องจากอยู่โรงพยาบาลนานประมาณ 4 สัปดาห์สำหรับอาการอื่นๆ ทั่วไปยังทรงตัวเหมือนเดิม ความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจอยู่ในเกณฑ์ปกติ การหายใจยังต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ ส่วนการทำงานของสมองยังอยู่ในระดับเดิม และระบบไหลเวียนโลหิตคงที่ ส่วนการตอบสนองต่างๆ ยังไม่ดีมาก หากเป็นแบบนี้อย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ ส่วนคนไข้จะเป็นเจ้าชายนิทรา หรือไม่นั้นคงไม่สามารถบอกได้ 100% แต่การรักษาตัวนานๆ ย่อมไม่ใช่ผลดี ในเบื้องต้นยังคงงดเยี่ยมคนไข้ต่อไป.

Sunday, December 16, 2012

โพลชี้ทักษิณออกช่อง 11 เรื่องการเมือง-พยายามเอาชนะ

โพลชี้ทักษิณออกช่อง 11 เรื่องการเมือง-พยายามเอาชนะ
เอแบคโพลล์เผย ทักษิณ ออกทีวีช่อง 11 ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 75.4 เห็นเป็นเรื่องการเมือง เป็นการพยายามเอาชนะคะคานกันเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องประเด็นร้อนทางการเมือง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกทีวีสดช่อง 11 สิ่งที่อยากได้จากทุกฝ่ายในสังคมช่วงเวลาที่เหลืออยู่ปี 2555 โดยกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครจำนวน 1,112 ตัวอย่าง และอีก 16 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,195 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10 – 15 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา เมื่อสอบถามถึงประเด็นสำคัญที่ทราบจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ช่วงเวลาออกทีวีสดช่อง 11 พบว่า ร้อยละ 43.1 ทราบและจำได้ว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี อย่างไรก็ตามร้อยละ 11.9 ทราบแต่คิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ในขณะที่ร้อยละ 30.8 ไม่ทราบ แต่เห็นคนวิจารณ์กันว่าไม่เหมาะสม และร้อยละ 14.2 รู้สึกเฉยๆ ตามลำดับที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.4 ระบุว่าการวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หลังออกทีวีสดช่อง 11 กลายเป็นเรื่องการเมือง ต่างฝ่ายต่างพยายามเอาชนะคะคานกัน ทีใครทีมัน ต่างสร้างกระแสเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน กลบลบจุดอ่อนทางการเมืองของฝ่ายตน ในขณะที่ร้อยละ 24.6 ระบุไม่ใช่เรื่องการเมือง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.2 ระบุ ควรให้ทุกอย่างจบเร็ว เพราะไม่ควรนำสถาบันฯ และไม่ควรนำเรื่องความจงรักภักดีเข้ามาสู่ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน เพราะต้องการให้หยุดพูด หยุดวิพากษ์วิจารณ์กัน เพราะอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข เพราะเกรงจะยืดเยื้อบานปลาย และเป็นเพียงเรื่องที่ควรให้โอกาส พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้แสดงออกเรื่องความจงรักภักดีบ้าง และทุกคนเคยผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้นจึงควรให้โอกาสแก้ไขปรับปรุงตัวกัน เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 43.8 ระบุควรตรวจสอบขยายผล เพราะเป็นเรื่องไม่เหมาะสม มีหน่วยงานรัฐร่วมรู้เห็นเป็นใจ เป็นต้นที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงการกระทำและคุณธรรมที่อยากได้มากที่สุดจากทุกฝ่ายในสังคมในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปี 2555 เป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าและตลอดไป พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 33.9 อยากได้รอยยิ้ม น้ำใจไมตรีจิตต่อกัน ความรักความสามัคคีของคนในชาติ อันดับสองหรือร้อยละ 25.5 อยากให้ทุกฝ่ายให้อภัยต่อกัน มีเมตตาปรานีต่อกัน ร้อยละ 16.1 อยากให้มีความกล้าหาญ เสียสละ ร้อยละ 9.5 อยากเห็นความกตัญญู รองๆ ลงไปคือ ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีวินัย และอื่นๆ เช่น ความขยันหมั่นเพียร ความเป็นธรรม การไม่เลือกปฏิบัติ การรู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่างไรก็ตาม “คำเตือน” เงื่อนไขพึงระวังจะทำให้เกิดการชุมนุมขับไล่รัฐบาล พบว่า ร้อยละ 60.4 ระบุเป็นปัญหาปากท้อง /ของแพง ร้อยละ 57.4 เกิดการทุจริตคอรัปชันอย่างกว้างขวาง ร้อยละ 51.2 ระบุการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 49.1 ระบุพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ร้อยละ 47.0 ระบุการเลือกปฏิบัติเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ไม่เป็นธรรม และร้อยละ 40.2 เกิดการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ เป็นต้น ขณะที่ความรู้สึกของประชาชนต่อสิ่งที่นักการเมืองกำลังอยากจะทำในกระแสข่าวเวลานี้ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายปรองดอง คดีความทางการเมือง คดีอาญาของนักการเมือง เป็นต้น พบว่า ร้อยละ 42.3 อยากให้จบเร็ว เพราะ เบื่อ เครียด เซ็ง เพราะจะได้ใช้เวลาทำมาหากิน อยากเห็นบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด และช่วยกันแก้ไขต่อไป  ยิ่งช้ายิ่งวุ่นวาย ไม่อยากวกวนกันอยู่อย่างนี้ รู้สึกอึดอัด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 41.6 อยากให้ค่อยเป็นค่อยไป เพราะบ้านเมืองจะไม่วุ่นวาย ไม่ต้องรีบร้อน จะได้ปรับตัวได้ เป็นต้น และร้อยละ 16.1 ปล่อยวาง ไม่อยากยุ่งเกี่ยว อยากทำอะไรก็ทำไปตามลำดับ

พท.ยันไม่ชี้นำประชามติ อ้างปชป.ขู่ฟ้องดีเอสไอเข้าข่ายกดดันจนท.รัฐ

พท.ยันไม่ชี้นำประชามติ อ้างปชป.ขู่ฟ้องดีเอสไอเข้าข่ายกดดันจนท.รัฐ
เพื่อไทยเดินหน้าหนุนทำประชามติ ยันไม่มีการชี้นำ ใช้งบ 2 พันล้านไม่สูญเปล่าหากได้รัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับ อัด ปชป.ขู่ฟ้องดีเอสไอ อ้างเข้าข่ายกดดัน จนท.รัฐ ...เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 16 ธ.ค.ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในวันที่ 25 ธ.ค.นี้พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุม ส.ส.และสมาชิกพรรคเพื่อหารือเรื่องการทำประชามติก่อนลงมติวาระ 3 เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยลดความขัดแย้งทั้งในและนอกสภา และให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ทั้งนี้จะมีการชี้แจงให้ประชาชนทราบ โดยให้สมาชิกทำความเข้าใจกับประชาชนทุกพื้นที่ถึงเจตนารมณ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และให้สมาชิกรณรงค์ให้ประชาชนออกเสียงประชามติอย่างอิสระ พรรคจะไม่ชี้นำการลงประชามติซึ่งจะต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ไม่ต่ำกว่า 23 ล้านเสียง และจะต้องมีผู้ออกเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 11.5 ล้านเสียง ส่วนกรณีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าการทำประชามติเป็นการสูญเปล่า เปลืองงบประมาณถึง 2 พันล้านบาท เท่ากับการใช้งบประมาณในการเลือกตั้งนั้น ถ้าสามารถลดความขัดแย้งและประชาชนได้เป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญที่แท้จริงก็ยินดี เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับ และหากให้โหวตวาระ 3 โดยไม่มีการทำประชามติก็จะถูกกล่าวหาว่าพวกมากลากไป ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์อย่าทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองปกป้องรัฐธรรมนูญที่มาจากเผด็จการโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ขู่ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เข้าข่ายข่มขู่และกดดันการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะนายธาริตเป็นอธิบดีดีเอสไอและเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดี 99 ศพ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส. สุราษฎร์ธานี ควรให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เลิกข่มขู่คุกคามดีเอสไอได้แล้ว เพราะการฟ้องอธิบดีดีเอสไอทำให้ประชาชนมองว่าเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี รวมทั้งขอให้ยุติการขู่ฟ้องเอาผิดเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกรณีที่ปรากฏภาพนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพขณะพิมพ์ลายนิ้วมือรับทราบข้อกล่าวหา เพราะเป็นขั้นตอนทั่วไปของกระบวนการยุติธรรม

ส.ว.เลือกตั้งค้านทำประชามติหนุนแก้รายมาตรา

ส.ว.เลือกตั้งค้านทำประชามติหนุนแก้รายมาตรา
ส.ว.เลือกตั้งค้านทำประชามติเดินหน้าลุยแก้รายมาตรา หนุนแก้ไขหมวดยุบพรรค และปลดล็อก ส.ว.เลือกตั้งให้ลงสมัครติดต่อกันได้ ปัดทำเพื่อประโยชน์ตัวเองวันที่ 16 ธ.ค.​ นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี กล่าวถึงผลสรุปพรรคร่วมรัฐบาลที่ให้จัดทำประชามติก่อนลงมติโหวตวาระ 3 ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะลงประชามติ เพราะเป็นการเสียเงิน 2-3 พันล้านบาทโดยเปล่าประโยชน์ เป็นเพียงการเอาชนะคะคานกันเท่านั้น ความจริงการโหวตวาระ 3 ควรปล่อยไปตามธรรมชาติ และการแก้แบบรื้อเกือบทั้งฉบับตามแนวทางของรัฐบาล ยังไม่เหมาะสมที่จะทำในช่วงปีสองปีนี้ เพราะความขัดแย้งยังอยู่ ทำไปก็มีปัญหา ซึ่งคงมีการหารือกันในกลุ่ม ส.ว.ว่าจะเอาอย่างไร นายสิงห์ชัย กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าจะเสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา อาทิ ในหมวดว่าด้วยเรื่องยุบพรรค และหมวดการปลดล็อก ส.ว.เลือกตั้งให้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ติดต่อกัน โดยไม่ต้องเว้นวรรค แต่ต้องหารือกันก่อนว่าจะทำได้ในรูปแบบไหน เพราะยังมีวาระ 3 ค้างสภาอยู่ ส่วนกรณีที่มีการมองว่าเราทำเพื่อประโยชน์ตัวเองนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ เราแค่ต้องการความเป็นธรรมให้ ส.ว.เลือกตั้งบ้าง และไม่น่ามีปัญหาเพราะก็ทำเหมือนสมัยที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยทำมา และเชื่อว่าหลังเปิดสมัยประชุมรัฐสภาสมัยนิติบัญญัติ ตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.นี้ น่าจะยื่นเข้าสภาได้

Wednesday, December 12, 2012

ส่งตร. 4 กองร้อยคุมเข้มดีเอสไอ รอ มาร์ค-เทือก รับข้อหา

ส่งตร. 4 กองร้อยคุมเข้มดีเอสไอ รอ มาร์ค-เทือก รับข้อหา
กรมสอบสวนคดีพิเศษป้องกันแน่น ใช้ตำรวจ 4 กองร้อยกันมวลชนก่อน อภิสิทธิ์-สุเทพ เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ด้านเสื้อแดงเริ่มทยอยมาให้กำลังใจดีเอสไอ พร้อมเปิดเครื่องขยายเสียง...เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าเตรียมความพร้อมและวางกำลังดูแลรักษาความเรียบร้อย ก่อนที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันทำให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล จากกรณีสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ในช่วงบ่ายวันนี้ ขณะที่มาตราการรักษาความปลอดภัย ได้วางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2, 3, 8 และ 9 รวม 4 กองร้อย ดูแลความเรียบร้อยทั่วบริเวณดีเอสไอ รวมถึงเตรียมกำลังไว้อีก 2 กองร้อยในที่ตั้ง หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน และได้ประสานตำรวจจราจรกลาง และจราจร สน.ทุ่งสองห้อง รวม 35 นาย มาอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่ขณะที่บริเวณด้านหน้า ที่ลานจอดรถของดีเอสไอ มีการนำรั้วเหล็กมากั้นไว้เป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เพราะหากมีมวลชนที่มาสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ หรือกลุ่มคนเสื้อแดงมาพร้อมกัน จะได้แบ่งฝั่งให้อยู่คนละด้าน และให้ตำรวจอยู่ตรงกลาง ไม่เกิดการปะทะกัน ซึ่งมีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนประมาน 100 คน นำรถเครื่องขยายเสียงพร้อมเปิดเพลงอยู่บริเวณด้านหน้า เพื่อให้กำลังใจการทำหน้าที่ของดีเอสไอ.

Tuesday, December 11, 2012

ปธ.กกต. แนะทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ควรยึดศาลรธน.

ปธ.กกต. แนะทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ควรยึดศาลรธน.
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หนุน ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ​ก่อนโหวตวาระ 3 เชื่อลดความขัดแย้งได้ พร้อมแนะควรยึดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ​ คาดใช้งบ 2 พันล้านบาท...นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กล่าวว่า กกต. พร้อมจัดการทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ว่าการทำประชามติครั้งนี้จะแปลกกว่าที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมาจะต้องผ่านความเห็นชอบของสภา ก่อนให้ประชาชนลงประชามติ ซึ่งหากมีการทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนการลงมติวาระ 3 ก็เชื่อว่าจะลดความขัดแย้งทางการเมืองได้ และเป็นการดี หากจะทำประชามติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ​ส่วนงบประมาณการทำประชามติ ประธาน กกต. คาดว่าจะใช้งบประมาณ ประมาณ 2 พันล้านบาท และจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน จึงจะเสร็จสิ้น

สมช.ปรับแผน แก้โจรใต้เป้าสังหารครู

สมช.ปรับแผน แก้โจรใต้เป้าสังหารครู
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสมช.เผย นายกฯเป็นประธานประชุมปรับแผนยุทธศาสตร์และงบประมาณ แก้ปัญหาคนร้ายพุ่งเป้ายิงครู ใน 3 จว.ชายแดนใต้ ยัน หากไม่มีปัญหา เสนอครม.อนุมัติ 25 ธ.ค.นี้วันที่ 12 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ว่า วันนี้ ในเวลาประมาณ 10.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับฟังแผนงานของ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่จะนำเสนอ และรายงานแผนงานทั้งหมด ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงข้อเสนอใหม่ ที่เตรียมจะดำเนินการในช่วงต่อไป ให้กับนายกรัฐมนตรีและคณะได้รับทราบ โดยจะมีการนำเสนอเกี่ยวกับ แผนงบประมาณ ที่จะใช้ในพื้นที่ด้วย เชื่อว่า วันนี้คงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้น ก่อนที่จะนำเสนอที่ประชุมเห็นชอบในวันที่ 19 ธ.ค. นี้ และหากแผนงานทั้งหมดไม่มีปัญหา จะได้นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันที่ 25 ธ.ค.นี้ต่อไป  ทั้งนี้ พล.ท.ภราดร ยังได้กล่าวต่อ ถึงสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กลุ่มคนร้ายในพื้นที่ พุ่งเป้าไปที่ข้าราชการครู ที่มีการลอบยิงจนเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องว่า  ทาง สมช.จะได้มีการหารือกันในที่ประชุมในวันนี้ ยอมรับว่าต้องมีการปรับแผนยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มความรอบคอบและรัดกุมมากยิ่งชึ้นซึ่งวันนี้ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ รวมไปถึงนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ ซึ่งได้ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปเมื่อวาน จะได้นำข้อมูลทั้งหมดมาหารือกันในที่ประชุม ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันนี้ด้วย

ร้องกองปราบ เอาผิดศาลรธน. ไม่ระงับม็อบเสธ.อ้าย

ร้องกองปราบ เอาผิดศาลรธน. ไม่ระงับม็อบเสธ.อ้าย
สมาชิกพรรคเพื่อไทย ร้องกองปราบ ขอให้ดำเนินคดีกับ 6 ตุลาการ รธน. ข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ กรณียกคำร้องระงับการชุมนุมของกลุ่ม เสธ.อ้ายวันที่ 12 ธ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ณัทปกรณ์ ปัญญาดี พนักงานสอบสวนชำนาญการ กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร นายเฉลิมพล เอกอุรุ นายนุรักษ์ มาประณีต นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรวม 6 คน ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณียกคำร้องระงับการชุมนุมของกลุ่ม พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย พร้อมนำ เอกสารหลักฐานเป็นคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ และเอกสารหลักฐานภาพถ่ายที่มีการใช้อาวุธในเหตุการณ์ชุมนุมในวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มามอบให้พนักงานสอบสวนเป็นหลักฐานนายสิงห์ทอง กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องของสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ร้องขอให้มีคำสั่งระงับการชุมนุมของกลุ่ม เสธ.อ้าย ในวันที่ 24 พ.ย. ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท และส่งผลให้กลุ่มผู้ชุมนุมปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการใช้อาวุธและใช้แก๊สน้ำตาจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และถูกจับคุมขังเป็นจำนวนมากเป็นเพราะคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องดังกล่าวจนเกิดความเสียหาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เคยนำพยานหลักฐานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมสะสมอาวุธในบริเวณสนามม้านางเลิ้ง เพื่อใช้ในการชุมนุม ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญควรจะมีคำสั่งให้ระงับการชุมนุม แต่ก็มิได้มีคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด นายสิงห์ทอง กล่าว...

Monday, December 10, 2012

ทักษิณโผล่จอทีวีรัฐ เสี่ยงทำยิ่งลักษณ์เข้าขั้นโคม่า

ทักษิณโผล่จอทีวีรัฐ เสี่ยงทำยิ่งลักษณ์เข้าขั้นโคม่า
การเมืองช่วงนี้ ทำท่าจะร้อนแรง จนถึงขั้นทะลักจุดเดือด เมื่อคนอยู่แดนไกล อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ใช้โอกาสวันครบรอบ 80 ปี รัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค. 2555 ลงทุนเคลื่อนไหว ถึงขั้นเปิดหน้า มาเป็นประธานในการแข่งขันชกมวยไทย วอร์ริเออส์ ปีที่ 2 ที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊า ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี สถานีโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียงกรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11 หรือ NBT รับหน้าที่ถ่ายทอดสด ท่ามกลางข้อครหา จากฝ่ายตรงข้ามว่าทำได้อย่างไร นั่นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีสถานะเป็นผู้หลบหนีคดี หรือก็คือผู้ต้องหามีหมายจับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีทุจริตที่ดินรัชดา ซึ่งมีโทษจำคุก 2 ปี เป็นชนักปักหลังอยู่งานนี้เรียกว่า กลายเป็น งานเข้า รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ อย่างไม่ต้องสงสัย และคนที่หนีไม่พ้น ต้องตอบคำถามคาใจประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้ได้ ว่า เหตุที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ นั่นก็คือ  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถึงตอนนี้ คงหนีกองทัพสื่อมวลชนลำบากแล้ว กรณี ปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ อีกหนึ่งสถานะก็คือ พี่ชาย และถือเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลเพื่อไทย ตัวจริง เสียงจริง หลุดมาออกทีวีของรัฐ อย่างช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เบื้องหลังปฏิบัติการครั้งนี้ใครเป็นผู้สั่งการ เพราะไม่ว่าอย่างไร รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็คงหนีข้อครหานี้ไม่พ้น ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คงต้องเตรียมตัวโดนมรสุม คำถามจากสื่อมวลชน อย่างไม่ต้องสงสัย หลังหายจากอาการป่วย ที่จู่ๆ ก็ฝากให้ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ออกมาแจ้งกับสื่อมวลชน ว่า นายกฯ จะไม่มาร่วมงานวันครบรอบ 80 ปี รัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากมีอาการป่วย และอยากพักผ่อนซึ่งหลังจากประกาศออกมา ได้เพียงวันเดียว ก็ปรากฏภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกโทรทัศน์ของรัฐ ขนาบข้างด้วย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ญาติผู้พี่ และ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล  แถมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังออกมาพูดเรื่องการเมืองอีกด้วย ฉะนั้นตัวนายกฯ ปูเอง คงต้องเตรียมตัวหาเหตุผล มาตอบปัญหาคาใจประชาชนและสื่อมวลชนให้ดีก็แล้วกันหากจะใช้วิธีเหมือนกับกรณี ว.5 โฟร์ซีซั่น หรือเวลาตอบ กระทู้สด ในสภาฯ อีก คือเลี่ยงไม่ตอบคำถาม เห็นคงจะยากเสียแล้ว เพราะงานนี้รัฐบาลสุ่มเสี่ยง จะมีเป็นความผิดในข้อกฎหมาย เนื่องจากอย่างที่บอกไปแล้วตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มีสถานะเป็นผู้หลบหนีคดี ตกเป็นผู้ต้องหาที่ประเทศไทยต้องการตัวมันไม่เหมือนกับกรณีที่ผ่านๆ มา ที่เป็นความผิดเรื่องจริยธรรมและศีลธรรมเท่านั้น  ดังนั้น งานนี้ ถ้าตอบคำถามไม่ดี หรือตอบไม่ได้ ระวัง อย่าหาว่า หล่อไม่เตือนก็แล้วกันแม้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ประธานการจัดงานชกมวยไทย ญาติผู้พี่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะออกมา ชี้แจงกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ในเวลาต่อมาว่า การปรากฏตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในงานดังกล่าวผ่านช่อง 11 ที่เกาะมาเก๊า ยืนยันว่าไม่ได้มีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้า แต่เป็นเพราะตน ได้มีโอกาสพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางมาที่เกาะมาเก๊า เพื่อบรรยายงานงานหนึ่งพอดี ประกอบกับงานดังกล่าว จะมีพิธีถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเห็นว่า ในฐานะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอดีตนายกฯจึงได้เชิญให้มาเป็นประธานในพิธี เพื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้โอกาสดังกล่าว แก้ข้อกล่าวหาของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ นั้น ตนเองเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะอยู่ในช่วงเวลาการถ่ายทอดสด ที่ตนเองได้เช่าเวลาเพื่อทำการถ่ายทอดสด ศึกมวยไทยวอร์ริเออร์ส กับทางช่อง 11 เอาไว้อยู่ อีกทั้งการพูดตอบโต้ดังกล่าว ก็ได้ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวประเด็นนี้ได้ถูกฝั่งตรงข้ามรัฐบาลโยงให้เป็นเรื่องเดียวกัน แบบช่วยไม่ได้ ก็คือ กรณีการเร่งเครื่องแก้รัฐธรรมนูญ 2550 แบบที่เรียกว่ารีบร้อน ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำให้อุณหภูมิการเมืองพุ่งสูงแบบ ปรอทแทบแตก ยิ่งวัดจากสารพัดโพลที่ออกมาในช่วงนี้ ชี้ชัด การเร่งแก้ รธน.ของรัฐบาล จะยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบ และจบยาก รวมไปถึงสุ่มเสี่ยงจะเกิดม็อบต่อต้านอย่างรุนแรงในปี 2556 เป็นต้นไปถ้าจะให้วิเคราะห์กัน กรณีนี้อย่างไรเสีย มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ปรากฏตัวเป็นประธานชกมวยในสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 แน่ เอาแค่มองรูปเกมจาก หน้าฉาก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องเจอกับข้อสงสัยจากฝ่ายตรงข้ามแล้วว่า ฉวยโอกาสใช้สื่อรัฐเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองหรือไม่? ไม่เช่นนั้น ร้อนถึง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ต้องรีบออกมาแก้ต่างว่า การออกอากาศทางช่อง 11 ระหว่างการถ่ายทอดสดการแข่งขันชกมวยไทย วอร์ริเออส์ปีที่ 2 ที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊า ก็เพียงเพื่อยืนยันถึง ความจงรักภักดีต่อสถาบันของทักษิณ ทั้งยังไม่ลืมปกป้อง นายกรัฐมนตรี และคนในรัฐบาลว่า ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาเป็นประธานการจัดแข่งขันดังกล่าว ทั้งหมดเป็นเรื่องของภาคเอกชน ที่มาทำสัญญาเช่าเวลาล่วงหน้ากับช่อง 11 เพื่อขอถ่ายทอดสด  ซึ่งช่อง 11 ก็ไม่ทราบล่วงหน้าว่า ใครจะมาเป็นประธานจัดการแข่งขัน เมื่อเอกชนยื่นเรื่องมา ก็ดำเนินการไปตามระบบราชการ ไม่มีคนในรัฐบาลไปแทรกแซง หรือสั่งการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มาพูดออกช่อง 11ทั้งยังทราบจากคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เดิม พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดการเดินทางมาบรรยาย ที่เกาะฮ่องกง ในวันที่ 11 ธ.ค. ดังนั้น เมื่อเจ้าตัวเดินทางมาถึงล่วงหน้า คณะผู้จัดงานอาจจะมีความเคารพและชื่นชม จึงเชิญมาเป็นประธานเปิดงาน ในฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่ง แม้ตัวจะไม่ได้อยู่เมืองไทย แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงความจงรักภักดีได้ ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่มีคนบางกลุ่มต้องการขยายผลเรื่องนี้เป็นประเด็นการเมืองเท่านั้นปรากฏการณ์การเมือง ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เชื่อว่าจากนี้ไป การเมืองไทยอุณหภูมิจะร้อนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงคิดเดินเกมการเมือง เพื่อเป้าหมาย ต้องการกลับบ้านแบบไม่มีความผิด แบบไม่ยอมหยุด แน่นอนว่า ช่วยไม่ได้ที่ฝ่ายตรงข้ามที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลเพื่อไทย ก็คงมองรวมไปถึง กรณีที่ ดีเอสไอ เรียกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. เข้ารับทราบข้อกล่าวหา กรณี สั่งการจนทำให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมของ กลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 ในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ ก็เป็น 1 ในเกมการเมือง ที่ นายใหญ่ ต้องการบีบและลากทั้งคู่ เข้าไปสู่วังวน เพื่อให้ยอมรับร่าง พ.ร.บ.ปรองดองให้ได้ท้ายสุด ต้องจับตาดูว่า เรื่องทั้งหมด จะจบลงที่ใด แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ก็ขอภาวนาว่า อย่าได้มีความรุนแรงเกิดซ้ำรอยขึ้นกับประเทศไทยอีกเลยไม่ว่าจะเป็นในปีนี้ หรือปีหน้า 2556 แค่นี้ประเทศก็บอบช้ำมามากเกินพอแล้ว...

วราเทพเชื่อ ส่งรายงานแก้รธน.ให้พรรคร่วมฯได้ ไม่เกินสัปดาห์นี้

วราเทพเชื่อ ส่งรายงานแก้รธน.ให้พรรคร่วมฯได้ ไม่เกินสัปดาห์นี้
วราเทพ รัตนากร เชื่อ ส่งสรุปรายงานแก้ไข รธน.ฉบับสมบูรณ์ได้ ไม่เกินสัปดาห์นี้  หลังนัดหารือกันในเวลา 14.00 น.วันนี้  โอ่! ไม่แน่ฝ่ายคัดค้าน หากเห็นข้อมูล อาจเปลี่ยนใจก็เป็นได้ วันที่ 11 ธ.ค.2555  นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะ 1 ในคณะทำงานแก้ไข รธน.ของพรรคเพื่อไทย กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์  ยืนยันว่า คณะทำงานได้นัดประชุมถกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะลงมติวาระ 3 หรือไม่ในวันนี้  โดยจะมีการประชุมในเวลาประมาณ 14.00 น. วันนี้ เพื่อหารือ และสรุปรายงานทั้งหมด รวมทั้งส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ดังกล่าว ไปให้กับสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลได้ เชื่อว่าอย่างช้าภายในสัปดาห์นี้ เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้ไปตัดสินใจว่า จะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยกันหรือไม่? ทั้งนี้ นายวราเทพ กล่าวต่อว่าในความคิดเห็นส่วนตัว ก็มีความคิดว่า ควรมีการเดินหน้าไปในแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ส่วนที่เกรงกันว่า ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะไม่เห็นด้วยและอาจเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงขึ้นหากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาล มีความเห็นสนับสนุนเดินหน้า ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายวราเทพ กล่าวว่า อย่าเพิ่งคิดไปถึงขั้นนั้น ขอให้ดูรายละเอียดที่คณะทำงานจะสรุปออกมาเสียก่อน เชื่อว่าบางทีข้อมูลบางข้อที่สรุปออกมา พรรคฝ่ายค้านอาจจะมีความเห็นด้วยก็ได้  แต่อย่างไรก็ยอมรับว่า รัฐบาลก็จะมีความระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ.

ทนายมุดเรือนจำหลักสี่ หาช่องประกันตัว ก่อแก้ว

ทนายมุดเรือนจำหลักสี่ หาช่องประกันตัว ก่อแก้ว
ทนายความ บุกเรือนจำหลักสี่ หารือประกันตัว ก่อแก้ว แล้ว เล็งยื่นประกันวันนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินพรุ่งนี้ แย้ม พร้อมแจงศาลให้เห็นว่าผู้ต้องหาไม่เป็นอันตราย หากได้รับพิจารณาปล่อยตัว    วันที่ 11 ธ.ค. นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า วันนี้ได้เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษหลักสี่ เพื่อเข้าหารือหัวข้อเรื่องการขอประกันตัวผู้ต้องหาอีกครั้ง โดยในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 จากที่ครั้งแรกได้ยื่นเรื่องการประกันตัวนายก่อแก้วแล้วศาลอาญาไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เพราะให้เหตุผลว่าศาลไม่เชื่อว่าหากผู้ต้องหาออกไปแล้วจะไม่ไปก่อความวุ่นวายหรือเหตุอันตรายอื่นใดอีก นายเจษฎา กล่าวต่อว่า วันนี้จะเข้าไปหารือกับนายก่อแก้วเพิ่มเติม ทั้งกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญก่อนมีคำวินิจฉัย และหลังศาล รธน.มีคำวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่าทางนายก่อแก้วได้ทำอะไรบ้าง รวมไปถึงวันที่ 24 พ.ย. ที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ประกาศชุมนุมใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าด้วยเบื้องต้นจะให้ตัวนายก่อแก้วเป็นผู้แจงว่า มีฐานะอะไร และได้ทำอะไรอยู่ขณะที่เกิดการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม และเมื่อดำเนินการไปแล้ว มีอะไรที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายหรืออันตรายอื่นใดในบ้านเมืองหรือไม่  เบื้องต้นคาดว่า จะทำเรื่องขอประกันตัวครั้งที่ 2 ยื่นต่อศาลอาญา ให้มีการเบิกตัวมาขึ้นศาลไต่สวนผู้ต้องหา โดยจะให้นายก่อแก้วเป็นผู้แจงต่อศาลเอง อาจเป็นภายในวันนี้เลย ถ้าสามารถดำเนินการได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงเป็นในวันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ดี จะต้องมีการหารือกับนายก่อแก้วก่อนว่าเห็นควรและพร้อมให้ยื่นประกันตัวในช่วงเวลาใด ทั้งนี้ นายเจษฎายอมรับว่า กรณีการยื่นใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ประกันตัว จะเป็นวิธีสุดท้าย เพราะเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดว่า ไม่ต้องการให้มีการควบคุมตัว ส.ส.ในระหว่างสมัยเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ ซึ่งต้องยื่นเรื่องไปที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งเรื่องไปให้ศาลพิจารณาปล่อยตัว

Sunday, December 9, 2012

ภท.แตะเบรกติงรัฐบาลอย่าเร่งแก้ รธน.

ภท.แตะเบรกติงรัฐบาลอย่าเร่งแก้ รธน.
ภท.แตะเบรก เร่งแก้ รธน.ทั้งฉบับ ติงรัฐบาลอย่าเร่งรีบเดินหน้า หวั่นจุดชนวนให้บ้านเมืองเกิดความร้อนแรงอีกรอบ นัด ส.ส. กำหนดท่าทีลงมติโหวตวาระ 3 วันที่ 23-24 ธ.ค. วอนทุกฝ่ายลดทิฐิหาทางออกร่วมกัน ห่วงให้อำนาจ ส.ส.ร.เต็มที่อาจส่งผลกระทบกับองค์กรอิสระ วันที่ 10 ธ.ค. ที่รัฐสภา นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคร่วมรัฐบาลประกาศเจตนารมณ์สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคภูมิใจไทยจะเรียกประชุม ส.ส. เพื่อกำหนดท่าทีการลงมติแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 3 ในวันที่ 23 หรือ 24 ธ.ค. จากการหารือของกรรมการบริหารพรรคอย่างไม่เป็นทางการ พรรคเห็นด้วยว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะการลงมติวาระ 1 และ 2 พรรคแสดงจุดยืนชัดเจนว่า สมควรแก้ไข แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกำหนดเงื่อนไขบางประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณาอย่างมีเหตุผล อยู่ภายใต้กฎหมาย บางเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ ก็ไม่ควรเดินหน้า หากเรื่องนี้ทำให้บรรยากาศบ้านเมืองร้อนแรงขึ้น หรือหากรอได้ โดยไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ก็ไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง หากรัฐบาลคิดว่าจะอยู่ครบ 4 ปีแล้ว ปีที่ 3 ค่อยทำก็ยังทัน หรือถ้าจะอยู่แค่ 3 ปีแล้วยุบสภา ก็ยังมีเวลาพอ สิ่งที่เป็นห่วงคือ การให้อำนาจสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) อย่างเต็มที่ อาจมีผลกระทบต่อสถาบันหรือการบั่นทอนอำนาจองค์กรอิสระจนผิดหลักนิติธรรม จะทำให้บรรยากาศบ้านเมืองร้อนแรงขึ้น ขอให้ทุกฝ่ายลดทิฐิว่าจะต้องแก้ทั้งฉบับ หรือบางมาตรา ถอยกันคนละนิด เชื่อว่าทุกพรรคมีจุดร่วมกันที่เห็นว่า บางมาตราจำเป็นต้องแก้ไข เช่น มาตรา 237 เรื่องยุบพรรคการเมือง จึงต้องหาจุดร่วมที่ตรงกันให้เดินได้เพื่อลดความขัดแย้ง โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าว

4 พรรคร่วมรัฐบาล ยังแทงกั๊ก โหวตแก้รธน.วาระ3

4 พรรคร่วมรัฐบาล ยังแทงกั๊ก โหวตแก้รธน.วาระ3
พรรคร่วมรัฐบาลแถลงเจตนารมณ์ 3 ข้อ วันรัฐธรรมนูญ ต้องส่งเสริม คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และมีส่วนร่วมการปกครอง ยันโหวตคว่ำวาระ 3 ไม่จริง เตรียมพิจารณารายงานของคณะพรรคร่วมเรื่องการไข รธน.พรุ่งนี้...เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีการประชุมพรรคร่วมรัฐบาลในการประกาศเจตนารมณ์วันรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายสันตศักย์ งามพิเชษฐ์ ตัวแทนพรรคพรรคพลังชล นายประเสริฐ บุญชัยสุข ส.ส.นครราชสีมา ตัวแทนพรรคชาติพัฒนา และนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 โดยภายหลังการหารือในที่ประชุมนั้น ได้ออกแถลงการณ์ว่า นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2475 นั้น จนถึงขณะนี้ ประเทศไทยได้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดมาครบ 80 ปีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับที่ได้มีการประกาศใช้มา มีเพียงไม่กี่ฉบับเท่านั้นที่พอจะถือได้ว่ามาจากประชาชนและแม้จะเป็นฉบับประชาชน ในที่สุดก็ถูกฉีกทิ้งโดยคณะรัฐประหาร ดังเช่นกรณีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ก็เป็นผลพวงโดยตรงของการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ซึ่งแม้จะมีการอ้างว่ามาจากการออกเสียงประชามติก็ตาม แต่การออกเสียงประชามติดังกล่าวก็เป็นไปในลักษณะบีบบังคับว่า ถ้าหากประชาชนไม่รับ คณะรัฐประหารสามารถนำเอารัฐธรรมนูญในอดีตที่เคยมี มาปรับปรุงแก้ไขแล้วใช้บังคับต่อไปได้ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นแบบกึ่งเผด็จการหรือเผด็จการ จึงเป็นที่ปรากฏชัดเจนต่อสังคมว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย หลักการแบ่งแยกอำนาจ หลักนิติรัฐ นิติธรรม ไม่ส่งเสริมระบบพรรคการเมือง ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งการได้มาซึ่งบุคคลในองค์กรอิสระต่างๆ ก็ขาดการเชื่อมโยงกับประชาชนอย่างที่ควรจะเป็นนอกจากนี้ ยังมีการนิรโทษกรรมให้แก่คณะรัฐประหารและรับรองการประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหารตลอดจนการปฏิบัติที่เกี่ยวเนื่องกับประกาศและคำสั่งดังกล่าวว่าชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรับธรรมนูญ อันเป็นการขัดต่อความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญเองเเละขัดต่อหลักนิติธรรมโดยชัดแจ้งนายจารุพงศ์ กล่าวว่า เพื่อให้สังคมได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่ชอบธรรมเป็นประชาธิปไตย ค้ำประกันหลักนิติรัฐ นิติธรรม มีสันติสุขและความมั่นคง พรรคร่วมรัฐบาลจึงขอประกาศเจตนารมณ์ 1. จะร่วมกันพิทักษ์รักษา ส่งเสริม สนับสนุน และธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 2.รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ จะต้องมีที่มาจากประชาชน โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการทำตั้งแต่ยกร่างจนถึงการให้ความเห็นชอบ 3.รัฐธรรมนูญต้องมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของทุกองค์กรอย่างเต็มที่ มีการปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้นผู้สื่อข่าวถามว่าจากที่มีกระแสข่าวเรื่องการเสนอโหวตคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ทางพรรคเองยังไม่ได้มีข้อสรุปแบบนั้น โดยจะขอให้มีการศึกษารายงานที่คณะทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลได้ส่งมาก่อน ซึ่งจะมีการประชุมที่พรรคเพื่อไทยในวันพรุ่งนี้ คาดว่าจะมีความชัดเจนกว่านี้ในหลายเรื่อง เพราะตอนนี้รายงานดังกล่าวยังไม่ได้ส่งมา.

บี้ปูขอโทษประชาชน ปล่อยช่อง 11 ถ่ายสดทักษิณ

บี้ปูขอโทษประชาชน ปล่อยช่อง 11 ถ่ายสดทักษิณ
พรรคประชาธิปัตย์ ไล่บี้ นายกรัฐมนตรีขอโทษประชาชนและเอาผิดกับบรรดาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีปล่อยช่อง 11 ถ่ายทอดสด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร... วันนี้ (10 ธ.ค.55) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ หรือช่อง 11 ได้ถ่ายทอดสดการแข่งขันชกมวยที่มาเก๊า โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานเปิดงานและกล่าวในระหว่างการถ่ายทอดสด ทั้งที่เป็นนักโทษหนีคดีว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะนายกฯ และนางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ รู้อยู่แล้วว่า จะมีการชกมวยและถ่ายทอดสด จะต้องถามว่า ใครเป็นประธาน แต่กลับปล่อยเสียงนักโทษผ่านการถ่ายทอดสด การที่อ้างว่าไม่รู้เรื่องมาก่อน เป็นการแก้ตัวและบิดเบือนประเด็น เพราะคนเป็นประธานเป็นนักโทษหนีคดี เรื่องนี้ผิดทั้งกฎหมายและจริยธรรม หากนายกฯ ไม่ดำเนินการให้ ผบ.ตร.จับกุมนักโทษมาดำเนินคดี ครม.โดยเฉพาะนายกฯ ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดได้ ซึ่งจะปรึกษาหารือกันหลายฝ่ายว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร ปชป.ประณาม “นายกฯ-รมต.สื่อ” แฉตัดงบแดง ด้าน น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงภาวะผู้นำด้วยการขอโทษต่อประชาชน และนำผู้ที่ทำผิดต่อพันธกิจของช่อง 11 มาดำเนินคดีให้ได้ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปรากกฏตัวในช่อง 11 ซึ่งเป็นสื่อของรัฐ และขอเรียกร้อง 5 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1.ส่งเรื่องผู้ตรวจการแผ่นดินสืบสวนที่มา ใครอนุญาตออกคำสั่งให้มีการถ่ายทอดสดนักโทษออกสื่อรัฐ 2.รมต.ประจำสำนักนายกฯ นอกจากต้องถูกประณามแล้วยังผิดต่อหน้าที่ที่ต้องเสนอผลงานของรัฐไม่ใช่เวทีตระกูลชินวัตร 3.ใช้เงินภาษีประชาชน แต่กรณีนักโทษไม่จ่ายภาษีให้ประเทศ มีสิทธิอะไรใช้ภาษีหลวงถ่ายทอดสดตัวเอง 4.ให้นายกฯ ลงโทษผู้กระทำความผิด ถ้าไม่ทำถือเป็นโต้โผกระทำผิดมาตรา 157 และ 5.ขอให้นายกฯ ขอโทษคนไทยและรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ การเดินทางไปเป็นประธานชกมวยนั้น มีนายพานทองแท้ ชินวัตร รับทราบเพียงคนเดียว ส.ส.เพื่อไทย ก็ห่วงว่า รมต.มือใหม่รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ มากจนงานเข้า มีการตัดงบสถานีช่องแดงหลายช่อง มาใช้ สถานีรัฐที่ไม่ต้องจ่ายเงินแทน โดยลอยแพช่องแดงหลายช่อง จึงขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รับผิดชอบด้วย

Saturday, December 8, 2012

ประชาจี้มาร์คหยุดงอแง ยันไม่คิดบีบให้รับปรองดอง

ประชาจี้มาร์คหยุดงอแง ยันไม่คิดบีบให้รับปรองดอง
ประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย จี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หยุดฟาดงวงฟาดงา ว่าดีเอสไอมีธง ตั้งข้อหา 99 ศพ แนะให้ยอมรับกฎแห่งกรรม ยืนยันไม่มีใครแทรกแซงบงการดีเอสไอ หรืออัยการ ย้ำอย่ายกตัวเองเปรียบเทียบคดีทักษิณ...เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย กล่าวว่า กรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษตั้งธงไว้ก่อนและทำตามใบสั่งนักการเมือง รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น อยากให้นายอภิสิทธิ์หยุดร้องแรกแหกกระเชอ ฟาดงวงฟาดงาสาดโคลนใส่ร้ายคนอื่น วันนี้เมื่อผลกรรมมันตามมาถึง ก็ควรทำใจยอมรับความจริง แล้วไปสำนึกบาปที่ตัวเองก่อไว้ ถ้าจะร้องเรียนก็ไปร้องที่ศาล ไปต่อสู้ที่นั่น อย่ามาทำงอแงเป็นเด็ก ยืนยันว่าการทำงานของดีเอสไอ ตำรวจ อัยการ ไม่มีใครไปแทรกแซงบงการได้ ทุกอย่างว่าไปตามหลักฐานข้อเท็จจริง นายอภิสิทธิ์ควรเคารพกฎหมาย อย่ากลืนน้ำลายตัวเอง วันนี้ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเข้าตัว นายประชา กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่บอกว่าการแจ้งข้อหาตรงนี้เป็นขบวนการบีบให้นายอภิสิทธิ์รับเงื่อนไขปรองดองนั้น นายอภิสิทธิ์กำลังเข้าใจผิด เรื่องคดีฆ่าคนตาย 90 กว่าศพ ไม่เกี่ยวข้องกัน จะปรองดอง หรือจะนิรโทษกรรมอะไร นายอภิสิทธิ์ก็ต้องรับโทษอยู่ดี ไม่สามารถหนีกฎแห่งกรรมนี้พ้นไปได้ ส่วนที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าจะไม่ยอมแลกคดีล้างผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น มันแลกกันไม่ได้อยู่แล้ว คดีนายอภิสิทธิ์เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง แต่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีกระบวนการทำถูกให้เป็นผิด ทำคนดีให้เป็นคนไม่ดี เป็นผลพวงจากการรัฐประหาร อยากให้นายอภิสิทธิ์ทำใจ และเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมไว้บ้าง.

โพลชี้ 43% นักการเมือง แชมป์อาชีพโกง

โพลชี้ 43% นักการเมือง แชมป์อาชีพโกง
ดุสิตโพลชี้ ประชาชนส่วนใหญ่ระบุ เป็น เรื่องน่าอาย ประเทศไทย รั้งอันดับที่ 88 ประเทศที่มีความโปร่งใส ปลอดคอรัปชัน นักการเมือง อันดับ 1 อาชีพโกงมากที่สุด เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. สวนดุสิตโพล หรือมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,289 คน ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2555 กรณีองค์กรความโปร่งใสระหว่างประเทศจัดอันดับระดับปัญหาคอรัปชันใน 176 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศที่มีความโปร่งใสปลอดคอรัปชันมากที่สุดในโลก คือ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นิวซีแลนด์ คว้าอันดับ 1 ร่วมกัน ด้านประเทศในอาเซียน สิงคโปร์ได้อันดับดีที่สุด ส่วนไทยรั้งอันดับ 88 ด้วยคะแนนความโปร่งใสเพียง 37 เต็ม 100 ซึ่งคะแนนยิ่งน้อยยิ่งทำให้เห็นว่าประเทศนั้นๆ มีปัญหาการคอรัปชันมาก เพื่อเป็นการสะท้อนปัญหาคอรัปชันในประเทศที่น่าเป็นห่วง สรุปผลดังนี้ เมื่อถามว่า ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไร? กรณีไทยติดอันดับ 88  ประเทศคอรัปชันประชาชนส่วนใหญ่ 33.25 รู้สึกว่า เป็นเรื่องน่าอาย ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสื่อมเสีย 28.06% เป็นปัญหาสำคัญที่ควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะรัฐบาลต้องรีบดำเนินการอย่างจริงจัง 22.96% รู้สึกเป็นห่วงและสงสารประเทศไทย คนไทยทุจริตคอรัปชันกันมากขึ้น โดยเฉพาะนักการเมือง และ 15.73% เห็นว่า มาตรการบทลงโทษต่างๆ ยังไม่เด็ดขาดพอ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่เมื่อถามว่า “อาชีพ” ที่ประชาชนคิดว่ามีการ “คอรัปชัน” มากที่สุด45.39% ตอบว่า เป็นนักการเมือง /นักการเมืองท้องถิ่น 30.24% ข้าราชการ 12.86% ตำรวจ /ทหาร และ 11.51% นักธุรกิจ /นักลงทุนเมื่อถามว่า “สาเหตุ” ของการ “คอรัปชัน” ในประเทศไทย คือประชาชนส่วนใหญ่ 37.96% ตอบว่า การใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด เห็นช่องทางที่จะได้เงิน / มีคนยุ คนเสนอ 24.49% กฎหมายหย่อนยาน บทลงโทษไม่เด็ดขาด เจ้าหน้าที่ละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ รับสินบน 20.67% เกิดจากพฤติกรรม นิสัยส่วนตัว /ความโลภ ความอยากได้ไม่รู้จักพอ และ 16.88% สภาพสังคม เศรษฐกิจที่แย่ลง /ฐานะทางครอบครัวยากลำบาก /มีแบบอย่างที่ผิดๆ ให้เห็นเมื่อถามว่า “วิธีแก้ปัญหาคอรัปชัน” ที่ประชาชนคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดและเป็นรูปธรรมมากที่สุด43.08% เห็นว่าควรปลูกฝัง อบรมสั่งสอนเลี้ยงดูบุตรหลานตั้งแต่วัยเยาว์ 29.21% กฎหมาย บทลงโทษต้องเด็ดขาด /เจ้าหน้าที่ภาครัฐเข้มงวดกวดขันเอาจริงเอาจัง ไม่ละเลยในหน้าที่ 15.57% ทุกคนต้องร่วมมือกัน ช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบเจอการทุจริตควรรีบแจ้งทันที ไม่ควรนิ่งเฉยหรือละเลย และ 12.14% ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้คนไทยหยุดการทุจริตคอรัปชัน /มีแบบอย่างที่ดี

74.3% ฟันธงแก้รธน. นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง

74.3% ฟันธงแก้รธน. นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง
เอเบคโพลล์ชี้ชัด 74.3% แก้รธน.นำไปสู่ความขัดแย้ง บานปลาย ส่วน 65.9% ระบุ ทุจริตจำนำข้าวจบยาก รวมทั้งปล่อยปละละเลยจะยิ่งทำให้รัฐบาลอยู่ยาก ขณะที่ 67.5% ยอมรับอาจเกิดม็อบไล่รัฐบาลได้ง่ายในปีหน้าวันที่ 9 ธ.ค. ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง เรื่องง่าย เรื่องยาก ในประเด็นร้อนการเมืองไทย กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา นครปฐม สมุทรปราการ อุตรดิตถ์ ลำปาง เชียงราย มุกดาหาร หนองคาย สกลนคร เลย ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ ยะลา นราธิวาส และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,062 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม พ.ศ.2555 โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน โดยมีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.8 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.1 ระบุเป็นเรื่องง่ายที่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลจะลงมติวาระสามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ร้อยละ 43.9 ระบุเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม เมื่อถามประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับพบว่าก้ำกึ่งกัน คือ ร้อยละ 51.8 ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ร้อยละ 48.2 เห็นด้วยนอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.4 ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะ “จบยาก” ในขณะที่ร้อยละ 36.6 ระบุว่าจะจบง่าย ยิ่งไปกว่านั้นผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนที่คิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 68.0 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ร้อยละ 74.3 ในการสำรวจล่าสุดนอกจากนี้ ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อปัญหาทุจริตคอรัปชันในโครงการรับจำนำข้าว พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.9 ระบุจบยาก ในขณะที่ร้อยละ 34.1 ระบุจบง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.2 ระบุรัฐบาลจะอยู่ยากถ้าปล่อยปละละเลยปัญหาทุจริตคอรัปชันที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.5 ระบุเป็นไปได้ง่ายที่จะเกิดการชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลในปีหน้า ในขณะที่ร้อยละ 32.5 ระบุเป็นไปได้ยาก และเมื่อถามถึงความขัดแย้งแตกแยกทางการเมืองระหว่างกลุ่มสนับสนุนและไม่สนับสนุนรัฐบาลพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.4 ระบุจบยาก ในขณะที่ร้อยละ 10.6 ระบุจบง่าย เมื่อถามถึงปัญหาที่เป็นตัว “บั่นทอน” ความสุขของคนไทยมากที่สุด พบว่า ร้อยละ 42.7 ระบุปัญหาการเมือง รองลงมาคือร้อยละ 33.4 ระบุปัญหาเศรษฐกิจ และร้อยละ 23.9 ระบุปัญหาสังคม ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า การเมืองเป็นกลไกที่จำเป็นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเพราะการเมืองถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดปัญหาความขัดแย้งในหมู่ประชาชนจำนวนมากทั้งในเรื่องที่ทำกิน ปัญหาปากท้อง การจัดสรรทรัพยากร และความเป็นธรรมทางสังคม เป็นต้น แต่หลายครั้งกลับพบว่า การเมืองกลายเป็นตัวปัญหาเสียเองที่มักจะซ้ำเติมความขัดแย้งให้มากยิ่งขึ้นจนเป็น “เรื่องยาก” จะเยียวยาแก้ไขได้ ทางออกที่น่าพิจารณาคือประการแรก รักษาจุดแข็งร่วมของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น การเลือกตั้ง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของตนเอง ชุมชน และประเทศชาติ การมีอำนาจต่อรองในการกระจายทรัพยากรสู่ชุมชน ท้องถิ่นและประชาชนแต่ละคน การส่งเสริมเสรีภาพหน้าที่พลเมืองและความรับผิดชอบ เป็นต้นประการที่สอง ส่งเสริมให้รณรงค์ปี 2556 เป็นปีแห่งคุณธรรม และในแต่ละเดือนเป็นเดือนที่ส่งเสริมคุณธรรมด้านต่างๆ เช่น เดือนแห่งความเมตตาปรานี เดือนแห่งความกตัญูญู เดือนแห่งความมีวินัย เดือนแห่งความซื่อสัตย์สุจริต เดือนแห่งการศึกษาเรียนรู้เพิ่มพูนความสามารถ และเดือนแห่งความขยันหมั่นเพียร โดยใช้ยุทธศาสตร์รวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีทั้งความเก่งและความดีอยู่ในแต่ละคนที่นำไปสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน ทั้งนี้จะทำให้เกิดความตระหนักปฏิบัติคุณธรรมด้านต่างๆ ทุกวันประการที่สาม เสนอแนะให้ฝ่ายการเมืองและประชาชนแต่ละคนลองอ่านนิทานอีสป เรื่อง “ลากับรูปเคารพ” ที่เป็นคติสอนใจได้หลายมิติ เช่น ไม่หลงใหลในอำนาจทั้งๆ ที่ไม่ใช่สิ่งที่จะติดตัวไปได้ตลอด และไม่นำความดีของคนอื่นมาเป็นของตน เป็นต้น จะได้เข้าถึงความอนิจจังแห่งอำนาจและทรัพย์สินที่ไม่ได้ยั่งยืนอะไร เผื่อจะมองเห็นตัวเองได้ว่า ผู้คนไม่ได้เคารพยำเกรงท่านเพราะคุณงามความดีของท่านแต่เป็นเพราะอำนาจที่ติดอยู่กับตำแหน่งและทรัพย์สินที่ติดตัวในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อตำแหน่งและทรัพย์สินหลุดลอยไปตัวท่านก็จะไม่ต่างไปจากเจ้าลาตัวนั้นในนิทานอีสปนั่นเอง ทั้งนี้ หวังว่าฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจและคนที่มีทรัพย์สินอยู่ในเวลานี้จะใช้เพื่อเป็นคติสอนใจปฏิบัติตนก่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นต่อตนเองและผู้อื่นประการที่สี่ เมื่อการเมืองกลายเป็น “ตัวบั่นทอน” ความสุขของประชาชน ข้อเสนอแนะคือ รัฐบาลโดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร น่าจะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแบบแผนการเมืองแบบดั้งเดิมมาเป็น “การเมืองเพื่อสาธารณชน” คือทำทุกอย่างให้โปร่งใสให้สาธารณชนรับรู้ รับทราบทรัพยากรทั้งหมดที่รัฐบาลมีและใช้ในการบริหารจัดการปัญหาของประเทศ ผ่านเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลและสื่อของรัฐ ผลที่ตามมาคือ การแกะรอยการใช้จ่ายงบประมาณโดยสาธารณชนจะเกิดขึ้นและจะส่งผลทำให้ “คนของรัฐบาล” ต้องปรับปรุงพัฒนาตนเองในการบริหารจัดการปัญหาเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและของประเทศชาติให้มีประสิทธิภาพ (Effectiveness) มีความคุ้มค่าคุ้มทุน (Efficiency) และการจัดวางคณะบุคคลทำงานเพื่อสาธารณชนได้ดี (Accountability) เพราะทุกเม็ดเงินที่มาจากภาษีประชาชนจะถูกจับตามองโดยสาธารณชน โดย “คนของรัฐบาล” ที่ไม่มีคุณภาพทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายการเมืองก็ต้องถูกปรับออกไป เพื่อหาคนดีคนเก่งตามหลักสากลที่ทั่วโลกยอมรับมาทำหน้าที่แทน ประการที่ห้า ประชาชนคนไทยแต่ละคนไม่น่าจะยอมตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองที่พยายามสร้างความขัดแย้งรุนแรงบานปลายขึ้นอีก เพราะอดีตการเมืองที่ผ่านมาน่าจะสอนเราว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนมือผู้ถืออำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็มักจะพบว่าไม่มีอะไรใหม่ที่ดีขึ้นต่อวิถีชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ แต่มักจะทำให้กลุ่มคนเฉพาะกลุ่มได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น ดังนั้นประชาชนแต่ละคนน่าจะตื่นตัวแสดงตนขึ้นมาสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถทำให้เกิดการกระจายทรัพยากรและการกระจายความเป็นธรรมสู่มือของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศอย่างแท้จริงมากกว่า

Friday, December 7, 2012

ธีรยุทธ์ เชื่อแก้รธน.เพื่อทักษิณ เมินสิทธิเสรีภาพประชาชน

ธีรยุทธ์ เชื่อแก้รธน.เพื่อทักษิณ เมินสิทธิเสรีภาพประชาชน
ธีรยุทธ์ บุญมี เชื่อ แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เกิดประโยชน์กับสังคมแค่ผลประโยชน์ของทักษิณ ซัดเป็นเกมชิงอำนาจทางการเมือง โยนคำถามพรรคเพื่อไทย การแก้ รธน.นั้นทำไปเพื่อสิทธิเสรีภาพประชาชนหรือไม่..เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เรื่องรัฐธรรมนูญที่ผ่านมานั้น ที่มีการเถียงเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น ผิดเป้ามาทั้งหมด ที่ผ่านมาไม่ว่ารัฐธรรมนูญเขียนมาอย่างไรโดยใครก็ไม่เกิดผลมากนัก เพราะประชาธิปไตยกับรัฐธรรมนูญไม่ได้วิ่งขนานกันเท่าไหร่ ตนมองว่าเป็นเกมอำนาจของผู้มีอำนาจในประเทศไทย และมักจะไม่ค่อยได้มักผลอะไร คำตอบก็จะอยู่ที่วัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตยมากกว่า ซึ่งวัฒนธรรมนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน ตั้งแต่ปี 2475 นั้นไม่ได้เกิด พอมาปฎิบัติจริงแล้วไม่เกิดขึ้นมาสู่ในกลุ่มประชาชน เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมการเมืองมาเกิดในช่วง 14 ต.ค. และจำกัดอยุ่เฉพาะชนชั้นกลาง ไม่ได้ลงไปถึงชาวบ้าน ถ้าสังเกตการเมืองอย่างยาวคือเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบันในระยะยาว อย่างไรก็ขอเตือนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญในฐานะคนแก่ทางการเมือง โดยทฤษฎีและหลักการรัฐสภาย่อมมีอำนาจเต็มที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญผมมองว่ารัฐสภามีสิทธิยกร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ เนื่องจากโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาการแก้ไขหรือตีความใหม่จึงเกิดได้ในทุกประเทศ แต่ถ้าไปแตะต้องสิทธิเสรีภาพหรือความเชื่อสำคัญๆคนก็จะไม่ยอมรับกติการ่วมกันนี้ทำให้เกิดปัญหาบานปลายได้ นายธีรยุทธ กล่าวนายธีรยุทธ กล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่องของมุมมอง เพราะคนส่วนหนึ่งมองว่า แก้รัฐธรรมนูญเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โอกาสเกิดปัญหาก็มีสูง ตนไม่เคยเห็นว่า พรรคเพื่อไทยจะแก้ไขเพื่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์แก่ประชาชนอย่างไร ซึ่งอาจจะมีประชาชนเห็นด้วยเพิ่มขึ้น ความขัดแย้งในสังคมไทยตนยังไม่พบว่า ความขัดแย้งทางการเมืองไทยจะขยายตัวเป็นความขัดแย้งภูมิภาค จนเกิดการแตกแยกอันนี้เรายังไม่พบปัญหานี้แต่อย่างใดนายธีรยุทธ กล่าวต่อไปว่า มุมมองวิกฤติเหลือง-แดง จะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทิศทางใหญ่ในการเมืองของระดับประเทศ ตนคิดว่า ยังไม่เกิดสิ่งนี้ เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าทั้งสองสีเป็นกลุ่มคนที่มีความตื่นตัวทางการเมือง ไม่ใช่กลุ่มที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง อุดมการณ์ต่อต้านอำมาตย์ เป็นเพียงภาพลวงตา ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ อุดมการณ์ ชาติ กษัตริย์ ความนิยมของเสื้อเหลือง ก็ตีกรอบตัวเองจำกัด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางประเทศ ตนมองว่า เสื้อเหลืองแดงจะคลี่คลายไปเองโดยธรรมชาติ เสื้อแดงจะกลายเป็นการเมืองระดับภูมิภาคเป็นสำคัญ หนทางที่จะก้าวให้พ้นปัญหาความขัดแย้งต้องมองภาพกว้างๆเป็นกระบวนทัศน์.

ทบ.ยันทหารไม่กระทบคดีเชือดมาร์ค-สุเทพฆ่า 99 ศพ

ทบ.ยันทหารไม่กระทบคดีเชือดมาร์ค-สุเทพฆ่า 99 ศพ
ทบ.ยันทหารไม่กระทบคดีเชือด “มาร์ค-สุเทพ” ฆ่า 99 ศพ รับหวั่น ปชช.มองทหารแง่ร้าย “ประยุทธ์” ลั่นดูแลลูกน้องดีที่สุด พร้อมตั้งคณะทำงานตามคดีทหารตาย งงส่งหลักฐานให้พนักงานสอบสวน แต่ไม่คืบ...เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 7 ธ.ค. 55 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุมหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก (นขต.ทบ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้แจ้งข้อกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนา ว่า ทางดีเอสไอไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทหารเพียงถูกเชิญจากดีเอสไอไปให้ปากคำในฐานะพยาน ซึ่งขณะนี้มีบางคดีที่ศาลได้ไต่สวนแล้ว โดยทางทหารเองก็ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด และในบางคดีได้มีการขอยื่นอุทธรณ์สำหรับคำไต่สวนไปแล้ว ตามช่องทางของกฎหมายที่จะสามารถเอื้ออำนวยให้ทำได้ แม้เจ้าหน้าที่ทหารจะไม่ได้มีผลกระทบด้านกฎหมาย แต่ในมุมของสังคมที่อาจจะถูกมองในเชิงลบนั้น ทางกองทัพบกพยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดความสงสัย “ผู้บัญชาการทหารบกให้ความสำคัญและห่วงใยอยู่ 2 เรื่อง คือ กำลังพลบางส่วนที่จะต้องมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนในฐานะพยาน ซึ่งผู้บัญชาการทหารบก มีความห่วงใยอย่างยิ่ง แต่เข้าใจถึงขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งยืนยันจะดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดีที่สุด สำหรับเรื่องคดีของเจ้าหน้าที่ทหารที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติตามกฎหมายถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งกองทัพบกไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลติดตามและประสานงานข้อมูลกับผู้เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เราได้ยืนยันกับญาติพี่น้องและครอบครัวผู้สูญเสียไปแล้ว เมื่อครั้งที่มายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับกองทัพบกเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ว่าเรามีภาพหลักฐานชัดเจนที่เจ้าหน้าที่ทหารถูกกระทำ และสามารถบันทึกไว้ได้หลายเหตุการณ์ โดยเราเคยส่งมอบให้พนักงานสอบสวนไปแล้ว แต่จากการสอบถามไปยังพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ พบว่าไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้กองทัพบก และคณะทำงานจะดูแลอย่างใกล้ชิดต่อไป” พ.อ.วินธัย ระบุ เมื่อถามว่าการแจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพว่าเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน จะทำให้กองทัพบกเสียภาพพจน์หรือไม่ ในฐานะผู้ปฏิบัติ พ.อ.วินธัย กล่าว่า การตั้งข้อกล่าวหากับอดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกองทัพ เพียงแต่กลัวความรู้สึกของสังคมจะไม่เข้าใจถึงการปฏิบัติงานของทหาร อาจจะเข้าใจว่าทหารไปฆ่าประชาชน ซึ่งความจริง ทหารเพียงทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเรียบร้อยไม่ได้ไปฆ่าใคร ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ทหารก็กลายเป็นเป้าหมายในการถูกโจมตีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การไต่สวนพิจารณาของศาล เป็นเพียงการชี้สาเหตุของการเสียชีวิตเท่านั้น ทั้งนี้ กองทัพบกไม่ได้แก้ตัว หรือไปแย้งกับศาล เพราะไม่ใช่คำตัดสิน หรือคำพิพากษาแต่อย่างใดขณะที่ พ.อ.(หญิง) ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวเสริมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้บอกกับที่ประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ว่า ให้ผู้บังคับหน่วยไปแจ้งกับผู้ใต้บังคับบัญชาถึงผลการไต่สวนที่ออกมา ขอให้มั่นใจว่า กองทัพบกจะใช้กระบวนการ และอำนาจทางกฎหมายช่วยผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกคน ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลา.

ผบ.ทบ.สั่งปรับแผนรปภ.ครูใต้ วอนปชช.ร่วมจับตาบึม

ผบ.ทบ.สั่งปรับแผนรปภ.ครูใต้ วอนปชช.ร่วมจับตาบึม
ผบ.ทบ.สั่งปรับแผนรักษาความปลอดภัยครูใต้ วอน ปชช.ร่วมมือทหารจับตาบึม ยันเน้นใช้ กม. สร้างความเข้าใจแก้ไฟใต้…วันที่ 7 ธ.ค. พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นประธานการประชุม ว่า ผบ.ทบ.ได้แสดงความห่วงใยการดูแลกำลังพลที่ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ โดยให้ทุกหน่วยคำนึงความปลอดภัยของกำลังพลเป็นสำคัญ พร้อมกำชับให้ดูแลการฝึกทหารใหม่อย่างใกล้ชิด และให้เป็นไปตามมาตรฐานการฝึกป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ รวมถึงการดูแลด้านสุขภาพ ส่วนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ผู้บัญชาการทหารบกระบุว่ายังคงเน้นให้เจ้าหน้าที่ใช้หลักกฎหมาย และการสร้างความเข้าใจเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม จากการที่รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ (กปต.) ซึ่งมีทุกภาคส่วน ทุกกระทรวง ทบวง กรม เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา น่าจะส่งผลให้การแก้ปัญหาในอนาคตมีทิศทางที่ดีขึ้นพร้อมกันนี้ พ.อ.วินธัย สุวารี ยังกล่าวถึงเรื่องแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ผบ.ทบ.ยังคงเน้นให้เจ้าหน้าที่ใช้หลักกฎหมาย และการสร้างความเข้าใจเป็นสำคัญ ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีทุกภาคส่วน ทุกกระทรวง ทบวง กรม เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา น่าจะส่งผลให้การแก้ปัญหาในอนาคตมีทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อถามว่า ผบ.ทบ.ได้มีการสั่งให้หน่วยงานในพื้นที่ปรับแผนการรักษาความปลอดภัยครูหรือไม่ พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ผบ.ทบ.ได้สั่งให้ปรับแผน โดยให้สอดคล้องกับความต้องการของบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งได้มีการหารือร่วมกันก่อนหน้านี้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ที่ต้องช่วยกันดูแล ปกป้องครูเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ และแจ้งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย.

Thursday, December 6, 2012

เสธ.ทบ.ค้านข้อเสนอครูไทยพุทธออกนอกพื้นที่ 3 จว.ใต้

เสธ.ทบ.ค้านข้อเสนอครูไทยพุทธออกนอกพื้นที่ 3 จว.ใต้
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เสธ.ทบ. ค้านข้อเสนอให้ครูไทยพุทธออกนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ลั่นแผ่นดินไทย ทุกศาสนาต้องอยู่ร่วมกันได้ หวังปรับแผนแล้วสถานการณ์ดีขึ้น... วันที่ 6 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เสนาธิการทหารบก ในฐานะเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมประชุมความมั่นคงว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ นายกฯ ในฐานะผอ.รมน. และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะรอง ผอ.รมน. ก็ได้พยายามแก้ปัญหาเต็มที่ ส่วนกรณีที่มีการจะขอปิดโรงเรียนในพื้นที่เพิ่มอีกนั้น ก็พยายามจะปรับแผนที่ ยังมีช่องว่างอยู่ โดย กอ.รมน.จะพยายามดูแลให้ดีที่สุด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางราชการที่เกี่ยวข้องก็กังวลทั้งหมด เมื่อเกิดความไม่เรียบร้อยเราก็เสียใจ พยายามแก้ไขต่อไปให้ดีขึ้น และต้องแก้ปัญหาร่วมกัน กระทรวงศึกษาฯ ได้ร่วมกับทหารทำความเข้าใจกับครูในพื้นที่ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ให้เกิดความปลอดภัย ไม่ว่าแผนของเจ้าหน้าที่จะออกมาดีอย่างไร จะประสบความผลสำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ออกแผนและผู้ปฏิบัติ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อมีความเข้าใจและมีการปรับแผนกันแล้วจะส่งผลที่ดีขึ้นต่อไป เมื่อถามว่าแผนเบื้องต้นเฉพาะหน้า จะสร้างความมั่นใจให้กับครูได้อย่างไร เพราะขณะนี้ ยังไม่มีการเปิดการเรียนการสอน พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจกันต่อไป การจะเดินทางไปไหน ก็ต้องประสานกัน เพื่อที่จะดูแลกันได้โดยทั่วถึง กรณีที่มีการเสนอให้ย้ายครูที่เป็นไทยพุทธออกจากพื้นที่นั้น กอ.รมน.ก็มีความเป็นห่วง แต่การนำครูไทยพุทธออกจากพื้นที่ ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะผืนแผ่นดินก็เป็นแผ่นดินไทยอยู่แล้ว ศาสนาใดก็ต้องอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธ หรือไทยมุสลิม ก็ทำงานร่วมกันในพื้นที่ได้ พล.อ.อุดมเดช กล่าว.

Blog Archive