Wednesday, January 30, 2013

บีร็อดจ์รับพอใจฟอร์มหงส์แอบเสียดายได้แค่เจ๊า

บีร็อดจ์รับพอใจฟอร์มหงส์แอบเสียดายได้แค่เจ๊า
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือหงส์แดงลิเวอร์พูลรับพอใจในผลงานของลูกทีม ถึงแม้จะทำได้แค่บุกไปเสมอทีมปืนใหญ่อาร์เซนอล 2-2 ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ด้าน อาร์แซน เวนเกอร์ ก็ออกปากชมลูกทีมใจสู้แต่ก็ยังรู้สึกกังวลในเกมรับ...สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 30 ม.ค. เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือหงส์แดงลิเวอร์พูล ยืนยันพอใจในผลงานของลูกทีม ถึงแม้จะลงท้ายด้วยการบุกไปเสมอทีมปืนใหญ่อาร์เซนอล 2-2 ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาในการแข่งขัน ลิเวอร์พูล ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนถึงสองลูกจาก หลุยส์ ซัวเรซ และ จอร์แดน เฮ็นเดอร์สัน แต่ก็มาแผ่วปลายถูกเจ้าถิ่นไล่ยิงเอาคืนจาก โอลิเวียร์ ชิรูด์ และ ธีโอ วัลคอตต์ ส่งผลให้ทั้งสองทีมทำได้แค่แบ่งแต้มกันไปคนละหนึ่งแต้ม ขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็อยู่ที่ 7 ของตารางหลังจบการแข่งขัน ร็อดเจอร์ส กล่าวว่าเรารู้สึกผิดหวังที่ไม่ชนะเพราะในชั่วโมงแรกเราเป็นฝ่ายครองเกมและสร้างโอกาสได้หลายต่อหลายครั้งเกมของเรามีความยืดหยุ่นและก็เหนี่ยวแน่นไปพร้อมกัน ผมไม่สามารถตำหนิลูกทีมได้ พวกเขาทำได้ดีในคืนนี้ เรายิงได้ถึงสองประตูและมีโอกาสที่จะได้มากกว่านี้ขณะที่ฝั่งของ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซืออาร์เซนอล เองก็ได้กล่าวว่าผมเชื่อว่านี้เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่ดีที่สุดของทั้งสองทีม เราอาจจะแพ้หรือชนะเลยก็ได้ถ้ามันมีความต่างถึง 3 หรือ 4 ประตูเราแสดงให้เห็นถึงคุณภาพและจิตวิญญานของนักเตะ แต่เราก็ต้องกังวลกับเกมรับ เรารู้ว่าตรงไหนที่สามารถปรับปรุงได้และเราก็ต้องการที่จะมองในแง่บวกสำหรับเกมในคืนนี้ผมรู้สึกได้ว่าเราเล่นกันได้อย่างโดดเด่น. 

เฟอร์กี้รับผีมีดวงที่ชนะ ซูฮกนักบุญมาเยือนแจ่มสุด

เฟอร์กี้รับผีมีดวงที่ชนะ ซูฮกนักบุญมาเยือนแจ่มสุด
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอมรับทีม ปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โชคดีไม่น้อยที่คว้าสามแต้มเหนือ นักบุญ เซาแธมป์ตัน ได้ 2-1 พร้อมยกย่องคู่แข่งเป็นทีมที่มาเยือนโอลด์แทรฟเฟิร์ดแล้วทำผลงานได้ดีที่สุดในฤดูกาลนี้...สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ควันหลงหลังเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ทีมจ่าฝูง ปิศาจแดง แมนฯยู เปิดบ้านแซงชนะ นักบุญ เซาแฮมป์ตัน ไปได้ 2-1 โดยเกมนี้ เซาแธมป์ตัน เป็นฝ่ายบุกมาออกนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 3 ของเกม จากการยิงของ เจย์ โรดริเกซ ก่อนที่ เวย์น รูนีย์ จะเหมายิงคนเดียวสองประตูในนาที 8, 27 ให้ทีมคว้าสามคะแนนสำคัญ ช่วยให้โกยแต้มหนีห่าง แมนฯซิตี้ ออกไปเป็น 7 แต้มแล้วขณะที่หลังเกม เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอมรับว่าทีมของเขาโชคดีไม่น้อยที่เป็นฝ่ายชนะไปในเกมนี้ ทั้งที่ฟอร์มครึ่งหลังเป็นรองคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 30 นาทีแรก ผมคิดว่าเราเล่นได้ยอดเยี่ยมทีเดียว แต่พอครึ่งหลัง เซาแธมป์ตัน กลับกลายเป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเมื่อมาเล่นที่นี่ในฤดูกาลนี้ และเราโชคดีไม่น้อยที่ยังเป็นฝ่ายชนะไปในที่สุด เซอร์อเล็กซ์ กล่าว

เหนือกว่าทุกอย่าง เบนิเตซ มึนตึ้บ สิงห์บลู เจ๊า เรดดิ้ง ได้ไง!!

เหนือกว่าทุกอย่าง เบนิเตซ มึนตึ้บ สิงห์บลู เจ๊า เรดดิ้ง ได้ไง!!
ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือทีมเชลซี ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย หลังแข้ง สิงห์บลู เสีย 2 ลูกรวด จนโดน เรดดิ้ง ไล่ตีเสมอ 2-2 ช่วงทดเจ็บ ทั้งๆ ท่ี่นำห่าง 2-0 และคุมเกมไว้ได้หมด...สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 31 ม.ค.ว่า เอล ราฟา ราฟาเอล เบนิเตซ รักษาการผู้จัดการทีม เชลซี ยอมรับว่า ไม่รู้จะสรรหาคำใดๆ มาอธิบาย หลังจากลูกทีมโดน เรดดิ้ง เจ้าถิ่นทำช็อก ตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ พลาดสามแต้มไปอย่างเหลือเชื่อ ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาเชลซี มีโอกาสซิวสามแต้มใสๆ จากสนาม มาเดจสกี สเตเดียม หลังจากนำห่าง 2-0 จาก ฮวน มาตา และ แฟรงค์ แลมพาร์ด แต่ เรดดิ้ง ก็ฮึดจนมาตีไข่แตกได้ก่อนหมดเวลา 3 นาที จาก อดัม เล ฟอนเดร ก่อนท่ี่จะเป็นเขาคนเดิม สวมบทฮีโร่ ซัดลูกตีเสมอให้เรดดิ้่ง 2-2 ได้สำเร็จ ในนาทีที่ 95หลังเกม เบนิเตซ ซึ่งกำลังโดนกดดันอย่างหนักจากแฟนบอล สิงห์บลู​ ของตนเอง กล่าวว่า ทุกคนน่าจะเห็นว่า เกมนี้ เราคุมเกมไว้ได้หมดตั้งแต่ตั้งจนจบ มันยากที่จะอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฟรีคิกสุดท้าย เราเล่นกันผิดพลาดหลายอย่าง เรามีโอกาสมากมายที่จะปิดเกมนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เกมมันเปลี่ยนไป เพราะพวกเขาเล่นบอลยาว มันทำให้เราต้องระมัดระวังมากขึ้นกับข้อผิดพลาดต่างๆ จากการรับลูกเซตพีซ พวกเขามีโอกาสยิงครั้งแรก หลังจากนาทีที่ 78 มันยากที่จะอธิบายว่า เราเสมอได้เช่นไรในเกมนี้ เราทุกคนต้องรับผิดชอบ เราต้องกลับมาคิดกันว่า ทำไมเราถึงไม่ชนะเกมนี้ และจะต้องหยุดข้อผิดพลาดเหล่านั้น กุนซือชาวสเปน เสริมทางด้าน ไบรอัน แม็คเดม็อตต์ นายใหญ่ของ เดอะรอยัลส์ กล่าวอย่างหน้าชื่นตาบาน หลังจากขโมย 1 แต้มมาจากเชลซี ได้อย่างไม่น่าเชื่อว่า ผมแทบไม่เห็นข้อผิดพลาดใดๆ ของเชลซีเลย พวกเขาเล่นได้เยี่ยม และทำให้เราลำบาก แต่เราสามารถเสมอกับทีมแชมป์ของยุโรปได้ ตอนที่เราโดนนำ 2-0 กับอีก 3 นาทีสุดท้ายของเกม 90 นาที.

สนธยา เล็งเข้าเยี่ยม กำนันเป๊าะ วันนี้

สนธยา เล็งเข้าเยี่ยม กำนันเป๊าะ วันนี้
สนธยา ยันไร้นัยทางการเมือง จับ กำนันเป๊าะ เผยอาจไปเยี่ยมพ่อวันนี้...จากกรณีหน่วยคอมมานโด กองบังคับการปราบปราม บุกจับเจ้าพ่อภาคตะวันออก กำนันเป๊าะ คาด่านเก็บเงินมอเตอร์เวย์ตามหมายจับศาลฎีกาคดีทุจริตขายที่ดินเขาไม้แก้ว ปี 2549 และคดีจ้างวานฆ่า กำนันยูร คนดังเกาะเสม็ดปี 2555 จำคุกรวมกัน 2 คดีร่วม 30 ปี และได้ถูกควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และในเวลาต่อมา ก็ถูกส่งตัวไปยัง ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เนื่องจากกำนันเป๊าะ เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ จึงต้องเรียกแพทย์มาวินิจฉัยอาการนั้น เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 31 ม.ค. นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม ยังคงเดินทางมาทำงาน ที่กระทรวงวัฒนธรรมตามปกติ ขณะลงจากรถตู้ สังเกตเห็นนายสนธยา มีใบหน้าแจ่มใสมากกว่าวานนี้ จากนั้นได้ขึ้นไปทำงานชั้น 23 โดยมีกำหนดการให้นายต่อ เกรฟ นักแข่งรถรองแชมป์ LMP 2 ปี 2012 ชาวไทย และคณะผู้บริหารจากบริษัท ORECA ซึ่งเป็นธุรกิจด้านมอร์เตอร์สปอร์ต จากประเทศฝรั่งเศส และหลังจากนั้นนายศุภชีพ ดิษเทศ นายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยเข้าพบต่อมาเวลา 10.50 น. นายสนธยา ลงลิฟต์จากชั้น 23 เพื่อมาประชุมจัดทำนโยบายและแผนงบประมาณกระทรวงวัฒนธรรมในปี 2557 ที่ห้องประชุมชั้น 19 โดยมีผู้สื่อข่าวดักรอสัมภาษณ์หน้าลิฟต์เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก นายสนธยา ได้กล่าวทักทายผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดี จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงถามว่า ทราบหรือไม่ว่า กำนันเป๊าะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์แล้ว นายสนธยา กล่าวว่า ทราบตามข่าวตามที่สื่อมวลชนเสนอ เมื่อถามว่า อาการกำนันเป๊าะ ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง นายสนธยา ตอบว่า ก็อาการปกติอย่างที่เขาเป็นอยู่ คนอายุ 76 ปีแล้ว ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การจับกุมกำนันเป๊าะ ครั้งนี้มีนัยทางการเมืองหรือไม่ นายสนธยา กล่าวว่า คิดว่าไม่มีใครจะไปโยงทางการเมืองไม่มีหรอก ไม่มีการพูดคุยประเด็นทางการเมืองทั้งนั้นเมื่อถามต่อว่าได้คุยกับนายกฯ หรือยัง นายสนธยา กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกับใคร การเมืองไม่เกี่ยวเพราะเราเองไม่มีอะไร โดยในช่วงคำถามนี้นายสนธยา เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น โดยผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะเดินทางไปเยี่ยมกำนันเป๊าะ หรือไม่ นายสนธยา กลับหันมาตอบด้วยรอยยิ้มว่าไปวันนี้เลยดีกว่า แต่ขอเข้าประชุมก่อน จากนั้นนายสนธยา ก็เดินเข้าห้องประชุมไปทันที ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากจากคนใกล้ชิดนายสนธยาว่า ตั้งแต่กำนันเป๊าะถูกจับกุมตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ม.ค. นายสนธยา ก็ยังไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมแต่อย่างใด เนื่องจากอยากให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายและนายสนธยา ก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งมากเกินไป เพราะเกรงว่า อาจจะถูกนำไปโยงกับการเมือง แต่อย่างไรก็ตาม นายสนธยา ก็มีความเป็นห่วงพ่ออยู่แล้วและมีคนรายงานอาการและสภาพความเป็นอยู่มาให้ทราบเป็นระยะๆ. 

สนธยา เล็งเข้าเยี่ยม กำนันเป๊าะ วันนี้

สนธยา เล็งเข้าเยี่ยม กำนันเป๊าะ วันนี้
สนธยา ยันไร้นัยทางการเมือง จับ กำนันเป๊าะ เผยอาจไปเยี่ยมพ่อวันนี้...จากกรณีหน่วยคอมมานโด กองบังคับการปราบปราม บุกจับเจ้าพ่อภาคตะวันออก กำนันเป๊าะ คาด่านเก็บเงินมอเตอร์เวย์ตามหมายจับศาลฎีกาคดีทุจริตขายที่ดินเขาไม้แก้ว ปี 2549 และคดีจ้างวานฆ่า กำนันยูร คนดังเกาะเสม็ดปี 2555 จำคุกรวมกัน 2 คดีร่วม 30 ปี และได้ถูกควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และในเวลาต่อมา ก็ถูกส่งตัวไปยัง ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เนื่องจากกำนันเป๊าะ เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ จึงต้องเรียกแพทย์มาวินิจฉัยอาการนั้น เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 31 ม.ค. นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม ยังคงเดินทางมาทำงาน ที่กระทรวงวัฒนธรรมตามปกติ ขณะลงจากรถตู้ สังเกตเห็นนายสนธยา มีใบหน้าแจ่มใสมากกว่าวานนี้ จากนั้นได้ขึ้นไปทำงานชั้น 23 โดยมีกำหนดการให้นายต่อ เกรฟ นักแข่งรถรองแชมป์ LMP 2 ปี 2012 ชาวไทย และคณะผู้บริหารจากบริษัท ORECA ซึ่งเป็นธุรกิจด้านมอร์เตอร์สปอร์ต จากประเทศฝรั่งเศส และหลังจากนั้นนายศุภชีพ ดิษเทศ นายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยเข้าพบต่อมาเวลา 10.50 น. นายสนธยา ลงลิฟต์จากชั้น 23 เพื่อมาประชุมจัดทำนโยบายและแผนงบประมาณกระทรวงวัฒนธรรมในปี 2557 ที่ห้องประชุมชั้น 19 โดยมีผู้สื่อข่าวดักรอสัมภาษณ์หน้าลิฟต์เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก นายสนธยา ได้กล่าวทักทายผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดี จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงถามว่า ทราบหรือไม่ว่า กำนันเป๊าะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์แล้ว นายสนธยา กล่าวว่า ทราบตามข่าวตามที่สื่อมวลชนเสนอ เมื่อถามว่า อาการกำนันเป๊าะ ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง นายสนธยา ตอบว่า ก็อาการปกติอย่างที่เขาเป็นอยู่ คนอายุ 76 ปีแล้ว ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การจับกุมกำนันเป๊าะ ครั้งนี้มีนัยทางการเมืองหรือไม่ นายสนธยา กล่าวว่า คิดว่าไม่มีใครจะไปโยงทางการเมืองไม่มีหรอก ไม่มีการพูดคุยประเด็นทางการเมืองทั้งนั้นเมื่อถามต่อว่าได้คุยกับนายกฯ หรือยัง นายสนธยา กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกับใคร การเมืองไม่เกี่ยวเพราะเราเองไม่มีอะไร โดยในช่วงคำถามนี้นายสนธยา เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น โดยผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะเดินทางไปเยี่ยมกำนันเป๊าะ หรือไม่ นายสนธยา กลับหันมาตอบด้วยรอยยิ้มว่าไปวันนี้เลยดีกว่า แต่ขอเข้าประชุมก่อน จากนั้นนายสนธยา ก็เดินเข้าห้องประชุมไปทันที ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากจากคนใกล้ชิดนายสนธยาว่า ตั้งแต่กำนันเป๊าะถูกจับกุมตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ม.ค. นายสนธยา ก็ยังไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมแต่อย่างใด เนื่องจากอยากให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายและนายสนธยา ก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งมากเกินไป เพราะเกรงว่า อาจจะถูกนำไปโยงกับการเมือง แต่อย่างไรก็ตาม นายสนธยา ก็มีความเป็นห่วงพ่ออยู่แล้วและมีคนรายงานอาการและสภาพความเป็นอยู่มาให้ทราบเป็นระยะๆ. 

มาร์คยันสุเทพพร้อมแจงปมประมูลโรงพัก

มาร์คยันสุเทพพร้อมแจงปมประมูลโรงพัก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมชี้แจงปมประมูงสร้างโรงพักฉาว ให้เจ้าตัวตัดสินใจจะฟ้องกลับดีเอส อีกหรือไม่ ชี้รวบ กำนันเป๊าะ ตัวอย่างการบังคับใช้กฎหมาย... นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจกองปราบปราม สามารถจับกุมตัว นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ ที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีในการบังคับใช้กฎหมาย และเป็นตัวอย่างสำหรับการดำเนินคดีกับบุคคลอื่น ที่ถูกตัดสินแล้ว รวมถึงกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย ถือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่จะทำให้สังคมยอมรับว่าประเทศไทย พยายามบังคับใช้กฎหมายจริงจัง เจ้าหน้าที่จึงมีหน้าที่ ต้องดำเนินการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เคยระบุว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับมาจะไปรับด้วยตัวเอง จะเป็นสัญญาณว่ากฎหมาย จะไม่ถูกบังคับใช้หรือไม่นั้น ว่า ส่วนตัวเห็นว่า หากไปรับเพื่อนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปส่งคุก ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะสิ่งแรกที่ต้องทำหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไทยคือ การไปรับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาก่อน และจะเป็นจุดเริ่มต้นว่าทุกฝ่ายยอมรับกฎหมาย ส่วนหลังจากนั้นจะมีกระบวนการอะไรตามกฎหมายก็ว่ากันไป“มาร์ค” ยัน “เทือก” พร้อมแจงกรณีโรงพักตอม่อผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะดำเนินคดีกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ เกี่ยวกับการก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศ ว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งได้สอบถามนายสุเทพ ก็ยืนยันว่าพร้อมที่จะชี้แจงทุกอย่าง และในวันนี้ก็มีการถามกระทู้ของรัฐบาลในสภาฯ ด้วย ส่วนนายสุเทพ จะมีการฟ้องกลับดีเอสไอเหมือนกับที่ได้ฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีดีเอสไอและพวกไปก่อนหน้านี้ ในคดีที่ตั้งข้อหาตนและนายสุเทพว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลหรือไม่นั้น คงต้องถามนายสุเทพว่าจะตัดสินใจอย่างไร เพราะอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริง สำหรับความล่าช้าในการก่อสร้างโรงพัก ที่หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นนั้น ตนเห็นว่า ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้เคยอภิปรายในสภาฯ และปัญหาก็อยู่ในมือของรัฐบาลชุดนี้ มานานถึงเกือบหนึ่งปีครึ่งแล้ว จึงไม่ทราบว่า เรื่องที่ร้องเรียนมามีปัญหาตรงไหน อย่างไร แต่นายสุเทพยืนยันว่า พร้อมพิสูจน์ความจริงทุกอย่าง และได้สอบถามผู้ปฏิบัติเกี่ยวการกล่าวหาว่ามีการรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่รองนายกรัฐมนตรีนั้นก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องปกติห่วงทุนนอกไหลเข้า ทำเกิดฟองสบู่ เตือนรัฐอย่าแทรกแซง ธปท. พร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องว่า ทางการต้องดูไม่ให้เกิดความผันผวนมากจนเกินไป พร้อมดูแลเงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามา ต้องดูแลไม่ให้เกิดฟองสบู่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีมาตรการในการดูแล ส่วนความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่าง นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน ธปท. กับนายประสาน ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. เกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่นายวีรพงษ์เห็นว่า ควรกดดอกเบี้ยลงต่ำเพื่อป้องกันเงินทุนไหลเข้า แต่นายประสาน มองว่า ไม่ใช่แนวทางในการแก้ปัญหานั้น ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่จะต้องพิจารณา ที่มีหลักเกณฑ์โดยยึดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นหลักอยู่แล้ว ทั้งนี้ ยังเห็นว่าการจะใช้เรื่องดอกเบี้ย มาแก้ปัญหาต้องมองอย่างสมดุลด้วย คือ ถ้าเห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะต้องลดแรงกดดันเงินเฟ้อ ก็ต้องขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้น แต่การขยับขึ้นจะมีผลต่อเรื่องเงินทุนไหลเข้า เพราะฉะนั้น ก็ต้องดูให้เกิดความพอดี โดยอย่าให้เป็นเรื่องการเมือง ขอให้เป็นเรื่องทางเทคนิคว่าจะควบคุมเงินเฟ้อ กับการไหลเข้าของเงินต่างประเทศอย่างไร แต่ต้องไม่ใช่ทำเพื่อหวังประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปใช้ในทางการเมือง ส่วนความกังวลเกี่ยวกับการเก็งกำไรค่าเงินบาทนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยไม่ได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ตายตัว ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรเอาตัวเองไปอยู่ในสถานะที่เหมือนกับต้องไปต่อสู้กับใคร โดยเห็นว่าหากรัฐบาลดูแลเงินทุน ที่เข้ามาไม่ให้เป็นฟองสบู่ได้ก็จะไม่เกิดปัญหากับเศรษฐกิจไทย และมีความเชื่อมั่นในบุคลากรของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการดูแลโดยการเมืองอย่าเข้าไปแทรกแซง และธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีกฎหมายคุ้มครองอยู่.

มาร์คยันนิรโทษกรรมต้องไม่เกี่ยวคดีอาญาและการทุจริต

มาร์คยันนิรโทษกรรมต้องไม่เกี่ยวคดีอาญาและการทุจริต
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วอนนายกรัฐมนตรีสานต่อเป็นเจ้าภาพจัดเวิลด์ เอ็กซ์โปร 2020 ยืนยันประเทศได้ประโยชน์ ฝ่ายค้านหนุนเต็มที่ พร้อมแจงที่มาข่าว ซูเอี๋ย ล้มคดีฟ้องหมิ่น จตุพร ขณะกรณีนิรโทษกรรม พรรคประชาธิปัตย์ยันต้องไม่เกี่ยวคดีอาญาและการทุจริต...วันที่ 31 ม.ค. ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวหลังจากที่คณะทำงานคัดเลือกประเทศเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โปร เข้าพบว่า อยากให้รัฐบาลนี้สานต่อสิ่งที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้เสนอตัวให้ไทยเป็นเจ้าภาพงานนี้ ซึ่งจะมีขึ้นในปี 2563 เพราะเป็นโอกาสของประเทศ ซึ่งฝ่ายค้านยืนยันสนับสนุนเต็มที่ โดยได้ย้ำจุดแข็งของประเทศเราเรื่องการท่องเที่ยว และพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ก็มีความหมายทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวคิดในการกระจายเมืองออกไปด้วย และยังมีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่เหมาะสมกับชาวโลกและชาวไทย ให้ยึดแนวทางปรัชญาพอเพียง จึงอยากให้รัฐบาลมีทีมทำงานเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ไม่ควรปล่อยให้หน่วยงานเดียวทำ จากนี้ไปผู้นำหรือรัฐมนตรี ไปประเทศไหนก็ต้องหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาขอความสนับสนุน หรือเดินสายขอคะแนน แต่ถ้ารัฐบาลไม่เดินหน้า ประเทศก็จะเสียโอกาส เพราะเป็นงานใหญ่ระดับต้นๆ ของโลกเมื่อถามว่า มีข่าวทำนองว่ารัฐบาลไทยอาจจะตัดสินใจไม่แข่งขันเต็มที่เพื่อเปิดทางให้ดูไบ ได้รับการคัดเลือกเป็นเจ้าภาพจัดแทน เพราะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำดูไบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็เป็นห่วงเช่นกัน นายกฯ ต้องรีบยืนยันที่จะเดินหน้าและเป็นผู้นำในการมอบหมายให้รองนายกฯ หรือรัฐมนตรี ระดมหน่วยงานหารือกันเพื่อหาเสียงทั่วโลก อย่าไปคิดว่างานนี้เป็นของรัฐบาลประชาธิปัตย์เริ่มต้นไว้ เพราะหากจะได้จัดจริงก็ต้องรอเวลาอีก 7 ปีข้างหน้า ซึ่งในวันนั้นก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีนอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า จะไกลเกลี่ยกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. หลังจากที่ดำเนินการฟ้องร้องนายจตุพรฐานหมิ่นประมาท โดยระบุว่า กรณีนี้ตนได้ฟ้องนายจตุพรในข้อหาหมิ่นประมาทเป็นคดีที่ 4 และตัดสินไปแล้ว 3 คดีโดยมีการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว ซึ่งสัปดาห์ที่แล้วศาลได้นัดสืบพยานฝ่ายของนายจตุพรในฐานะจำเลย และตนก็จะไม่ได้ไป โดยศาลได้ยกประเด็นการไกล่เกลี่ยขึ้นมาว่าเป็นนโยบายของศาล ตนก็บอกทนายความไปว่า จำเลยต้องยอมรับว่าสิ่งที่พูดกล่าวหาหมิ่นประมาทตนทั้งหมดเป็นเท็จ และต้องประกาศข้อเท็จจริงในหน้าหนังสือพิมพ์ พร้อมเงื่อนไขว่าจะไม่มีการทำเช่นอีก เพราะจะไปบอกว่าไม่ร่วมมือกับศาลไม่ได้ ในส่วนของนายจตุพรก็เข้าใจว่า มาเสนอว่าจะขอถอนคำพูดในทำนองนั้น ปรากฏว่าศาลได้สั่งว่า ขอให้ตนไปด้วยตัวเองในการนัดสืบพยานครั้งต่อไปในเดือน มี.ค .ฉะนั้น เมื่อตนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็ต้องปฏิบัติ แต่ยังไม่มีการตกลง เพราะเป็นสิทธิ์ของตน สุดท้ายว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่ยืนยันว่าจะให้เปลี่ยนจุดยืนนั้น ไม่มีแน่ จะให้ไปซูเอี๋ยทำไม ยืนยันว่าขณะนี้มันยังไม่มีการตกลงส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยยื่นเรื่องให้ประธานสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของนายอภิสิทธิ์นั้น นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่า คำสั่งที่อ้างว่าตนขาดคุณสมบัตินั้น เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบโดยกฎหมาย และตนได้ฟ้องศาลปกครองไปแล้ว ฉะนั้น เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องไปจบที่ศาลอยู่แล้ว ทั้งศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และตนก็ไม่ได้กังวลใดๆ ในเรื่องนี้ ให้เป็นไปตามกระบวนการพร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า ได้เสนอเป็นรูปธรรมไปนานแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมสนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ที่กระทำความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่รวมกับผู้ที่ทำผิดคดีอาญาและคดีทุจริต ที่สำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะเข้าเป็นแม่งานในเรื่องนี้ แต่อยู่ที่ความจริงใจว่า จะเอาจุดร่วมที่เป็นจุดเริ่มต้นของความปรองดองมาใช้หรือไม่ ถ้ายึดผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มก็ไม่จบ เพราะหากรัฐบาลยังมีแนวคิดว่าการปรองดองจะเริ่มต้นได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องพ้นผิดด้วย ก็จะทำให้เริ่มต้นไม่ได้ จึงเห็นว่าควรจะช่วยกันหาทางออกให้กับจุดที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ คือ รัฐบาลถอนกฎหมายปรองดอง 4 ฉบับ ที่ค้างอยู่ในสภาฯ ออกไป จากนั้นมาหารือกันจะให้สภาฯ หรือใครเป็นเจ้าภาพ และกำหนดให้ชัดว่า จะนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้น แต่รัฐบาลก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับในเรื่องนี้ จึงขึ้นอยู่กับว่านายกรัฐมนตรีจะเห็นแก่ชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีในเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือยังเห็นแก่พี่ชาย เพราะถ้าเห็นแก่ชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี หรือผู้ชุมนุมในกรณีฝ่าฝืนการห้าม ชุมนุมก็มาแก้ตรงนี้ทุกอย่างก็จบ.

Tuesday, January 29, 2013

นายกฯไม่รับปาก จะทำตามข้อเรียกร้อง นปช.

นายกฯไม่รับปาก จะทำตามข้อเรียกร้อง นปช.
นายกฯ ตีกรรเชียงนิรโทษกรรม โยนกฤษฎีกาศึกษาข้อดี ข้อเสียก่อน ไม่รับปากตอบสนองข้อเสนอภายใน 18.00 น. วันนี้ แย้ม ปรับ ครม.เฉพาะในส่วนพรรคร่วมรัฐบาล...   วันนี้ (29 ม.ค.56) เวลา 12.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงกลุ่มแนวร่วม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง เรียกร้องให้รัฐบาลรับข้อเสนอการนิรโทษกรรม ให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์ชุมนุมปี 53 ว่า เบื้องต้นมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับข้อเสนอ ซึ่งเท่าที่ทราบมีหลายแนวทางที่ส่งมาให้รัฐบาล โดยขั้นตอนหลังจากนี้ คงจะรับข้อเสนอทั้งหมดรวบรวมส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูข้อดี ข้อเสีย ต่อไป  ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าระหว่างการออกเป็นพระราชกำหนด พระราชบัญญัติ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการนิรโทษกรรม สิ่งไหนจะเหมาะสมที่สุด นายกฯ กล่าวว่า กลับไปเหมือนเดิม ซึ่งขั้นตอนต่างๆ จะต้องช่วยดูว่า จะมีแนวทางอย่างไรให้เกิดความสงบมากกว่า นี้คือจุดมุ่งหมายที่อยากขอเมื่อถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุมยื่นคำขาดขอคำตอบรัฐบาล 6 โมงเย็นวันนี้ นายกฯ กล่าวว่า อย่างที่เรียนมีขั้นตอนตามกฎหมาย และต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาก่อน เราคงต้องรับเรื่อง และต้องเรียนจริงๆว่า ในขั้นตอนกฎหมาย เราไม่สามารถที่จะตอบได้ทันที แต่จะรับเรื่องนี้ทั้งหมดส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อถามว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่ายังไม่ทราบ ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดู เพราะมีหลายรูปแบบ ต้องดูในรายละเอียด อย่างที่เรียนเราเร่งในการเอาข้อมูลต่างๆ ให้คณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาข้อดี ข้อเสียต่างๆ และดูว่า จะมีแนวทางออกอย่างไร ซึ่งแนวทางออกนั้นต้องว่าไปตามขั้นตอนของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยเราต้องทำหน้าที่รวบรวมก่อน  ดังนั้น ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาก่อน เมื่อถามว่า ถือว่าคนเสื้อแดงกำลังกดดันรัฐบาลหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าถือว่าเป็นในแง่ของอุดมการณ์ และเป็นแนวทางที่นำเสนอรัฐบาล ทุกหน่วยงานไม่ว่ากลุ่มไหนส่งเรื่องมา รัฐบาลคงต้องรับเรื่องทั้งหมดไปดำเนินการตามขั้นตอน ตามกฎหมายต่อไป เมื่อถามว่า จะไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวใช่ไหม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่าไม่หรอก เพราะทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นได้ รัฐบาลมีหน้าที่รับฟังความคิดเห็น เพราะความคิดเห็นนั้นเป็นการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่เรียกร้องต่างๆ รัฐบาลจะรับไปดำเนินการ แต่ขอให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย และเป็นไปอย่างสงบส่วนจะกลายเป็นความขัดแย้งรอบใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เป็นแนวทางถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในเชิงของความคิด แต่เชื่อว่าไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งไปก่อให้เกิดเรื่องการใช้กำลังรุนแรง อย่างที่เรียน ระบอบประชาธิปไตย ทุกคนสามารถมีสิทธิเสรีภาพในการออกเสียงได้ แต่ขอให้อยู่ในขอบเขตนายกฯ ย้ำ บชน.เร่งลากคอมือยิงรถข่าว เอเอสทีวี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้ให้สัมภาษณ์ภายหลัง การประชุมคณะรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคนร้ายลอบยิงรถข่าวเอเอสทีวีว่า เมื่อได้ข่าวก็เสียใจกับเหตุการณ์ ขอเรียนว่าไม่ว่าใครเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น และได้ย้ำทางผู้บัญชาการนครบาล ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบ และหาผู้ที่กระทำความผิดโดยเร็ว อันนี้ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ต้องติดตามอยู่แล้วผู้สื่อข่าวถามว่า ถือเป็นการคุกคามสื่อหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าต้องดูว่าเหตุผลอะไร อย่างไร ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ โดยเฉพาะกับสื่อมวลชน จริงๆ แล้วก็ทุกคนด้วย เพราะทุกคนอยากอยู่ด้วยความปลอดภัย ก็ต้องทำหน้าที่ในการติดตามให้เต็มที่ “ปู”แย้มปรับ ครม.เฉพาะพรรคร่วม ด้านความคืบหน้า ในการปรับคณะรัฐมนตรี หลังจากที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ขอ ปรับ ครม.ในส่วนของพรรค หลังนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกฯ และ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ถึงแก่อสัญกรรมว่า จริงๆ แล้วยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน มีการร้องขอจากทางพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเดียว เราคงมองเฉพาะประเด็นนั้นมากกว่า. 

จตุพรพร้อมถอนคำพูดหมิ่นฯมาร์ค

จตุพรพร้อมถอนคำพูดหมิ่นฯมาร์ค
นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมถอนคำพูดหมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ศาลนัดเจรจาประนีประนอม ในวันที่ 8 มี.ค. วันนี้ (29 ม.ค. 56) ที่ศาลอาญา ศาลนัดไกล่เกลี่ยคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม นปช. เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา กรณีวันที่ 11 และ 17 ต.ค. 52 จำเลยกล่าวผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์พีเพิล แชนเนล ในทำนองว่าโจทก์เป็นอาชญากรสั่งฆ่าประชาชน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นัดนี้ นายจตุพรพร้อมทีมทนายความเข้าเจรจากับทนายความฝ่ายนายอภิสิทธิ์ โดยนายจตุพร แถลงต่อศาลว่า จะแถลงการณ์ต่อสาธารณะในลักษณะถอนข้อความเช่นเดียวกับการถอนคำพูดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และปรับความเข้าใจกับโจทก์ ส่วนในรายละเอียดจำเลย ขอเชิญโจทก์มาศาลในนัดหน้า เพื่อเจรจาประนอมข้อพิพาท หากไม่สามารถตกลงกันได้ จำเลยพร้อมที่จะอ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียว ขณะที่ทนายความโจทก์แถลงว่า ขอให้จำเลยแถลงต่อสาธารณะว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง แสดงความขอโทษ และห้ามไม่ให้จำเลยกล่าวข้อความในลักษณะดังกล่าวอีก ศาลเห็นว่าคู่ความประสงค์จะเจรจาประนอมข้อพิพาทกัน เห็นควรให้นัดไกล่เกลี่ยอีกครั้งวันที่ 8 มี.ค. 56 เวลา 09.30 น.

นันท์นภัส เบอร์ 18อาสาขอเป็นผู้ว่าฯรากหญ้า

นันท์นภัส เบอร์ 18อาสาขอเป็นผู้ว่าฯรากหญ้า
นันท์นภัส โกไศยกานนท์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 18 เปิดตัว ขอเป็นผู้ว่าฯรากหญ้า ลุยเดี่ยวหาเสียง รับไม่มีงบประมาณมากมาย แต่มีใจเต็มที่ในการอาสาทำงาน...เมื่อวันที่ 29 ม.ค. นางนันท์นภัส โกไศยกานนท์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 18 เปิดเผยไทยรัฐออนไลน์ถึงที่มาที่ไปในการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ โดยระบุว่า ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ราว 1-2 วัน โดยจุดที่คิดว่าเป็นแรงผลักดันในการตัดสินใจลงสมัครครั้งนี้ มาจากการที่ตนเองก็เผชิญปัญหาใน กทม.อยู่เช่นเดียวกับประชาชนชาวกรุงเทพฯทุกคน และคิดว่าน่าจะออกมาเสนอตัวรับใช้เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่ กทม.ต้องรับภาระอยู่ โดยถือว่าตนเองเป็นผู้สมัครที่มาจากรากหญ้าโดยแท้จริง มาเพียงลำพัง ไม่มีเงินทุนมากมายที่จะมาเทลงในการหาเสียงเหมือนเช่นที่ผู้สมัครรายอื่นทำ โดยตั้งเป้าการใช้เงินลงทุนสำหรับการหาเสียงครั้งนี้ที่ 1-2 แสนบาท เท่านั้น โดยยอมรับว่าไม่มีเงินงบประมาณมากมายในการหาเสียง แต่มีใจพร้อมในการอาสาเข้ามาทำงาน ซึ่งหลังจากที่ได้อบรมเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ กับทาง กกต.แล้ว ก็คงจะเริ่มลงพื้นที่ โดยสิ่งที่ประชาชนจะได้เห็นในระยะแรก อาจจะเป็นภาพของตนเองที่เดินพบปะผู้คน และทำความรู้จักแบบลุยเดี่ยว เดินแจกเอกสารแนะนำตัว ส่วนต่อไปหากมีผู้ร่วมคิดร่วมทำก็อาจมีคนช่วยหาเสียงด้วยในอนาคตอย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับนโยบายที่จะใช้เป็นหลักในการหาเสียงครั้งนี้ อยากเรียกว่า ผู้ว่าฯดิลิเวอรี่ ที่ตั้งใจไว้คือ 1 สัปดาห์ของการทำงานจะต้องมี 1 วันที่ผู้ว่าฯ จะมีโอกาสได้พบปะหารือกับประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อรับฟังปัญหาโดยตรง ไม่ต้องรอผ่านขั้นตอนการร้องเรียนใดๆ ประชาชนสามารถมาพบได้ พูดคุยด้วยได้ ด้วยตัวเอง ส่วนปัญหาเรื่องการจราจรนั้น ส่วนตัวมองเห็นภาพว่าการแก้ไขปัญหานี้คงต้องใช้บุคลากรที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก แต่จะทำอย่างไรให้ตำรวจจราจรเหล่านั้น กระตือรือร้นที่จะทำงานอย่างเต็มที่ กรุงเทพมหานคร ต้องมีการสร้างแรงจูงใจให้พี่น้องตำรวจจราจรลงไม้ลงมือช่วยอย่างเต็มที่  อาจจะเป็นการตอบแทนในลักษณะต่างๆ ส่วนการให้บริการระบบขนส่งมวลชนนั้นก็เช่นกัน คงต้องตั้งเป้าที่การพัฒนาคุณภาพของรถประจำทางให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนจะดำเนินการอย่างไรก็ต้องไม่เกินเลยอำนาจที่ผู้ว่าราชการมีอยู่ด้วย ซึ่งอาจต้องใช้การประสานงานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยกันแก้ไขนอกจากนี้ นางนันท์นภัส ยังกล่าวต่ออีกด้วยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. เป็นต้นไปคงจะเริ่มลงพื้นที่ทำความรู้จักกับประชาชน ส่วนจะเริ่มที่จุดไหนอย่างไรนั้น ยังไม่ได้กำหนดจุดที่ชัดเจน แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะตนเองลุยเดี่ยว ไปคนเดียว อยากลงพื้นที่จุดไหนก็สามารถทำได้เลยทันทีสำหรับประวัติของนางนันท์นภัส โกไศยกานนท์ นั้น อายุ 52 ปี การศึกษาจบปริญญาตรีจากสถาบันรัชต์ภาคย์ เอกการตลาด และอยู่ระหว่างศึกษาปริญญาโท ปัจจุบันประกอบอาชีพส่วนตัว สถานภาพสมรส เป็นม่าย มีบุตร 2 คน. 

Sunday, January 27, 2013

พร้อมพงศ์ ป้อง ปึ้ง ปัดเป็นโฆษกกัมพูชา

พร้อมพงศ์ ป้อง ปึ้ง ปัดเป็นโฆษกกัมพูชา
พร้อมพงศ์ โฆษก พท.จวก ถาวร ไม่สร้างสรรค์ กล่าวหา รมว.กต เป็นโฆษกกัมพูชา หวั่นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ท้า ปชป. ตั้งกรรมการสอบสร้างโรงพักแทน ... เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ม.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณี นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่มีการกล่าวหารัฐบาล จากที่ได้มีการประชุมทีมทนายความและหน่วยความมั่นคง ในเรื่องการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารว่ารัฐบาล โกหกประชาชน รวมถึงกล่าวหานายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ว่าเป็นโฆษกรัฐบาลกัมพูชานั้น ว่าพรรคเพื่อไทยปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แกนนำพรรคเพื่อไทยบริหารบ้านเมืองในลักษณะเป็นมิตร ซึ่งต่างจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เปลี่ยนสนามการค้าเป็นสนามการรบ โดยพรรคเพื่อไทยยืนยันว่ารักษาดินแดนและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทุกกระทรวงร่วมกันประชุมเพื่อสู้คดีให้ถึงที่สุด การกล่าวหาของนายถาวรว่ารัฐบาลจวนตัวดิ้นโกหกประชาชนนั้น มองว่าเป็นการออกมาให้ข่าวแบบไม่สร้างสรรค์และมุ่งเน้นใช้วาทกรรมทางการเมืองมากกว่า และทีมกฎหมายต่อสู้คดีที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาก็เป็นทีมเดิมตั้งแต่สมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนม้ากลางศึก อีกทั้ง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ จะไปประชุมที่ประเทศอังกกฤษร่วมกับทีมที่ปรึกษากฎหมายในเดือน ก.พ.นี้นั้น ก็จะสู้ทุกประเด็นทุกเรื่อง นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ควรหันมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลมากกว่าการให้สัมภาษณ์ บินเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร วันนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลพรรคไหนๆ ทุกคนมีเลือดความเป็นไทย ต้องรักษาผืนแผ่นดินไทยทุกตารางนิ้ว การดำเนินการในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นการบิดเบือนข้อมูล ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม พรรคประชาธิปัตย์ควรนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์ มีประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม นายอภิสิทธิ์ก็เคยเป็นนายกฯ น่าจะรู้ปัญหาข้อพิพาทดี ไม่ควรนำมาโจมตี เพราะจะกระทบความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและการดำเนินคดีได้โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการตรวจสอบโรงพักทดแทน โดยเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคู่ขนานกับดีเอสไอว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร บริษัทที่ได้รับการประมูลเชื่อมโยงนักการเมืองจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าจะไม่ชอบในโครงการไทยเข้มแข็ง นายอภิสิทธิ์ควรสำนึกบาป อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง.

‘มาร์ค’ควง ‘คุณชาย’ ลุย ขอคะแนนชาวบางกะปิเลือก ผู้ว่าฯกทม.

‘มาร์ค’ควง ‘คุณชาย’ ลุย ขอคะแนนชาวบางกะปิเลือก ผู้ว่าฯกทม.
‘มาร์ค’ ควง ‘คุณชาย’ ลุย ขอคะแนน ‘ชาวบางกะปิ’ เลือก ผู้ว่าฯ กทม. ปัด สั่งระดม ส.ส.พรรคทั่วประเทศ ช่วยหาเสียง ยันพร้อมช่วยรัฐบาล แจงศาลโลกสู้คดีพระวิหาร หนุนเลือกตั้งผู้ว่าฯ บริสุทธิ์ ยุติธรรมวันที่ 27 ม.ค. ที่ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์บางกะปิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรค ปชป. พร้อมนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.เขตบางกะปิ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ ในการรณรงค์ หาเสียงในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ท่ามกลางพี่น้องประชาชน ที่ให้ความสนใจพูดคุย ให้กำลังใจและ รุมขอถ่ายภาพกันอย่างคึกคักเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังได้ร่วมกันทำกิจกรรมเล่นเกมครอสเวิร์ด (ต่อคำศัพท์) ที่กำลังจัดแข่งกันที่บริเวณลานอเนกประสงค์ ชั้นจี กับเยาวชนที่มาร่วมแข่งขันภายในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ สาขา บางกะปิ อีกด้วยทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ผอ.การเลือกตั้งพรรค ปชป. ออกมายอมรับว่า พรรคมีการสั่งระดม ส.ส.ทั้งจากภาคใต้-ภาคเหนือ ทั่วประเทศ ให้ช่วยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในครั้งนี้ว่า  ไม่ใช่หรอกครับ ความจริงในการหาเสียงทุกที่ พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนเลือกตั้งซ่อม ก็จะระดม ส.ส.ทั่วประเทศมาช่วย  ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ไปพบปะ ส.ส. พรรคก็ไปกำหนดแผน กำหนดพื้นที่ที่จะช่วย  ทั้งนี้ ยืนยันว่า นี่ไม่ได้เป็นการปรับทัพ ปรับแผน หลังมีโพลออกมาระบุว่า คะแนนเป็นรอง  ผมย้ำแล้วว่าโพลไม่เห็นมีอะไรตื่นเต้นเลย  โพลมีทั้งแพ้ทั้งชนะ ผมขอเอาชนะวันเลือกตั้งพอส่วนกรณีที่มีผลโพลเรื่องเขาพระวิหาร ออกมาเช่นกัน ทั้งยังระบุว่า เรื่องนี้จะจบไม่สวย มีความเห็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าประชาชนมีความกังวล และรัฐบาลมีหน้าที่ต้องคลายความกังวลนั้น ผมยืนยันว่าฝ่ายค้าน พร้อมช่วยรัฐบาลในเรื่องนี้ แต่รัฐบาลต้องมีความมุ่งมั่นว่า จะทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง ในเรื่องนี้  ถ้ารัฐประกาศ เอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง พวกผมจะได้ช่วยกันอย่างเต็มที่  ขอรัฐหยุดชวนทะเลาะ แล้วชวนคนไทยมาร่วมต่อสู้คดี ในศาลโลกให้ชนะดีกว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวอีกว่า เราต้องการให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริต และมีความเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นผู้ว่าฯ กทม.คงไม่ลาออกมาก่อนกำหนด เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ ฉะนั้น ใครจะมาช่วยกันตรวจสอบก็ดี เราชอบ ขอให้ฝ่ายที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องตรวจสอบกันให้หมด โดยเฉพาะที่มีข่าวว่า เริ่มมีเรื่องเงินลงไปในพื้นที่เลือกตั้งแล้ว ทั้งนี้ ขอย้ำว่า แนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของพรรคชัดเจนมาตลอด ท่านผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ก็ชัดเจน กับคำถามที่ว่า กลัวหรือไม่ว่าผลโพล ที่ออกมาจะไปชี้นำประชาชน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่กลัวครับ  ผมเชื่อมั่นในวิจารณญาณของผู้เลือกตั้งชาวกรุงเทพฯ โพลก็เป็นหน้าที่ของแต่ละสำนักให้ทำไป ให้ทำอย่างเที่ยงตรง ตามวิชาชีพเขา แล้วทุกคนก็ทราบดี โพลก็เปลี่ยนแปลงตลอด ที่ผ่านมาส่วนตัวเห็นว่า ตัวเลขที่ออกมาไม่มีนัย เพราะคะแนนที่ออกมา เข้าใจว่า ถ้าพูดถึงนัย สำคัญทางสถิติ ยังไม่มีด้วยซ้ำ คะแนนที่ต่างกันก็สูสีมาก.

โสภณชูไอเดียหนุนใช้จักรยานในกรุง เปิดจุดเช่าลงทุนไม่มาก

โสภณชูไอเดียหนุนใช้จักรยานในกรุง เปิดจุดเช่าลงทุนไม่มาก
โสภณ อาศัยโซเชียลมีเดีย แถลงข่าวแนวทางส่งเสริมใช้จักรยานใน กทม. เสนอเปิดจุดให้เช่า 1,000 จุดทั่วทุกเขตใช้เงินลงทุนไม่เกิน 400 ล้าน คิดค่าเช่าวันละ 20 บาทให้คนขี่ไปทำงานทำธุระ ยืนยันทำได้จริงลดการใช้น้ำมัน ดีต่อสุขภาพ...เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2556 นายโสภณ พรโชคชัย ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในนามอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว แถลงข่าวถึงแนวทางการส่งเสริมการใช้จักรยาน ภายหลังจากผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. จาก 2 พรรคใหญ่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้จักรยานใน กทม.โดยระบุว่า การส่งเสริมการใช้จักรยานทำได้จริง เพียงทำจักรยานเช่าให้แพร่หลายเพื่อการใช้สอยจริงในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางไปทำงานแต่ละวัน ไม่ใช่เน้นเพื่อนักท่องเที่ยวโดยให้มีจุดเช่าคืน ประมาณ 1,000 จุดทั่วเขต กทม.ชั้นใน-กลาง และส่งเสริมให้มีการใช้จักรยานสม่ำเสมอ หากแต่ละจุดมีจักรยานให้เช่า 40 คัน รวม 40,000 คันๆ ละ 3,000 บาท ก็ใช้เงินเพียง 160 ล้านบาท ค่าสถานที่และจัดการอีกประมาณ 1 เท่าตัว โครงการนี้ก็จะสำเร็จได้ด้วยเงินเพียงไม่เกิน 400 ล้านบาท และหากมีการส่งเสริมการใช้จักรยานให้เช่าขี่ไปทำงานหรือไปติดต่อธุระมากขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มจำนวนจักรยานบนท้องถนนและทำให้การขี่ปลอดภัยขึ้น  ขณะที่ด้านการเงินค่าเช่ารถแต่ละวัน ประมาณ 20 บาท กำไรสุทธิร้อยละ 20 หรือเพียง 4 บาท แต่เมื่อโครงการอยู่ตัว แต่ละวันมีผู้เช่าเพียงร้อยละ 30 ของรถทั้งหมด หรือมีผู้เช่า 12,000 คัน จากทั้งหมด 40,000 คัน ปีหนึ่งจะมีรายได้สุทธิ 17.52 ล้านบาท หรือมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณร้อยละ 4.4 ซึ่งแม้จะไม่สูงนักแต่ไม่ขาดทุน และผลดีที่ได้คือการลดใช้น้ำมันที่มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ การลดมลภาวะ และการมีสุขภาพที่ดีจากการออกกำลังกาย อีกทั้งแนวทางการดำเนินการด้วยงบฯ เท่านี้ ก็อาจขอความอนุเคราะห์จากวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ ก็ทำให้โครงการนี้เป็นจริงได้ โดย กทม.แทบไม่ต้องเสียเงินเลย  นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญที่พึงพิจารณาก็คือ ทำไมที่ผ่านมาส่วนราชการฝ่ายการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการโดยเร็ว แต่มารณรงค์กันในช่วงเลือกตั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่าคงเป็นเพราะโครงการนี้มีมูลค่าไม่มากนัก จึงอาจไม่จูงใจให้ดำเนินการเท่าโครงการที่มีมูลค่าสูงอื่นๆพร้อมกันนี้ยังได้แจ้งกำหนดการในวันจันทร์ที่ 28 ม.ค. เวลา 07.00 น. จะลงพื้นที่บริเวณสะพานลอยเชื่อมต่อระหว่างรถ BRT และรถไฟฟ้า BTS สาทร-นราธิวาส โดยจะชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนเพิ่มเติม และการแปลงรถ BRT ให้เป็น BTS หรือ Light Rail หากได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. ต่อไป

Saturday, January 26, 2013

ปชป.ยก3เหตุผลโต้สุรพงษ์ปมพระวิหาร

ปชป.ยก3เหตุผลโต้สุรพงษ์ปมพระวิหาร
                      26 ม.ค.56 นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ได้นำคำพูดของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่า การที่ไทยต้องขึ้นศาลโลกกรณีปราสาทพระวิหาร เป็นเพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หากเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็จะไม่ยอมให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นว่า เรื่องที่รมว.ต่างประเทศพูดนั้นถูกต้อง แต่ตนขอพูดต่อถึงสาเหตุที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ต้องดำเนินการนั้น เป็นเพราะ 1. รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะปกป้องดินแดนในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกัมพูชาพยายามที่จะครอบครอง จึงเป็นเหตุให้กัมพูชาไม่พอใจและนำไปสู่การยื่นศาลโลก โดยต้องการที่จะครอบครองพื้นที่ดังกล่าวเพียงประเทศเดียว ขอถามว่าเหตุที่พูดเข้าข้างและเห็นกัมพูชาดี เป็นเพราะจะยกพื้นที่ดังกล่าวให้ด้วยหรือไม่ 2 .เรื่องพื้นที่ทางทะเลที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยกเลิกเรื่องเส้นเขตแดนเพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเสียประโยชน์ และเป็นการพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่พอใจ                       “ถ้าไม่มีพรรคประชาธิปัตย์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือ 1. กัมพูชาจะขึ้นทะเบียนพระวิหารได้โดยสมบูรณ์ 2.พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรก็จะเป็นของกัมพูชา โดยผ่านการรับรองจากคณะกรรมการมรดกโลก และ 3 .ใช้แผนที่ทางทะเลฮุบเอาทรัพยากรประเทศ และอาจจะดำเนินการในการให้สัมปทานกับบริษัทเอกชนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตนจึงขอถามไปยังประชาชนว่า ระหว่าง 3 สิ่งที่ตนได้กล่าวมา กับการดำเนินการเพื่อปกป้องความสงบ ปกป้องแผ่นดิน และทรัพยากรประชาชนจะเลือกเอาแบบไหน   'ปชป.' ขอบคุณปชช.ร่วมฟังปราศรัย 'เปิดยุทธศาสตร์ 16 ข้อ'                         นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรก ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อช่วยม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ถือเป็นปราศรัยใหญ่ครั้งแรกของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ร่วมรับฟัง โดยเมื่อวานนี้ถือเป็นเป็นวันแรกที่มีการเปิดยุทธศาสตร์16 ข้อ ซึ่งหวังว่า ประชาชนจะเห็นว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พรรคมีผลงานชัดเจนเป็นรูปธรรม และหาก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ได้รับการคัดเลือก ก็จะสานงานเหล่านั้นต่อได้ทันที นี่จึงถือเป็นเป็นคำมั่นสัญญาที่พรรคได้ให้ไว้กับประชาชน                       โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยปราศรัยนั้น เราได้พูดมาแต่ต้นว่าอยากให้การแข่งขันเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ นำเสนอนโนบายที่มีประโยชน์ แต่ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยกลับใช้วิธีการโจมตี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยใช้นโยบายหาเสียงให้สร้างสรรค์มากกว่าที่จะมาโจมตีใส่ร้าย เพื่อให้พี่น้องได้รับประโยชน์สูงสุด                       ส่วนกรณีที่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย มีการยกนโยบายที่อยู่นอกอำนาจผู้ว่ากทม.นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ตนไม่อยากให้ใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่มาจับประชาชนเป็นตัวประกัน เช่น กรณีรถเมล์ฟรี เรือฟรีนั้น หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยคิดว่ามีความพร้อมในนโยบายดังกล่าวจริงตนขอถามว่า เหตุใดที่ผ่านมาจึงไม่ทำ และขอเรียกร้องว่าให้ทำเดี๋ยวนี้ หรือว่าประชาชนจะได้รับการดูแล ก็ต่อเมื่อเลือกคนของเพื่อไทยเป็นผู้ว่ากทม.เท่านั้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะตรงกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยพูดในการหาเสียงว่า ถ้าจังหวัดไหนเลือกส.ส.ของพรรคเพื่อไทยก็จะช่วยจังหวัดนั้นก่อน ตนมองว่าการทำเช่นนี้ถือว่าไม่ได้ใช้หลักประชาธิปไตยที่ถูกต้อง อีกทั้งในการแข่งขัน รัฐบาลไม่ควรสร้างแต้มต่อ จึงอยากเรียกร้องให้ต่อสู้ด้วยกติกาบริสุทธิ์ยุติธรรม                       ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผยข้อมูลโดยพบว่า มีการย้ายประชาชนจากพื้นที่นอกกทม.เข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้านในกทม. เพื่อที่จะสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ได้นั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้พรรคได้ให้ส.ส.ของพรรคเข้าไปตรวจสอบในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และหากมีการดำเนินการดังกล่าวจริงก็ต้องมาดูว่าการย้ายประชาชนจากนอกพื้นที่เข้ามาอยู่ทะเบียนบ้านในกทม. มีการดำเนิการอย่างถูกต้อง และเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ส่วนที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า จะระดมส.ส.ในพื้นที่ภาคอีสานมาช่วยหาเสียงนั้นเห็นว่า สิทธิที่สามารถทำได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และต้องไม่มีการปราศรัยโจมตี   'ปชป.' จี้ทีมศก.รัฐบาลช่วยSME หลังค่าเงินบาทแข็ง                         นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นห่วงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่ค่าเงินทางแข็งค่าขึ้นมากเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน ทำให้การแข่งขันโดยเฉพาะการส่งออก ของเอกชนไทยโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นนั้นเกิดจากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทุ่มเงินดอลล่าห์ลงมาในตลาดมาก ทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลงและมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงอีก เพราะฉะนั้นอยากเรียกร้องรัฐบาลว่า ให้มีมาตรการดูแลภาคเอกชนธุรกิจส่งออกที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเป็นระเบิดอีกลูกที่ทิ้งลงมายังเศรษฐกิจไทย ตามระเบิดลูกแรก คือ ค่าเงิน 300 บาท                       อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาภาคเอกชนได้ยื่นข้อเสนอไปยังรัฐบาล 7 ข้อแล้ว ตนอยากให้นายกรัฐมนตรีเอาจริงเอาจัง เอาใจใส่ พิจารณาข้อเสนอทั้ง 7 ข้อ ว่าประเด็นใดบ้างที่จะสามารถดูแลแก้ไขและปฏิบัติได้ทันที จึงอยากเรียกร้องให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล แก้ไขป้องกันเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน        

พงศพัศลุยหาเสียงตลาดหนองจอก

พงศพัศลุยหาเสียงตลาดหนองจอก
                    26 ม.ค.56 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงที่เขตหนองจอก โดยเริ่มจุดแรกที่ตลาดหนองจอก ซึ่งได้รับความสนใจจากพ่อค้า แม่ค้า ประชาชน ที่มาร่วมพูดคุยและขอถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก จากนั้นได้เดินทางไปพบปะและรับฟังปัญหากับประชาชนและผู้นำชุมชนที่บ้านนายภักดี มะแอ ประธานชมรมผู้บริหารมัสยิดเขตหนองจอก พร้อมทั้งปราศรัยถึงนโยบายการพัฒนาพื้นที่เขตหนอกจอก โดยเฉพาะการจราจรว่า ต้องยอมรับว่าพื้นที่นี้เป็นพื้นที่กว้าง ดังนั้นหากปรับระบบการเดินรถเมล์ในเมืองแล้วจะสามารถกระจายรถเมล์ให้เข้าถึงพื้นที่หนองจอกได้เพิ่มขึ้น และสามารถเชื่อมต่อไปยังระบบการขนส่งในเมืองได้โดยสะดวก                     นอกจากนี้ยังมีนโยบายพัฒนาด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้มีความสะดวกมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกันปัญหาเรื่องยาเสพติดเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาเร่งด่วน จะใช้นโยบายเหมือนการทำบ้านอุ่นใจ เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมและคืนลูกหลานให้กับครอบครัว ทั้งนี้ขอโอกาสในการเข้ามาทำงานบริหารกทม.เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น                     จากนั้นเวลา 09.30 น. พล.ต.อ.พงศพัศ เดินทางไปพบนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ที่ศูนย์บริหารกิจการอิสลามแห่งชาติเฉลิมเกียรติ โดยได้หารือถึงปัญหายาเสพติดที่หลายฝ่ายมีความเป็นห่วง พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงนโยบายการในการทำงานด้วย ทั้งนี้นายอาศิสกล่าวว่า พล.ต.อ.พงศพัศเป็นคนตั้งใจทำงาน เชื่อว่าเตรียมการทำงานมาพร้อมแล้ว จากนั้นจุฬาราชมนตรีได้สวดดูอาเพื่อให้พรด้วย                     พล.ต.อ.พงศพัศ ให้สัมภาษณ์ว่า จากการลงพื้นที่ตลาดสดหลายแห่งนั้น พบปัญหาสินค้าราคาแพง ซึ่งตนเคยนำเรื่องดังกล่าวบอกกับรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์แล้ว อย่างไรก็ตามเรามีนโยบายสร้างตลาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพิ่มทั้ง 50 เขต เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับประชาชน โดยจะเช่าพื้นที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ และจะไม่เก็บค่าเช่าแผง เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าสามารถขายสินค้าได้ในราคาถูก และให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูก ซึ่งจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน   'พงศพัศ' ร่วมปั่นจักรยานประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์                       พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย เดินทางมาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 1 และรับหนังสือเชิญเข้าร่วมกิจกรรม "ปลุก ปั่น เปลี่ยน" ซึ่งเป็นกิจกรรมภาคีเครือข่ายของมหาวิทยาลัย ที่จะเชิญผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.มาเสวนาถึงนโยบายเกี่ยวกับการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ขี่รถจักรยานสามารถใช้เดินทางในชีวิตประจำวันได้ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์                     ทั้งนี้ พล.ต.อ.พงศพัศตอบรับคำเชิญดังกล่าวพร้อมกับระบุว่า มีนโยบายที่จะทำทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีทางสำหรับรถจักรยาน นอกจากนี้ยังมีแนวคิดปรับปรุงฝาครอบท่อน้ำทิ้งถนน จากเดิมที่เป็นซี่ให้เป็นแบบทึบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานด้วย จากนั้นพล.ต.อ.พงศพัศได้ร่วมปั่นจักรยานพร้อมกับนายปริญา เทวานฤมิตรกุล รองคณบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกลุ่มนักศึกษา ไปรอบๆ บริเวณมหาวิทยาลัย        

ปชช.ตั้งใจเลือกพงศพัศเป็นผู้ว่าฯ

ปชช.ตั้งใจเลือกพงศพัศเป็นผู้ว่าฯ
               26 ม.ค.56 สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ใครเลือกใครกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร โดยดร. นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง เลือกตั้งผู้ว่า กทม. ใครเลือกใคร กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,766 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการและวิเคราะห์ข้อมูลระหว่างวันที่ 22-25 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้นเลือกเขต แขวง ชุมชน และลงสัมภาษณ์แบบเคาะประตูบ้านในระดับครัวเรือน ค่าความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7                เมื่อถามถึงใครเลือกใครกลุ่มที่ 1 เมื่อจำแนกตามเพศ พบว่า ชายร้อยละ 42.9 และหญิงร้อยละ 40.8 ตั้งใจจะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ ชายร้อยละ 36.0 และหญิงร้อยละ 39.2 ตั้งใจจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนผู้สมัครคนอื่นๆ พิจารณาได้ในตารางที่ 1 ใครเลือกใครกลุ่มที่ 2 เมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มคนที่ตั้งใจเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ มากที่สุดอยู่ในช่วงระหว่างอายุ 40- 49 ปีคือร้อยละ 45.2 รองลงมาคือ กลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี ได้ร้อยละ 43.0 และกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปมีอยู่ร้อยละ 42.4 ที่ตั้งใจจะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ กลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปมีอยู่ร้อยละ 39.9 ที่ตั้งใจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ตามด้วยกลุ่มอายุ 20 - 29 ปี และกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปีที่มีอยู่ร้อยละ 38.6 และร้อยละ 38.4 ตามลำดับที่ตั้งใจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร                ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ที่น่าสนใจคือ ใครเลือกใครกลุ่มที่ 3 เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า กลุ่มที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีร้อยละ 44.0 เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ทิ้งห่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ในขณะที่ กลุ่มคนที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีร้อยละ 41.5 ตั้งใจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ทิ้งห่าง พล.ต.อ.พงศพัศ ที่ได้ร้อยละ 36.7 นอกจากนี้ จุดน่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งคือ กลุ่มที่สูงกว่าปริญญาตรีร้อยละ 40.7 ตั้งใจจะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ แต่ประชาชนที่ถูกศึกษาครั้งนี้ในกลุ่มการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีมากถึงร้อยละ 22.2 ตั้งใจจะเลือก พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ และร้อยละ 25.9 ตั้งใจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์                ใครเลือกใครกลุ่มที่ 4 เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่า กลุ่มคนว่างงาน ไม่มีงานทำส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.0 รองลงมาคือ กลุ่มแม่บ้าน พ่อบ้าน เกษียณอายุร้อยละ 49.0 กลุ่มรับจ้างใช้แรงงานทั่วไป ร้อยละ 47.3 กลุ่มข้าราชการรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 41.8 และกลุ่มค้าขาย ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 40.7 ตั้งใจจะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์จะได้ความนิยมสูงสุดในกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชนร้อยละ 41.6 และกลุ่มนักศึกษาร้อยละ 42.3                ใครเลือกใครกลุ่มที่ 5 เมื่อจำแนกตามระดับรายได้ พบประเด็นความชัดเจนว่า กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยตั้งใจจะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย ในขณะที่กลุ่มคนมีรายได้สูงตั้งใจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ โดยพบว่า กลุ่มคนมีรายได้ไม่เกิน 5,000 บาทต่อเดือนร้อยละ 44.4 กลุ่มคนที่มีรายได้ระหว่าง 5,001- 10,000 บาทร้อยละ 40.7 และกลุ่มคนรายได้ระหว่าง 10,001 - 15,000 บาทต่อเดือนร้อยละ 45.5 จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ในขณะที่ กลุ่มคนรายได้ระหว่าง 15,001 - 20,000 บาทต่อเดือนร้อยละ 40.4 และกลุ่มรายได้มากกว่า 20,000 บาทต่อเดือนร้อยละ 41.0 จะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์                ดร.นพดล กล่าวต่ออีกว่า ที่น่าพิจารณา คือ ใครเลือกใครกลุ่มที่ 6 เมื่อจำแนกตามพรรคการเมืองที่เลือก สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่า ถ้าเงื่อนไขของการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. เหมือนการเลือกตั้ง สส. ทั้งในแง่ จำนวนผู้ใช้สิทธิไม่น้อยกว่าเดิมคือไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และคนที่เคยเลือก สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ยังคงเลือก ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ สูงถึงร้อยละ 77.4 ในผลสำรวจครั้งนี้ จะส่งผลให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะชนะการเลือกตั้งเป็น ผู้ว่ากทม.ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เคยได้คะแนนนิยมเลือก สส. ในพื้นที่กรุงเทพมหานครสูงถึง 1.3 ล้านเสียงและอาจจะได้ประมาณ 1 ล้านคะแนนเสียงในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.                ดังนั้น ยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์จึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นชักชวนคนกรุงเทพฯ เกาะฐานเสียง สส. เอาไว้ให้มั่นว่า                “คนเคยเลือก ปชป. เลือกเบอร์ 16” หรือ “รัก ปชป. เลือกเบอร์ 16” อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตคือ กลุ่มคนที่เคยเลือก สส. กรุงเทพมหานครของพรรคประชาธิปัตย์กำลังกระจายตัวออกไปเลือก พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ และเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ จำนวนมาก ในขณะที่ คนที่เคยเลือก สส. กรุงเทพฯ ของพรรคเพื่อไทยครั้งก่อนก็กระจายตัวออกไปเลือก ผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม. คนอื่นพรรคอื่นแต่ในสัดส่วนที่น้อยกว่า                “นอกจากนี้ โอกาสที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จะชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่า กทม. มีมากเช่นกัน เพราะประชาชนที่เคยเลือก สส. พรรคเพื่อไทยในกรุงเทพมหานครครั้งก่อนมีสูงถึง 1.2 ล้านคน และคนที่เคยเลือก สส.พรรคเพื่อไทยจะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ครั้งนี้สูงถึงร้อยละ 82.4 หรือเฉียด 1 ล้านเสียงเช่นกัน และประชาชนที่ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง สส.ครั้งที่ผ่านมารวมตัวกับกลุ่มประชาชนที่ไม่ระบุพรรคที่เคยเลือกมีถึงร้อยละ 32.8 ที่จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ดังนั้น ยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่น่าพิจารณาคือ ชักชวนคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทยเลือก พงศพัศ แบบเกาะติดและคนไม่เลือก สส. ครั้งก่อนให้เลือกเบอร์ 9 นอกจากนี้ ผู้สมัครอิสระที่น่าสนใจคือ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส เพราะจะได้เสียงของคนที่ไม่เลือกพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคดังกล่าวสูงถึงร้อยละ 56.5 ดังนั้นยุทธศาสตร์ที่น่าพิจารณาคือ “เบื่อพรรคการเมืองใหญ่ เลือก เสรี” ในขณะที่ ผู้สมัครท่านอื่นๆ คงต้องพยายามทำให้ชาวบ้านเห็นว่านโยบายของผู้สมัครมีความเป็นไปจริงให้กับคน กทม. ได้เช่นกัน” ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าว                จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 51.4 เป็น ร้อยละ 48.6 เป็นชาย ตัวอย่างร้อยละ 5.0 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 17.7 อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 23.0 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 22.2 อายุระหว่าง 40-49 ปี และ ร้อยละ 32.1 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 68.4 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 30.0 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในขณะที่ร้อยละ 1.6 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 38.7 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 28.3 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 7.0 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 4.6 เป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 11.8 รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป ร้อยละ 9.0 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 0.6 ว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ   "สวนดุสิตโพล"ระบุ คนกรุงส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯจากนโยบาย                มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ทำโพลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง การหาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม. ในสายตาคนกรุงเทพ โดยสอบถามความคิดเห็นคนกรุงเทพฯ จำนวน 1,139 คน เกี่ยวกับผู้สมัครที่ลงพื้นที่หาเสียงในเขตต่าง ๆ ของ กทม. ซึ่งมีทั้งทีมงานและรูปแบบการหาเสียงที่แตกต่างกัน โดยพบว่า ปัจจัยที่ทำให้คนกรุงเทพฯ ตัดสินใจเลือก ผู้ว่าฯกทม. อันดับ 1 คือ นโยบายและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ร้อยละ 46.20 อันดับ 2 ดูจากผู้สมัคร หรือ พรรค ร้อยละ 17.74 อันดับที่ 3 คือ ภาพลักษณ์ที่ดี ร้อย 13.91 ส่วนสิ่งที่คนกรุงเทพฯ อยากบอกผู้สมัครฯ ที่กำลังหาเสียงอยู่ในขณะนี้ อันดับแรกคือ นโยบายทำได้จริง ไม่พูดในสิ่งที่ทำไม่ได้ ร้อยละ 35.04 อันดับ 2 อยากเห็นกรุงเทพฯ เจริญทุกด้าน ร้อยละ 21.56 และอันดับ 3 อยากเห็นการเลือกตั้งโปร่งใส ไม่ซื้อเสียง ร้อยละ 19.13                เมื่อสอบถามแบบเจาะลึกถึงความชอบในการหาเสียงของผู้สมัครฯ แต่ละคนอย่างไร พบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร มีนโยบายที่ทำได้จริง และสุภาพ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ มีนายกฯ ช่วยหาเสียง คล่องแคล่วเป็นกันเอง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นคนตรง น่าเชื่อถือ นายโฆษิต สุวินิจจิต เป็นกันเอง นโยบายน่าสนใจ และนายสุหฤท สยามวาลา แปลกแหวกแนว สร้างสรรค์ เน้นเทคโนโลยี  

Friday, January 25, 2013

ปูสั่งสส.ลุยเคาะประตูบ้าน ช่วยหาเสียงผู้ว่าฯกทม.

ปูสั่งสส.ลุยเคาะประตูบ้าน ช่วยหาเสียงผู้ว่าฯกทม.
นายกฯ กำชับลูกทีมลุยเคาะประตูบ้านหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. ย้ำให้เสนอนโยบายสร้างสรรค์ เตรียมตั้งหน่วยเฉพาะกิจเกาะติดทุจริตเลือกตั้ง ปูดบางพรรคการเมืองเริ่มแจกเงินหัวหน้าชุมชน... เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ว่า พรรคกำชับให้ทุกคนหาเสียงโดยการชูนโยบายดีๆ เป็นหลัก และอดทนกับการใส่ร้ายป้ายสีของฝ่ายตรงข้าม เพราะบางพรรคใช้วิธีป้ายสีสาดโคลนให้ฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบ วันก่อนเข้าประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคได้กำชับ ส.ส. ส.ก. และ ส.ข.ให้นำเสนอนโยบายสร้างสรรค์ของพรรคทั้งหมดให้ถึงประตูบ้านของชาว กทม. พร้อมทั้งยังเปิดรับฟังนโยบายระดับเขต เช่น พื้นที่เขตคลองสามวา ตนเสนอว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพู หากขยายเส้นทางไปทาง ถ.หทัยราษฎร ถ.คลองสามวา และ ถ.นิมิตรใหม่ บนเส้นทางสุวินทวงศ์ อีก 3 กิโลเมตร ประชาชนในเขตคลองสามวา หนองจอก และลำลูกกา จ.ปทุมธานี จะได้ประโยชน์มาก นายกฯ ก็รับฟังและนำกลับไปพิจารณาประสานงานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่อไป นายจิรายุ กล่าวต่อว่า สำหรับการลงพื้นที่ในสัปดาห์ที่ 2 พล.ต.อ.พงศพัศ จะทยอยลงพื้นที่พบปะประชาชนแต่ละเขตไปพร้อมๆ กับการเปิดปราศรัยย่อยในระดับเขต ที่จะทำไปพร้อมกับการปราศรัยใหญ่ โดย ส.ส.กทม. ส.ก. และ ส.ข.ได้ประสานกับ ส.ส.ทุกจังหวัดของพรรคเพื่อไทย ให้มาช่วยหาเสียงในพื้นที่ กทม. และจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจเกาะติดการทุจริตเลือกตั้ง จากการข่าวของตำรวจพื้นที่กว่า 80 โรงพัก พบว่ามีบางพรรคการเมือง เริ่มนำเงินไปให้หัวหน้าชุมชนแล้ว นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง กทม. พรรคเพื่อไทยยังได้รับการร้องเรียนกรณีเจ้าหน้าที่วางตัวไม่เป็นกลาง ทั้งเจ้าหน้าที่เขต ตำรวจ ครู กทม.บางคน ซึ่งได้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาไปพิจารณาแล้ว ส่วนที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า หากรัฐบาลเป็นพรรคเดียวกับผู้ว่าฯ กทม. จะเป็นเผด็จการนั้น นึกไม่ถึงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเล่นการเมืองเช่นนี้ แทนที่จะเสนอนโยบายดีๆ ขอสนับสนุนแนวคิดการทำงานร่วมกันกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ หาก กทม.ทำงานไปคนละทิศละทาง คนเสียประโยชน์คือคน กทม. เพราะบางเรื่อง กทม.ไม่มีกำลังและงบประมาณพอ เช่น การทำทางด่วน การคมนาคมในเมือง การแก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม.

เพื่อไทย อ้าง พบเจ้าหน้าที่ไม่เป็นกลาง

เพื่อไทย อ้าง พบเจ้าหน้าที่ไม่เป็นกลาง
พท.ย้ำผู้ว่าฯ กทม.ต้องไร้รอยต่อ ทำงานร่วมกับรัฐบาลจากพรรคเดียวกัน เพื่อประโยชน์คนกรุง ชูนโยบายสร้างสรรค์ ไม่สาดโคลน พร้อมตั้งหน่วยเฉพาะกิจจับตาทุจริตเลือกตั้ง เริ่มพบเจ้าหน้าที่วางตัวไม่เป็นกลาง...เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2556 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกลยุทธ์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้เข้าร่วมประชุมกับ ส.ส.กทม. ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ตลอดจน ส.ก.และ ส.ข. อย่างต่อเนื่อง โดยกำชับให้ทุกคนหาเสียงด้วยการชูนโยบายที่ดีๆ สร้างสรรค์ นอกจากนี้ นายกฯ ยังเปิดรับฟังปัญหาและแนวทางการพัฒนาของผู้แทนภาค กทม. นำกลับไปพิจารณาเพื่อประสานงานร่วมกับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการเป็นนโยบายระดับเขต โดยจะเปลี่ยนแปลง กทม.ในทางที่ดีขึ้น ด้วยนโยบายที่ดี ทำได้จริง ไม่ใช่ดีแต่พูด ส่วนนโยบายทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อของผู้ว่าฯ กทม. จากพรรคเดียวกันกับรัฐบาลนั้น ถือเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนคนกรุงเทพมหานครมากกว่า เพราะสองสามปีมานี้ กทม.ทำงานไปคนละทิศละทาง คนที่เสียประโยชน์คือคนกรุงเทพฯ บางเรื่อง กทม.ไม่มีกำลัง ไม่มีงบประมาณพอ หากไม่ประสานรัฐบาลกลาง กทม.ก็ทำเองไม่ได้ เช่น การทำทางด่วนพิเศษ การคมนาคมในเมือง และการแก้ปัญหายาเสพติด และอาชญากรรมสำหรับการลงพื้นที่หาเสียงในรอบสัปดาห์ที่ 2 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย จะทยอยลงพื้นที่ระดับเขต เพื่อพบปะประชาชนในแต่ละเขต พร้อมกับการเปิดปราศรัยย่อย ในขณะเดียวกัน จะมีการปราศรัยใหญ่เป็นระยะเช่นกัน ส่วนการช่วยหาเสียงนั้น ส.ส.กทม. ตลอดจน ส.ก.และ ส.ข. ได้ประสานงานกับ ส.ส.ทุกจังหวัดของพรรค เพื่อช่วยกันหาเสียงในพื้นที่ กทม. นอกจากนี้ ยังจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ เกาะติดการทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้ทางการข่าวตำรวจพื้นที่ กว่า 80 โรงพัก เบื้องต้นพบว่า มีเจ้าหน้าที่บางคน วางตัวไม่เป็นกลาง แล้ว

พงศพัศ พบ จุฬาราชมนตรี ก่อนลุยหาเสียงชาวนักปั่น

พงศพัศ พบ จุฬาราชมนตรี ก่อนลุยหาเสียงชาวนักปั่น
พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคเพื่อไทย ฟิตลงพื้นที่หาเสียง ตลาดหนองจอก-เข้าจุฬาราชมนตรี-ชมรมจักรยานที่ธรรมศาสตร์ ชูนโยบายขยายตลาดสดเพิ่มขึ้น 50 เขต และสร้างทางจักรยานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น...เมื่อวันที่ 26 ม.ค. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียง และรับฟังความเห็นจากประชาชนที่ตลาดหนองจอก พร้อมชูนโยบายแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชน ด้วยการประสานกระทรวงพาณิชย์เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง และสร้างตลาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพิ่ม เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้ประชาชน โดย พล.ต.อ.พงศพัศ มีนโยบายที่จะเช่าพื้นที่จากกรมธนารักษ์ และใช้พื้นที่ราชพัสดุในการสร้างตลาดเพิ่มขึ้น พร้อมขยายตลาดสดใน 50 ของกรุงเทพมหานคร ขณะเดียวกันจะไม่เก็บค่าเช่าแผง เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าสมารถขายสินค้าได้ในราคาถูก และให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าในราคาถูกได้จากนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ ยังได้เดินทางไปพบนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ เพื่อรับฟังความเห็นจากชาวมุสลิมในเขตหนองจอก พร้อมกับการเข้าไปพูดคุยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ โดยอาศัยแนวทางเดียวกับโครงการชุมชนอุ่นใจ ได้ลูกหลานคืน ของ ป.ป.ส.ที่ดำเนินการนำร่องไปแล้วในแต่ละชุมชน และบอกกล่าวถึงนโยบายในการแก้ปัญหาอีก พร้อมกับขอพรกับจุฬาราชมนตรีในครั้งนี้ด้วยผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากพล.ต.อ.พงศพัศ เข้าพบจุฬาราชมนตรีแล้ว ก็ได้เดินทางไปไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ในทันที เพื่อไปหาเสียงกับชมรมจักรยานที่ได้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ปั่นจักรยาน ซึ่งภายหลังการพบปะพูดคุย พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า ตนเห็นว่าปัจจุบันเลนของรถจักรยานนั้นยังมีสภาพที่ไม่ดี ยังมีความเป็นหลุม หรือบางพื้นที่ฝาท่อปิดไม่สนิททำให้การขับขี่นั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก จำเป็นจะต้องทำให้เรียบร้อยเพื่อส่งเสริมในการขับขี่ อีกทั้งตนยังมองเห็นว่าควรจะมีที่เอื้อเฟื้อในการจอดรถจักรยานในทางสาธารณะบ้างก็ดี เช่น BTS เป็นต้น กทม.จำเป็นต้องทำทางจักรยานให้สำเร็จเหมือนต่างประเทศให้ได้ เพื่อให้คนกทม.หันมาสนใจการใช้จักรยานมากยิ่งขึ้น. 

Wednesday, January 23, 2013

โฆสิตปัดกระแสโซเชียลมีเดียเป็นนอมินีทักษิณลงชิงผู้ว่าฯ กทม.

โฆสิตปัดกระแสโซเชียลมีเดียเป็นนอมินีทักษิณลงชิงผู้ว่าฯ กทม.
โฆสิต เปิดโต๊ะแถลง ปัดกระแสในโซเชียลมีเดียเป็นนอมินี ทักษิณ ออกโรงป้องภรรยาไม่ใช่เมียน้อย ยันตั้งใจสมัครในนามอิสระทดสอบคนกรุง และให้หลุดออกจากกับดักพรรคการเมือง... เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2556 นายโฆสิต สุวินิจจิต ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในนามอิสระ เปิดแถลงข่าว กรณีโซเชียลมีเดีย วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมีการระบุว่า นางยุวดี บุญครอง ภรรยาของตนเป็นภรรยาน้อยของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยได้นำภาพที่ถูกโพสต์มาประกอบคำชี้แจงว่าเป็นภาพที่ภรรยา และ พ.ต.ท.ทักษิณควงแขนกันที่ดูไบ ซึ่งขณะนั้นตนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ยืนยันว่าภรรยาของตนและ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพื่อนที่มีความสนิทสนมกันมาก ภาพลักษณะนี้พบเห็นได้บ่อย เพราะภรรยาชอบควงแขนคนสนิทสนมเสมอ พร้อมยืนยันว่า นางยุวดีเป็นภรรยาที่ดีมาตลอด เมื่อมีการโจมตีลักษณะดังกล่าว จึงต้องออกมาทำหน้าที่ปกป้องเกียรติของภรรยาส่วนที่ระบุว่าเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ที่ผ่านมาตนมีเพื่อนมากทุกวงการ ทุกสาขา พร้อมได้นำวิดีโอที่มีนักการเมือง นักธุรกิจมาอวยพรในวันเกิดมาแสดงให้ดู ส่วนการลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ยืนยัน พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ทราบมาก่อน ซึ่งการไม่สังกัดพรรคการเมือง เนื่องจากไม่มีความเชื่อมั่นในพรรคการเมือง จึงต้องการลงสมัครเพื่อทดสอบว่าคนกรุงเทพฯ จะเลือกผู้สมัครอิสระหรือไม่ เพื่อให้หลุดออกจากกับดักของพรรคการเมือง เชื่อมั่นว่าการใส่ร้ายแบบนี้คนส่วนมากจะเข้าใจว่าไม่เป็นความจริง โดยจะไม่ดำเนินการใดๆ กับผู้โจมตี เชื่อว่ากฎหมายไม่ทำให้คนรักกัน.

พงศพัศร้องเพลงค่าน้ำนม กล่อมคนชราบ้านบางแค

พงศพัศร้องเพลงค่าน้ำนม กล่อมคนชราบ้านบางแค
พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคเพื่อไทย ป้อนอาหารพร้อมร้องเพลงค่าน้ำนม กล่อมผู้สูงอายุบ้านบางแค ก่อนลุยลงพื้นที่หาเสียงต่อ...พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคเพื่อไทย เบอร์ 9 ลงพื้นที่หาเสียงย่านบางแค โดยจุดแรกได้เดินทางไปยังบ้านพักคนชราบางแค ซึ่งได้มีการร่วมพูดคุยกับผู้สูงอายุ พร้อมร่วมรับประทานอาหารเช้า รวมถึงได้มีการป้อนอาหารให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ และร้องเพลงค่าน้ำนม ให้ฟังด้วย พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ ยังได้มีการชูนโยบาย เรื่องการประสานไปยังรัฐบาล เพื่อขอเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานคร จาก 500 เป็น 1,000 - 1,200 บาท ต่อเดือนเท่ากันทุกคน โดยไม่จำกัดเรื่องอายุ เนื่องจากค่าครองชีพใน กทม. สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่จะสร้างบ้านผู้สูงอายุ ของ กทม.แต่จะต้องไม่ซ้ำซ้อน กับของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการ จะพิจารณาจากเงินงบประมาณของ กทม. เอง เพราะหากจัดสรร การใช้งบประมาณในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใหม่ โดยให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการแทน จะมีงบประมาณเพียงพอดำเนินการได้ จากนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ ได้เดินทางไปหาเสียงที่ตลาดบางแค โดยได้มีการทักทายบรรดาพ่อค้าแม่ค้าอย่างใกล้ชิด ขณะที่ในช่วงบ่ายจะเดินทางไปหาเสียงที่ชุมชนวัดช่างเหล็ก ติดตลาดน้ำตลิ่งชัน ตลาดพรานนก ชุมชนจรัญสนิทวงศ์ 57 และจบด้วยการปราศัยย่อย ที่วัดภาณุรังษี. 

สุขุมพันธุ์ โชว์ช่วยแม่ค้าตักไข่พะโล้

สุขุมพันธุ์ โชว์ช่วยแม่ค้าตักไข่พะโล้
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่หาเสียงตลาดยิ่งเจริญ โชว์ช่วยแม่ค้าตักไข่พะโล้ ขายข้าวแกง... ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 16 ลงพื้นที่หาเสียงตลาดยิ่งเจริญ เขตบางเขน พร้อมด้วยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ผอ.ศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีประชาชนที่ให้การสนับสนุน นำดอกกุหลาบ มามอบให้เป็นกำลังใจจำนวนมาก ทั้งนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้เดินทักทายประชาชน ที่มาซื้อของและรับประทานอาหาร ภายในตลาด รวมถึงช่วยแม่ค้า ตักไข่พะโล้ใส่ถุง เพื่อช่วยขายข้าวแกงอีกด้วย ในเวลาต่อมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะได้เดินทางไปหาเสียงต่อที่ ชุมชนร่วมใจพัฒนาเหนือ ซอยพหลโยธิน 69/4 เพื่อไปชี้แจงนโยบายเกี่ยวกับการดูแลชุมชน เช่นหาจัดหารถดับเพลิงขนาดเล็ก. 

Tuesday, January 22, 2013

ขวัญขอผู้ว่าฯกทม.เป็นคนดีมีศีลธรรม

ขวัญขอผู้ว่าฯกทม.เป็นคนดีมีศีลธรรม
"ป้อง":อยากให้กรุงเทพฯเย็นสบาย               ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ใครจะได้เป็นพ่อเมืองคนใหม่ของเมืองหลวงของประเทศไทย รอลุ้นกันได้ แต่ผู้ว่าฯ แบบไหนกันหนอที่จะมัดใจชาวกรุงเทพฯ ได้ ลองมาฟังทัศนคติของพระเอกหนุ่มนักเรียนนอก "ป้อง" ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ที่เดินทางไปมาแล้วหลายประเทศทั่วโลก เห็นแต่ละประเทศมีการพัฒนาในแบบของตัวเอง แต่เขาอยากให้เมืองหลวงของประเทศไทยพัฒนาไปในทิศทางไหน แล้วผู้ว่าฯ ในดวงใจแบบไหนที่จะมาพัฒนาความเชื่อของเขาได้ หนุ่มป้องมีคำตอบในเรื่องนี้               "ผู้ว่าฯ ในอุดมคติของผม อยากได้ผู้ว่าฯ ทำให้กรุงเทพฯ เย็น แต่จะเปิดแอร์ทั้งวันก็ไม่ได้ แต่อยากให้เข้ามาแก้ไขในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ผมเองเป็นคนที่ชอบประเทศสิงคโปร์มาก ประเทศเขาทำเป็น สิงคโปร์ ซิตี้ เดอะการ์เด้น เมืองทั้งเมืองเป็นสวน ปลูกต้นไม้เยอะมาก เหมือนกับถนนวิทยุ ในบ้านเรา ซึ่งผมอยากเห็นถนนในกรุงเทพฯ ทุกเส้น เป็นเหมือนอย่างถนนวิทยุ ผมว่า จริงๆ ไม่ต้องเอางบไปทำอะไรมากมายให้เป็นภาระ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นรูปธรรม แต่การดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้เลย เราสามารถเดินออกจากบ้านแล้วสบายๆ ร่มรื่น ไม่ใช่เดินออกมาแล้วทุกคนหน้าเครียด เพราะว่าร้อน แดดแรง ผมอยากเชิญชวนให้คนกรุงเทพฯ มาเลือกตั้ง เราเป็นประชาธิปไตย หนึ่งเสียงมีความหมายกว่าที่เราคิด ยังไงก็อยากให้มาใช้สิทธิกันเยอะๆ" ป้องกล่าว "ขวัญ":ขอเป็นคนดีมีศีลธรรม               เป็นนางเอกที่ถือว่าเป็นขวัญใจวัยรุ่นของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ สำหรับ "ขวัญ" อุษามณี ไวทยานนท์ และถือเป็นประชาชนคนหนึ่งของกรุงเทพฯ "ขวัญ" เองจึงขอใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ด้วยการรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิมีเสียงออกมาใช้สิทธิใช้เสียงตัวเองออกมาเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในวันที่ 3 มีนาคม 2556 ซึ่ง "สาวขวัญ" ขอเป็นกระบอกเสียงของคนกรุงเทพฯ ด้วยการบรรยายถึงผู้ว่าฯ ในดวงใจของตัวเองว่า               "อยากได้ผู้ว่าฯ กทม.ที่เป็นคนดี มีศีลธรรม แค่นี้แหละ อาจจะดูเหมือนว่าแค่นี้เอง แต่จริงๆ เป็นเรื่องยาก คนดีมีศีลธรรมไม่ได้มีกันทุกคน การหาคนเก่งง่ายกว่าการหาคนดี เพราะว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าคนที่เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ จะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้เป็นคนดีมีศีลธรรม เรื่องเก่งก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างเรื่องเก่งไม่เก่งเราสามารถฝึกฝนกันได้ ยังมีคนสอน ยังมีคนคอยอบรม ทำให้กลายเป็นคนที่เก่งขึ้นมาได้ แต่เรื่องดีไม่ดีมันต้องออกมาจากลึกๆ ในใจ" ขวัญกล่าวอย่างจริงจัง "สุรีวรรณ":แก้น้ำท่วมขัง-ยาเสพติด               นางสุรีวรรณ แซ่ไน่ อาชีพแม่บ้าน อาศัยอยู่เขตราชเทวี บอกว่า อยากได้ผู้ว่าฯ เป็นคนขยัน นิสัยใจคอซื่อสัตย์และซื่อตรงต่องานที่ทำ และอยากให้เข้ามาแก้ไขปัญหาในพื้นที่ตามถนน ซอย โดยเฉพาะซอย 7 ที่อาศัยอยู่ เพราะเวลาฝนตกแม้ฝนจะตกไม่มากน้ำก็ท่วมขัง รวมทั้งอยากให้เข้ามาแก้ไขปัญหายาเสพติด

ตลกร้ายผู้ใหญ่ลีขอดเกล็ดการเมืองยุคเร่งพัฒนา

ตลกร้ายผู้ใหญ่ลีขอดเกล็ดการเมืองยุคเร่งพัฒนา
               การสูญเสียครูเพลงระดับตำนาน "พิพัฒน์ บริบูรณ์" หรือ "อิง ชาวอีสาน" เจ้าของบทเพลงเสียดสีการเมืองอันลือลั่นอย่าง "ผู้ใหญ่ลี" อาจนำความโศกเศร้ามาสู่วงการเพลง ทว่าสมบัติทางภูมิปัญญาที่ "ครูพิพัฒน์" ได้ฝากไว้บนแผ่นดินนี้ใช่จะเลือนหาย หรือดับสูญไปด้วย                ปรัชญาการทำเพลงของ ครูพิพัฒน์ ท่านเล่าให้ฟังว่า เน้นเพลงทำนอง พื้นบ้านอีสาน โดยนำวงดนตรี "พิพัฒน์บริบูรณ์" ไปแสดงแถบภาคอีสาน ซึ่งในยุคนั่นมีนักร้องในวงหลายคน อาทิ ชัยชนะ บุญนะโชติ, เพชร พนมรุ้ง, ชาย ชาตรี, นํ้าผึ้ง บริบูรณ์ และดาว มรกต หรือ สรวง สันติ                ต่อมาได้แต่งเพลง "ผู้ใหญ่ลี" ภายใต้นามแฝง "อิง ชาวอีสาน" เป็นเพลงลูกทุ่งเสียดสีสังคม ขับร้องโดย "ศักดิ์ศรี ศรีอักษร" โด่งดังในช่วงประมาณปี 2504 ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สะท้อนให้เห็นถึงการสื่อสารระหว่างข้าราชการกับชาวบ้านอย่างมีอารมณ์ขัน ซึ่งดัดแปลงมาจาก "รำโทน" เนื้อหาเป็นเรื่องราวของชายชาวอีสานชื่อ "ลี" มีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งทางวงเคยนำมาร้องล้อเลียนและได้รับความนิยมมากมาย                "ผู้ใหญ่ลี" คือ สัญลักษณ์ในชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ของครูพิพัฒน์ สามารถนำข้อเท็จจริงในสังคมยุคสมัยนั้นสะท้อนผ่าน "ดนตรี" ฉายให้เห็นภาพอดีตที่สังคมไทยมีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับแรก เมื่อปี 2503 มีการปรับปรุงแก้ไขปี 2503 สมัยนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภายใต้พันธกิจ "ปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย" โดยมุ่งนำความเจริญสู่พื้นที่ชนบทจนชาวบ้านพูดติดปากว่า "ยุคน้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก"                "ทักษ์ เฉลิมเตียรณ" เขียนบันทึกเรื่อง "การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ" เนื้อหาช่วงหนึ่งได้ยกสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ สะท้อนการเมือง "ยุคผู้ใหญ่ลี" ว่า "ท่านคงจะได้เห็น หรืออาจจะรู้สึกรำคาญที่ข้าพเจ้าสนใจเรื่องพัฒนาการอยู่ทุกวันทุกเวลา ข้าพเจ้าทำในสิ่งที่เคยมีบางท่านทักท้วงว่าไม่ใช่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เช่น ความสะอาด ถนนหนทาง ร้านตลาด แม่น้ำลำคลอง ความเป็นไปในหมู่บ้าน แม้แต่เรื่องส้วม"                ทว่าสาระสำคัญและความยิ่งใหญ่ของเพลง "ผู้ใหญ่ลี" ไม่ใช่ถ้อยคำเสียดสีแบบหยิกแกมหยอก หากเป็น "ภูมิปัญญาของครูพิพัฒน์" ที่มีความฉลาดล้ำลึก สามารถสะท้อนวิถีชีวิตของชาวอีสาน สะท้อนความรู้สึกนึกคิด อุปนิสัย สะท้อนการพัฒนาชนบทของรัฐและกลไกของรัฐ                ที่สำคัญสะท้อนความผิดพลาดในการสื่อสาร อีกทั้งยังสะท้อนการศึกษาที่ล้าหลังของประชาชนในภาคอีสาน ตลอดจนสะท้อนความเข้าใจที่ต่างระดับ ระหว่าง "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" กับ "ผู้นำชาวบ้าน" และ "ชาวบ้าน" ได้อย่างลึกซึ้งและงดงาม                อย่างที่ "แวง พลังวรรณ" เรียบเรียงไว้ใน "อีสานคดีชุด ลูกทุ่งอีสาน" อธิบาย "ปรากฏการณ์ผู้ใหญ่ลี" ว่า ผู้แต่งจะเป็นใครก็ช่างเถิด แต่สิ่งที่ได้รังสรรค์จนเป็นคำร้องเพลงผู้ใหญ่ลีนั้น มันล้ำลึก ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนผู้มีทักษะในการแต่งเพลงลูกทุ่งธรรมดา เกินกว่าที่คนคลุกคลีสัมผัสชีวิตของชาวอีสานเพียงผิวเผิน เกินกว่าที่คนที่มีแนวคิดต่อการพัฒนาชนบทอย่างธรรมดาจะคิด และหยั่งไปถึง                "สิ่งที่ควรยกย่องและสดุดีบุคคลทั้งสอง-พิพัฒน์ บริบูรณ์ และศักดิ์ศรี ศรีอักษร (คนร้อง) เฉพาะหน้า ณ เวลานี้ และควรยกย่องได้อย่างสนิทใจ คือ ความกล้าหาญที่คนทั้งสองได้นำเอาเพลงผู้ใหญ่ลี ออกเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับแก่บุคคลทั่วไป นอกจากนี้ทั้งสองยังเป็นผู้ริเริ่มเอาเพลงและศิลปะการร้อง-ลำ ของชาวอีสานในรูปแบบต่างๆ ออกเผยแพร่และบันทึกไว้เป็นแผ่นเสียงให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาและซาบซึ้ง"                แม้ว่าเพลงผู้ใหญ่ลีจะโด่งดัง แต่เพิ่งได้รับการบันทึกเสียงเมื่อปี 2507 กลายเป็นเพลงฮิตในเวลาอันรวดเร็ว กระทั่ง "ศักดิ์ศรี ศรีอักษร" กลายเป็นนักร้องชื่อดัง ได้เข้าไปขับร้องในไนต์คลับหรูในกรุงเทพฯ อีกทั้งมีการดัดแปลงคำร้องเป็นเพลงภาคต่ออีกหลายฉบับ เช่น ผู้ใหญ่ลีเข้ากรุง ผู้ใหญ่ลีหาคู่ เมียผู้ใหญ่ลี ลูกสาวผู้ใหญ่ลี ผู้ใหญ่ลีผู้ใหญ่มา และนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ลูกสาวผู้ใหญ่ลี ในปี 2507 นำแสดงโดย ศักดิ์ศรี ศรีอักษร และ ดอกดิน กัญญามาลย์                ขณะเดียวกัน ศักดิ์ศรี ศรีอักษร ได้นำมาขับร้องใหม่ในจังหวะ "วาทูซี" (Watusi) ใช้ชื่อเพลงว่า"ผู้ใหญ่ลีวาทูซี" ทั้งนี้ เพลงผู้ใหญ่ลี ได้รับเลือกเป็นเพลงลูกทุ่งดีเด่นจากงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ครั้งที่ 2 ประจำปี 2534 และได้รับการบันทึกเสียงใหม่อีกหลายครั้งโดยนักร้องคนอื่นๆ เช่น นุภาพ สวันตรัจฉ์, หนู มิเตอร์, ไก่ พรรณิภา และถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โฆษณาของธนาคารกรุงไทย เมื่อ พ.ศ.2547 จนถูกประท้วงจากสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย                ดวงเจิดจรัสบนห้วงนภา ย่อมมีวันดับสูญตามกาลเวลา ถือเป็นธรรมดาของโลก...หลับสบายเถิด "ครูพิพัฒน์ บริบูรณ์" เพลง "ผู้ใหญ่ลี" คำร้อง อิง ชาวอีสาน ทำนอง พื้นเมือง ขับร้อง ศักดิ์ศรี ศรีอักษร พ.ศ.2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร ฝ่ายตาสีหัวคลอนถามว่าสุกรนั้นคืออะไร ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด สุกรนั้นไซร้คือหมาน่อยธรรมดา หมาน่อย หมาน่อยธรรมดา สายัณห์ตะวันร้อนฉี่ ผู้ใหญ่ลีขี่ม้าบักจ้อน แดดฮ้อนฮ้อนใส่แว่นตาดำ ผู้ใหญ่ลีกลัวฝนจะตกฮำ ถอดแว่นตาดำฟ้าแจ้งจางปาง ฟ้าแจ้งฟ้าแจ้งจางปาง คอกลมเหมือนดั่งคอช้าง เอวบางเหมือนยางรถยนต์ รูปหล่อเหมือนตอไฟลน หน้ามนเหมือนเขียงน้อยซอยซา เขียงน่อยเขียงน่อยซอยซา เขียงน่อยเขียงน่อยซอยซา ......... (หมายเหตุ : ตลกร้าย'ผู้ใหญ่ลี' ขอดเกล็ดการเมืองยุคเร่งพัฒนา)

อนาคตการเมืองชาติไทยพัฒนาไม่ง่าย

อนาคตการเมืองชาติไทยพัฒนาไม่ง่าย
                 การถึงแก่อสัญกรรมของ "ชุมพล ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่อเที่ยวและกีฬา แม้จะไม่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากอาการป่วยหนัก แต่การจากไปก็สร้างความเศร้าสลดเสียใจให้แก่คนรู้จักไม่น้อย                 เนื่องจาก "ชุมพล" สร้างคุณงามความดีมาไม่น้อยโดยเฉพาะจากการเป็นแกนนำปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2538                 แต่นาทีนี้คนที่น่าจะหนักใจที่สุดคือ "บรรหาร ศิลปอาชา" ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะตัวจริง เพราะนอกจากจะเสียน้องชายอันเป็นที่รักแล้ว ยังทำให้สถานการณ์ทางการเมืองของพรรคชาติไทยพัฒนาลำบากอยู่ไม่น้อย                 ปัญหาอันน่าหนักใจเริ่มมาจากการที่ตำแหน่ง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา" ซึ่งเป็นโควตาในมือของพรรคมาเป็นเวลานานว่างลง                 และที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการทำงานสไตล์ "หลงจู๊" ไม่เคยเปลี่ยนไป เมื่อเขาจะเลือกคนที่ไว้ใจได้ สายตรงเท่านั้นมาทำงาน และที่สำคัญต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ "บรรหาร"                 ที่ผ่านมากระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไม่น่าห่วง เพราะอย่างไรก็อยู่ในมือน้องชายอย่าง "ชุมพล"                 ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้จะเปลี่ยนรัฐมนตรีมาสองคนคือ "ธีระ วงศ์สมุทร" และ "ยุคล ลิ้มแหลมทอง" แต่ก็ถือเป็นเด็กสายตรง โดยมี "บรรหาร" คอยควบคุมการทำงานอีกครั้งหนึ่ง                 แต่มาวันนี้ต้องยอมรับว่าคนสายตรงของ "บรรหาร" เหลือน้อยลงเรื่อยๆ เพราะปีกของเขาไม่ได้สยายกว้างเหมือนวันที่เรืองอำนาจแม้ "ทักษิณ ชินวัตร" จะเกรงใจในไมตรีที่เคยมีให้กันอยู่ไม่น้อยก็ตาม                 แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจที่ทำเงินและชื่อเสียงอย่างเรื่องการท่องเที่ยวนั้นใช่ว่าจะเอาใครก็ได้มาทำงาน เพราะวันนี้การท่องเที่ยวกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนคนใน "เพื่อไทย" หลายคนอยากดึงมาดูแลด้วยตัวเอง และแลกเปลี่ยนโควตาในกระทรวงระดับเดียวกันให้ พรรคชาติไทยพัฒนาดูแลแทน                 มิพักต้องพูดถึง "พรรคพลังชล" ที่ "สนธยา คุณปลื้ม" ก็แสดงออกว่าไม่ถนัดกับการนั่งเก้าอี้เจ้ากระทรวง "วัฒนธรรม" จนกระทั่งมีกระแสข่าวมาว่า ได้ดอดไปพบเจ้าของพรรคตัวจริงเสียงจริงในต่างแดน                 แน่นอนว่า "บรรหาร" ย่อมไม่สบายใจเพราะกระทรวงระดับนี้การเก็บไว้กับตัวเองหมายถึงหลายๆ อย่างไม่ใช่เฉพาะศักดิ์ศรีเท่านั้น                 แต่ใครเล่าจะมาแทน และใครเล่าที่เขาจะวางใจได้ เอาแค่ในพรรค วันนี้คนที่จะเลื่อนขึ้นมาแทนตำแหน่ง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อคือ "ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์"                 หากจะดัน "ประดิษฐ์" ไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเรื่องชื่อชั้น ฝีมือไม่มีปัญหา แต่อย่างที่รู้ว่า "ประดิษฐ์" ไม่ใช่สายตรงเพราะเขามากับ "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" เขาพร้อมที่จะยอมนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ แต่ต้องไม่มี "บรรหาร" มาคอยสั่งการ                 เป็นเรื่องที่รู้กันดีว่า หลายคนที่มารวมที่พรรคชาติไทยพัฒนา เหมือนกับมาหาที่พึ่งพิงชั่วคราวก่อนที่จะฉีกหนีออกไป และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ฟังคำสั่ง "บรรหาร" แม้หลายคนจะยังปากแข็งว่าเต็มใจอยู่ด้วยกันและทำตามหัวหน้า                 "ประดิษฐ์" ก็เป็นหนึ่งในนั้น และวันนี้เขารู้ดีว่าอำนาจต่อรองเริ่มกลับมาอยู่กับตัวแล้ว หากไม่ได้ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบ                 แต่ครั้นจะกลับมาใช้คนนอกที่วางใจ แม้จะพอมองเห็น แต่ชื่อชั้นนั้นยังต้องตั้งคำถามเพราะวันนี้มีชื่อทั้ง "สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์" อดีตผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี หรือ "สมบัติ คุรุพันธ์" อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และปัจจุบันนั่งในตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ "สุวัตร สิทธิหล่อ" ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คนปัจจุบัน                 ทั้งหมดยังต้องตั้งคำถามว่าผ่านคุณสมบัติเก้าอี้ที่หลายฝ่ายอยากได้หรือไม่ หรืออ่อนด้อยเพียงพอจะให้โจมตีหรือไม่ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องหนักใจอย่างยิ่ง                 แต่ครั้นจะลงเล่นเองก็จนใจ เพราะยังติดโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง จากการถูกยุบพรรคเป็นเวลาห้าปี กว่าจะครบกำหนดก็ต้องวันที่ 3 ธันวาคม 2556 ยังเหลืออีกเกือบหนึ่งปี และผลจากการยุบพรรคครั้งนั้น ไม่ใช่เฉพาะ "บรรหาร" เท่านั้นที่ต้องโทษทางการเมือง หากแต่รวมถึงลูกๆ อีกด้วย จึงทำให้วันนี้เขาดูเดียวดายยิ่งนัก                 ครั้นจะให้ "ยุคล" ถ่างขาควบไปเรื่อยๆ รอวันพ้นโทษก็ดูจะเป็นภาระที่หนักเกินไปเพราะลำพังกระทรวงเกษตรฯ ที่เขาดูแลอยู่ก็มีงานมากมายมหาศาลอยู่แล้ว                 งานนี้การเก็บรักษา "กระทรวงการท่องเที่ยวฯ" ไว้ในมือจึงเป็นเรื่องยาก และไม่แปลกที่ "บรรหาร" จะต้องลงทุนลงแรงไปเจรจาถึงต่างแดนด้วยตัวเองด้วยหวังน้ำจิตน้ำใจในฐานะที่อยู่ด้วยกันมาแทบทุกสถานการณ์ เพราะสภาพการต่อรองในรัฐบาลวันนี้พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้มีแต้มต่อหรือเสียงดังเหมือนที่ผ่านๆ มา                 การเจรจาจึงหวังจะให้คนไกลยอมด้วยหวังว่าจะลากยาวเพื่อรอวันตัวจริงกลับมา แต่ดูแล้วก็เป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน เพราะเวลาเช่นว่านั้นนานเกินไป และกระทรวงนี้ไม่ใช่กระทรวงธรรมดาเหมือนที่ผ่านๆ มาอีกแล้ว หลังถูกจ้องตาเป็นมัน                 หากเกมรักษาเก้าอี้ในครั้งนี้ พรรคชาติไทยพัฒนาพ่ายแพ้ ก็เชื่อขนมกินได้เลยว่าพรรคจะเล็กลงไปอีก และมีคนกระโดดหนีออกไปเรื่อยๆ และวันนั้น แม้ถึงเวลาที่ "มังกรการเมือง" แต่ก็ใช่ว่าจะคืนชีพได้ง่าย

กทม.จ่อ หารือ NIETS เลื่อนสอบGAT/PAT ให้นักเรียน ไปเลือกผู้ว่าฯ

กทม.จ่อ หารือ NIETS เลื่อนสอบGAT/PAT ให้นักเรียน ไปเลือกผู้ว่าฯ
ปลัด กทม. เตรียม หารือ NIETS เลื่อนสอบ GAT/PAT ให้เด็กนักเรียน ไปใช้สิทธิเลือกผู้ว่าฯกทม.วันที่ 22 ม.ค. ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการ กทม. (เสาชิงช้า) นางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร (ผอ.กกต.ทถ.กทม.) เปิดเผยว่า ตามที่กรุงเทพมหานครกำหนดเปิดรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 21-25 ม.ค. 56 นั้น ขณะนี้ มีจำนวนผู้สมัครเท่าเดิม คือ 18 ราย ที่ยื่นใบสมัครในวันแรกสำหรับวันนี้ยังไม่มีผู้ใดมายื่นใบสมัครเพิ่มเติม และคาดว่าในวันนี้คงจะไม่มีใครมายื่นใบสมัครเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งในการเปิดรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่ละครั้งผู้สมัครส่วนใหญ่จะมายื่นใบสมัครในวันแรกและวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัคร ทั้งนี้ จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการครั้งนี้ไม่น่าจะเกิน 25 คนส่วนกรณีวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่กำหนดไว้ในวันที่ 3 มี.ค. 56 ตรงกับวันสอบ GAT/PAT ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และมีนักเรียนที่มีสิทธิเลือกตั้งต้องเข้าสอบประมาณ 6,000 คน ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครไม่ทราบมาก่อนว่ามีการสอบในวันนั้น โดยส่วนตัวอยากให้มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครบ 100% ซึ่งจะมีการหารือกับ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับแนวทางการเลื่อนวันสอบ ว่าสามารถทำได้หรือไม่ เพื่อให้นักเรียนที่มีสิทธิเลือกตั้งได้ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงอย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ก็ให้แจ้งเหตุไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 7 วัน และภายใน 7 วันนับแต่วันเลือกตั้ง เพื่อที่จะไม่เสียสิทธิทางการเมือง ทั้งนี้ การที่จะมีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดมีปัจจัยหลายอย่าง อาทิ การประชาสัมพันธ์ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเองที่จะลงพื้นที่หาเสียง การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ของ กทม. และการเผยแพร่ข่าวสารความเคลื่อนไหวของสื่อมวลชนที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

ปชป.ยุทักษิณปรับครม. สะกิดปูระวังหน้าแตก ใช้ข้อมูลศก.เก่า

ปชป.ยุทักษิณปรับครม. สะกิดปูระวังหน้าแตก ใช้ข้อมูลศก.เก่า
ปชป.หนุน ทักษิณ ส่งสัญญาณปรับ ครม.โดยเฉพาะ กิตติรัตน์-บุญทรง สะกิด ปู ระวังหน้าแตกใช้ข้อมูลเก่า ชี้ ศก.ปี 56วันที่ 22 ม.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กระแสข่าว ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เตรียมปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ทั้ง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ออก โดยจะให้ผู้บริหารจากเครือชินคอร์ปมาเสียบแทนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้คนทำงานเป็น ถ้าเห็นว่าม้าตัวไหนหมดระยะแล้ว ก็เปลี่ยนตามอำเภอใจ แต่ก็เห็นด้วยหากจะปรับ นายบุญทรง และนายกิตติรัตน์ออก เพราะทั้งนโยบายรับจำนำข้าวของกระทรวงพาณิชย์ที่พบทุจริต และยังหาตัวคนโกงมาลงโทษไม่ได้ รวมถึงตัวเลขจากนโยบายรถคันแรกที่ใช้เกินเพดานไปถึง 9 หมื่นล้านบาท ก็ถือเป็นนโยบายที่สอบตก หากอดีตนายกฯ ยังทู่ซี้ไม่ปรับเปลี่ยน ประเทศพังแน่นอน แต่พ.ต.ท.ทักษิณเอง ก็อย่าลืมว่า ทุกนโยบาย ใครคือผู้บงการตัวจริง ก็ควรจะไปปรับเปลี่ยนแนวคิดหรือพิจารณาตัวเองบ้าง ไม่ใช่พอนโยบายเกิดปัญหาก็ปรับคนทำงานเพื่อลดแรงกดดันจากสังคม ทั้งนี้ จะเอาใครมาก็ขอให้เลือกคนที่ทำงานเป็น ไม่ใช่มาลองผิดลองถูกไปเรื่อย เพราะนี่คือประเทศไทย ไม่ใช่บริษัทชินวัตร อย่ามาทำอะไรเล่นๆส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาส่งสัญญาณคาดการณ์จีดีพีของไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.5 และภาวะเงินเฟ้อจะเข้าสู่ภาวะปกติ โดยระบุว่าอัตราการตกงานของประชาชนจะลดลง นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า เข้าใจว่า นายกฯ คงเอาตัวเลขในเดือน ธ.ค.55 มาประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 56 จึงขอให้นายกฯ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งออกมาพูด หรือส่งสัญญาณอะไร หากสิ่งที่พูดมาไม่เป็นจริงจะหน้าเเตก เพราะตัวเลขที่จะประเมินได้แท้จริงในปี 56 นั้น ต้องดูหลังจากที่รัฐประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศแล้วในไตรมาสแรก คือ ม.ค. - มี.ค.56 ไม่ใช่นำตัวเลขเก่ามาประเมิน

ส่องเรียงเบอร์ศึกเสาชิงช้า หาผู้ว่าฯ กทม.คนที่16

ส่องเรียงเบอร์ศึกเสาชิงช้า หาผู้ว่าฯ กทม.คนที่16
เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ ศึกเสาชิงช้า เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คนที่ 16 โดยมีผู้สมัครลงสนามแข่งขันแล้ว 18 ราย (รับสมัครในวันแรก 21 ม.ค.) ทั้ง หน้าเก่า ฟอร์มเก๋า เจ้าประจำ หรือแม้กระทั่ง โนเนม ไม่มีใครรู้จักมาก่อน บางรายนโยบายไม่ได้คิด บางคนบอกนโยบายทำได้ทุกเรื่องสำหรับตัวเต็งในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีด้วยกัน 4 คน นำโดย หมายเลข 16 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. ที่ลงป้องกันแชมป์ ในฐานะผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญจากพรรคเพื่อไทย คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ หมายเลข 9 ก็กำลังกอบโกยคะแนนอย่างเป็นกอบเป็นกำ ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครหมายเลข 11 ก็เป็นผู้สมัครที่น่าจับตามากที่สุดคนหนึ่ง เพราะมีประวัติการทำงานโชกโชน มีกลุ่มเพื่อนเสรี เป็นแรงสนับสนุน ส่วน นายโฆสิต สุวินิจจิต  หมายเลข 10 ก็มีประวัติการทำงานด้านเอกชนอย่างโชกโชน เรียกว่าประวัติการทำงานดี คล้ายนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ขาดแค่พรรคการเมืองสนับสนุน นอกจากนี้ ยังมี นายสุหฤท สยามวาลา หมายเลข 17 นักธุรกิจและดีเจชื่อดัง ที่ได้พลังสนับสนุนจากกลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยเจ้าตัวได้เตรียมแถลงนโยบาย 12 ข้อ ในวันที่ 22 ม.ค.นี้ขณะที่กลุ่ม หน้าเก๋า เจ้าประจำ ต้องยกให้ หมายเลข 2 นายวรัญชัย โชคชนะ ที่ลงสมัครครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ซึ่งเจ้าตัวค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถต่อสู้กับผู้สมัครตัวเต็งรายอื่นได้ โดยยกนโยบายแก้ปัญหาจราจร และเสนอเปลี่ยนชื่อเมืองหลวง เป็น กรุงเทพธนบุรีมหานคร เพื่อเอาใจคนฝั่งธน พร้อมกับจะเปิดสนามหลวงให้เป็นสถานที่ไฮปาร์กทางการเมืองด้าน ตู่ ติงลี่ หรือ ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ ผู้สมัครหมายเลข 3 ก็ลงสมัครมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้ ก็สร้างสีสันให้กับการเลือกตั้งตั้งแต่วันสมัคร โดยขึ้นรถแห่รอบเมืองพร้อมถือดาบไทยโบราณที่ลงอักขระ รายนี้ก็มั่นใจมากเช่นกัน ถึงขั้นคุยโวว่าไปไหนใครๆ ก็เรียกผม ท่านผู้ว่าฯ แล้ว ซึ่งนโยบายของ ร.อ.เมตตา จะชูแก้ปัญหาจราจร โดยมีจุดขายเรื่องขนส่งมวลชนทางน้ำ ถมทะเลบางขุนเทียน สร้างสวนสนุกให้เด็กห่างไกลจากยาเสพติดนอกจากนี้ ยังมี นายสมิตร สมิตธินันท์ ผู้สมัครหมายเลข 5 ที่เคยลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มาแล้ว หลายครั้ง ซึ่งเคยสร้างความฮือฮาด้วยนโยบาย แก้ปัญหาจราจรโดยการเปิดไฟเขียวทุกแยก ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และยังมี  หมายเลข 8 นายสุเมธ ตันธนาศิริกุล กลุ่มกรุงเทพพัฒนาฯ อายุ 53 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีพค้าขาย เคยเป็นประธานเครือข่ายประชาชนคัดค้านทางด่วน พิเศษคลองเตย-สุวรรณภูมิ และเคยลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ปี พ.ศ.2551ส่วนกลุ่มผู้สมัครหน้าใหม่ ก็มีมากมายไล่ตั้งแต่ หมายเลข 1 นายวิละ อุดม ผู้สมัครอิสระ อายุ 48 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีพค้าขายปลาสวยงาม ที่ตลาดนัดซันเดย์  ปัจจุบัน เป็นประธานซันเดย์ไทยแลนด์ จำกัด ดำเนินการแก้ปัญหาคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนในการฟ้องร้อง ซึ่งประสานงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หมายเลข 4 ดร.โสภณ พรโชคชัย นักวางแผนพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหาร มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาชิกหลักของ FIABCI เป็นผู้แทน IAAO ประจำประเทศไทย และเป็นกรรมการสมาคมนักประเมินอาเซียน หมายเลข 6 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง จากกลุ่มเพื่อนสัณหพจน์สามมหาลัยดัง อายุ 39 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารรัฐกิจและกฎหมาย มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธานสภาทนายความศาลจังหวัดมีนบุรี และที่ปรึกษาบริษัทเอกชน เป็นนักธุรกิจ หมายเลข 7 นายณัฏฐ์ดนัย ภูเบศอรรถวิชญ์ ผู้สมัครอิสระ อายุ 56 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท เป็นเจ้าของบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจอัลลอย หมายเลข 12 ศ.จงจิตร์ หิรัญลาภ ผู้สมัครอิสระ อายุ 57 ปี  จบการศึกษาระดับปริญญาเอก 2 ใบ ด้านพลังงานจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลฝรั่งเศส และเป็นคนแรกของเอเชียที่ได้รับทุนการศึกษาปริญญาเอกด้านพลังงานจากประชาคมยุโรป แต่ลาออกจากอาจารย์ประจำคณะพลังงาน สิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีหมายเลข 13 นายวศิน ภิรมย์ ผู้สมัครอิสระ อายุ 32 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนหน้านี้เคยเป็นอาจารย์คณะครุศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาเทคโนโลยีมีเดีย หมายเลข 14 นายประทีป วัชรโชคเกษม ผู้สมัครอิสระ อายุ 63 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท เป็นนักธุรกิจ เคยเป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตพระโขนง เมื่อปี พ.ศ.2528 เคยเป็นนายกสมาคมชาวคลองเตย และเคยเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปราจีนบุรี หมายเลข 15 นายจำรัส อินทุมาร พรรคไทยพอเพียง อายุ 57 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพทนายความ  หมายเลข 18 นางนันท์นภัส โกไศยกานนท์ ผู้สมัครอิสระ อายุ 52 ปี  จบการศึกษาปริญญาโทจากคณะวิทยาการจัดการ สถาบันรัชภาคย์ เคยเป็นนักการตลาดและประกอบธุรกิจส่วนตัวเห็นกันจะจะแล้วทุกหมายเลข รักชอบใครแล้วอย่าลืมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ในวันที่ 3 มี.ค.นี้

Monday, January 21, 2013


ประยุทธ์กร้าว! พร้อมรบหากเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.



ประยุทธ์กร้าว! พร้อมรบหากเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.

ประยุทธ์ กร้าว! ทหารพร้อมรบหากเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอดูผลการตัดสินของศาลโลก เชื่อยุติด้วยแนวทางสันติ พูดคุยทวิภาคี ชี้รบกันมันง่าย แต่ชาวบ้านจะเดือดร้อน
... เมื่อวันที่ 21 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษ์แผ่นดิน ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลโลกกรณีเขาพระวิหาร ว่า ก็ชุมนุมกันไป ทุกคนรักชาติ แต่อยากให้รักอย่างถูกต้อง ปัญหาคือเขายังไม่เข้าใจ ตนคงไปห้ามไม่ได้ เพราะจะตำหนิตนว่าไม่รักชาติ ทั้งนี้ มีสิทธิ์จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่อย่าให้เกิดความรุนแรง อย่าให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย หรือให้ใครนำไปใช้ประโยชน์ โดยอย่านำไปเป็นคดีการเมือง เขารักชาติโดยบริสุทธิ์ใจไปห้ามไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ต้องแยกเป็น 2 เรื่องคือ กระบวนการของศาลโลก ซึ่งเขามีสิทธิ์ฟ้องต่อศาล เราก็ต้องรอคำตัดสินว่าจะออกมาอย่างไร เพราะเป็นคดีเก่าที่เกี่ยวข้องกับอาณาเขตศาลจะรับพิจารณาหรือไม่เป็นสิทธิ์ของศาล ซึ่งหากรับแล้วจะตัดสินอย่างไร ก็ต้องต่อสู้กันตามกระบวนการ ขณะนี้ทุกคนร่วมกันต่อสู้ จะชนะหรือแพ้ก็ต้องรอฟัง บางอย่างพูดไม่ได้ อีกเรื่องคือ มาตรการคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งตนจำเป็นต้องพูด เพราะมีผลกระทบกับทหาร โดยมาตรการดังกล่าวเกิดจากการละเมิดข้อ 5 ของเอ็มโอยู 43 ที่ระบุว่าพื้นที่ใดที่มีปัญหาต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เมื่อฝ่ายใดละเมิดก็ประท้วงกันไป ซึ่งเอ็มโอยูไม่ได้ระบุว่า ต้องยอมรับเส้นเขตแดน ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการอยู่เราอยากให้พูดคุยกันสองประเทศแบบทวิภาคี มากกว่าที่มาบอกว่าเราไปยอมรับความจริงเราไม่ยอมรับ สำคัญคือจะอยู่ร่วมกันอย่างไรโดยไม่ละเมิดกติกา ขณะนี้เรารอคำพิพากษาของศาลโลก และการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ที่ออกมาเพราะมีการรบกัน ฉะนั้น ถ้าหลีกเลี่ยงการรบกันได้ก็ดี ทหารเราพร้อมทุกเรื่องแต่ถ้ารบกันจะบานปลายหรือเปล่า เป็นเรื่องที่เราต้อง ตัดสินใจกัน เพราะเราพร้อมรบทุกอย่างถ้าตัดสินใจว่ารบก็คือรบ แต่ผมว่า มีกติกาอยู่ ต้องรอให้ชัดเจนก่อน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว เมื่อถามย้ำว่าได้เตรียมพร้อมหรือไม่ หากศาลโลกตัดสินว่าพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พร้อมมาตลอด แต่ตนคาดว่าจะไม่ตัดสินออกมาอย่างนั้น เพราะจะเป็นปัญหา ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะตัดสินด้วยอะไร เพราะไทยก็ถือแผนที่ของเราถ้าเขาถือแผนที่ของเขา แล้วเราต้องปฏิบัติตามหรือไม่ ก็ต้องไปว่ากัน รัฐบาลต้องเรียกฝ่ายความมั่นคงมาพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไร ขณะนี้ตนอยากให้ทุกคนร่วมกันคิดร่วมกันทำเช่นนั้นอยู่ อย่ามากล่าวหาว่า ตนเลือกข้างอย่างที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.ทหารสูงสุด บอกแล้วว่า แต่ละฝ่ายมีหน้าที่ของตนก็ทำไป เขาพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องดูแล เป็นจุดที่สำคัญ และเป็นปัญหาระหว่างประเทศ ถือเป็นพื้นที่ความขัดแย้ง อย่าเรียกเป็นอย่างอื่น ต่างคนก็ต้องต่อสู้ในหนทางที่สันติ ถ้ารบกันมันง่าย แต่คนที่ได้รับความสูญเสียคือ ประชาชน แล้วจะทำอย่างไรตามแนวชายแดนก็ไม่สงบ ก็ต้องถามเขาว่าจะเอาอย่างไร แต่ท้ายสุดแผ่นดินเป็นส่วนที่เราต้องรักษาไว้ให้ ได้ ต้องเริ่มด้วยกฎหมายก่อนเรื่องกำลังใช้เมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องห่วง เราพร้อมอยู่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว.

ปชป.โว 16 เลขมงคล ตรงว่าที่ ผู้ว่าฯกทม.คนที่ 16

ปชป.โว 16 เลขมงคล ตรงว่าที่ ผู้ว่าฯกทม.คนที่ 16
ปชป.ยัน 16 เลขมงคล ตรงเผงกับ ชายหมู ผู้ว่าฯคนที่ 16 ด้าน องอาจ ชี้เลข 16 ไม่มีอุปสรรค
 รับพื้นที่โซนตะวันออกของ กทม. ยังเป็นจุดอ่อนของพรรค...เมื่อวันที่ 21 ม.ค. นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ที่จับหมายเลขประจำตัวได้หมายเลข 16 ว่า ที่ผ่านมา นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคและประธานฝ่ายยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ก็เคยจับได้หมายเลขที่ 16 มาแล้วเช่นกัน ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 และบังเอิญเป็นสมัยที่ 2 ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และเป็นความบังเอิญอีกว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม.คนที่ 16 ดังนั้นพรรคจึงถือว่า เลขดังกล่าวเป็นเลขมงคล สอดคล้องกับสถานะกับเหตุการณ์ ทั้งนี้ พรรคจะใช้เลข 16 กรุยทางไปสู่ชัยชนะ โดยการนำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนกทม. และขออวยพรให้ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งแม้ว่าจะมีผู้ชนะได้คนเดียว โดยขอให้ใช้ความรู้ความสามารถแสดงออกถึงนโยบายเพื่อให้คนกทม.ได้มีตัวเลขที่มีคุณภาพในการแข่งขันครั้งนี้ พรรคยืนยันว่าในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้จะแข่งขันโดยขาวสะอาด ไม่เอาเปรียบ และไม่อยากเห็นการใช้อำนาจรัฐ สาดโคลน ใส่สีป้ายร้ายสีหรือเล่นเกมใต้ดินใดๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์กับคนกทม.ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หมายเลข 16 ไม่เป็นอุปสรรคต่อการหาเสียงเพราะพรรคเคยได้เลขสองหลักมาแล้ว อีกทั้งการหาเสียงก็อยู่ที่เนื้อหาสาระนโยบายที่เสนอกับประชาชนมากกว่าตัวเลข ซึ่งประชาชนจะจำได้ไม่กี่เบอร์และจำเฉพาะผู้สมัครที่น่าสนใจ ส่วนรูปแบบการหาเสียงจะเน้นให้ ส.ส. ส.ก. ส.ข. ของพรรคช่วยหาเสียงในพื้นที่ให้หนักเพราะต้องการเข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งให้มากที่สุด ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ระบุพื้นที่ฝั่งธนบุรี 15 เขตจะเลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทยนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม พูดแบบนี้มาตลอด ทั้งนี้ รับว่าพื้นที่โซนตะวันออกของ กทม. ยังเป็นจุดอ่อนของพรรค เพราะไม่มี ส.ส.ในพื้นที่ แต่ก็มี ส.ก ส.ข. ในบางพื้นที่ รวมทั้งมีสาขาพรรคที่เข้มแข็งและอดีตผู้สมัครหลายคนยังทำงานในพื้นที่ตลอด อีกทั้งพรรคจะระดมบุคลากรเข้าไปในพื้นที่ให้มากขึ้นจึงเชื่อว่าจะสามารถช่วยได้พอสมควร ผลการเลือกตั้งที่ออกมาคงไม่ขี้เหร่อะไร ส่วนกรณีที่มีผู้สมัครอิสระจำนวนมาก จะทำให้เสียงของพรรคลดลงหรือเป็นการตัดแต้มหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการแบ่งคะแนนไปบ้าง ก็ต้องติดตามดูแต่ตนไม่กังวลอะไร เพราะผู้สมัครแต่และคนมีแนวทางหาเสียงของตนเองอยู่แล้ว ในวันลงคะแนนประชาชนจะมีแนวทางตัดสินใจเลือกใคร ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการตัดแต้มกัน.

เลขาฯสมช.ห่วงปมพระวิหารกระทบชายแดน

เลขาฯสมช.ห่วงปมพระวิหารกระทบชายแดน
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หวั่น ความเคลื่อนไหว กรณีปราสาทพระวิหารกระทบชายแดน... เมื่อวันที่ 21 ม.ค. เวลา 12.15 น.ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวภายหลังการประชุม ครม. ถึงกรณีที่กลุ่มแนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติรักษาแผ่นดิน ชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไม่รับอำนาจของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร ว่า ตนไม่ได้มีรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวต่อที่ประชุม ครม. จากการติดตามสถานการณ์ เห็นว่ากลุ่มดังกล่าวได้มีการไปยื่นหนังสือข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานต่างๆ ตามที่เขาประสงค์ไว้ ส่วนคนที่ร่วมชุมนุมก็ยังมีไม่มาก ประมาณ 200-300 คน อยู่ในเกณฑ์ที่เราประเมิน อีกทั้งยังไม่มีรายงานเข้ามาว่าการชุมนุมดังกล่าวจะยืดเยื้อ แต่ตนกำลังกลับไปติดตามสถานการณ์ที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง อย่างไรก็ตามชื่อว่ากลุ่มดังกล่าวจะใช้นำประเด็นพระวิหารไปเคลื่อนไหวอีก ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงก็รู้สึกกังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อ สถานการณ์ตามแนวชายแดน แต่ยังอยู่ในวิสัยที่เราควบคุมได้ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ก็ยืนยันว่ายังไม่มีอะไรที่น่ากังวล ยังไม่มีการเพิ่มกำลังทหารตามแนวชายแดน.

Sunday, January 20, 2013

ชิงผู้ว่าฯกทม.คึกคัก 9 ว่าที่ผู้สมัครพร้อมลงสนาม

ชิงผู้ว่าฯกทม.คึกคัก 9 ว่าที่ผู้สมัครพร้อมลงสนาม
9 ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พร้อมลงสนามสมัครเลือกตั้ง เช้าตรู่ 21 ม.ค. 3 ตัวเต็ง จาก 2 พรรคใหญ่เดินเครื่องหาเสียง  วันที่ 20 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งจะเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 21-25 ม.ค.2556 และเลือกตั้งวันที่ 3 มี.ค.ว่า จากการตรวจสอบกับผู้สนใจลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ได้รับการยืนยันแล้วทั้งหมด 9 คน ประกอบด้วย 1.พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส 2.นายสุหฤท สยามวาลา 3.นายโฆสิต สุวินิจจิต 4.ร.อ.ดร.เมตตา เต็มชำนาญ 5.นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง 6.นายวรัญชัย โชคชนะ 7.ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ 8.นายโสภณ พรโชคชัย และ 9.พล.ต.อ.ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทยส่วนการหาเสียงวันนี้ 2 ว่าที่ผู้สมัครจากพรรคใหญ่ยังคงเดินหน้าหาเสียงอย่างเข้มข้น โดย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ว่าที่ผู้สมัครฯ จากพรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ อ.ต.ก. ตลาดนัดจตุจักร พร้อมเข้าพูดคุยรับฟังข้อเสนอแนะจากพ่อค้าแม่ค้า และผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของ ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. และ ว่าที่ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้ไปหาเสียงที่สวนลุมพินี โดยมีผู้สนับสนุนมาให้กำลังใจเช่นกัน โดยได้ทักทายกับ นายโฆสิต สุวินิจจิต ว่าที่ผู้สมัครอีกคน ที่มาหาเสียงและพบกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย ส่วน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ว่าที่ผู้สมัครฯ อิสระ ได้เดินทางมาหาเสียงที่ตลาดนัดสวนหลวง ร.9 ทั้งนี้ คาดว่าผู้สมัครทุกคนจะเดินทางไปสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.พรุ่งนี้ (21 ม.ค.) แต่เช้าตรู่.

ญาติวีรชนพฤษภาทมิฬขอทุกฝ่ายหนุนออก พ.ร.บ.นิรโทษฯความผิด ปชช.

ญาติวีรชนพฤษภาทมิฬขอทุกฝ่ายหนุนออก พ.ร.บ.นิรโทษฯความผิด ปชช.
กลุ่มญาติวีรชนพฤษภาทมิฬ เตรียมขอ “สภา-รัฐบาล-ผู้นำฝ่ายค้าน” หนุน ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมความผิด ปชช. เข้าร่วมชุมนุมการเมือง พร้อม จี้ “ธาริต” ออกตำแหน่งจนกว่าผลสอบเสร็จเมื่อวันที่ 20 ม.ค.เวลา 13.30 น.นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35 และนายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนฯ แถลงเรียกร้องให้ทุกกลุ่มการเมืองที่เกี่ยวข้องกับวิกฤติความขัดแย้งในประเทศไทยช่วยกันหาทางออกให้กับประเทศ สร้างประชาธิปไตยเพื่อประชาชนที่แท้จริง ไม่ให้กลับไปสู่ทางตัน หรือเป็นเรื่องเฉพาะประโยชน์ของกลุ่มการเมืองใดการเมืองหนึ่ง โดยเรียกร้องให้รัฐบาล ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ออกเป็น พ.ร.บ.แทนการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ตามข้อเสนอของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อยกเลิกความผิดให้กับประชาชนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ตั้งแต่ พ.ศ.2548-พ.ศ.2553 โดยยกเว้นแกนนำกลุ่มการเมืองที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นำเหล่าทัพ เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง และนำไปสู่ความปรองดองของภาคประชาชนอย่างแท้จริง“ภายในสัปดาห์หน้าทางคณะกรรมการญาติวีรชนฯ จะเคลื่อนไหวเพื่อขอการสนับสนุนประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้าน เพื่อให้สนับสนุนการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เฉพาะประชาชน เพราะเกรงว่าถ้าออกเป็น พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ถึงแม้จะเร็วจริง แต่เชื่อว่าจะมีคนไม่เห็นด้วยจำนวนมาก แต่หากเข้าสภาก็จะพูดคุยกันก่อนที่ออกมาเป็นกฎหมาย ผมเชื่อว่าจะดีกว่าเพราะทำเพื่อประชาชนจริงๆ” นายอดุลย์กล่าวนายอดุลย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้คณะกรรมการญาติวีรชนฯ ยังขอเรียกร้องให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีการสลายการชุมนุมเสื้อแดงในเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.2553 เนื่องจากนายธาริตเคยเป็นคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้-เสียในคดี อาจใช้อำนาจแทรกแซงในการทำคดีต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้อีกทั้งเกรงว่าเมื่อผลทางคดีออกมาแล้วจะไม่เป็นที่ยอมรับกับสังคม ซึ่งจะเป็นการซ้ำรอยกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และคณะกรรมการญาติวีรชนฯ ขอเรียกร้องไปยังแกนนำคนเสื้อแดง และคนเสื้อแดงทั่วประเทศที่สนับสนุนรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ช่วยบอกรัฐบาลว่าต่อไปนี้ต้องดำเนินการเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนโดยเร็ว หยุดการกระทำคอรัปชันจากนโยบายของรัฐ ให้หันมาทำเรื่องของประชาชนอย่างจริงจัง

โพลบ้านสมเด็จ ชี้ส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ กทม.

โพลบ้านสมเด็จ ชี้ส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ กทม.
โพลบ้านสมเด็จ ชี้คนส่วนใหญ่ (32.21%) ยังไม่ตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ กทม. ต้องรอใกล้วันลงคะแนน 3 มี.ค. ก่อน ยันความซื่อสัตย์-สุจริต คือสิ่งที่คนกรุงอยากได้จากผู้ว่าฯ มากที่สุดวันที่ 20 ม.ค. ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของประชาชน (ก่อนการรับสมัคร) ในประเด็นของการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีการรับสมัครผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 21 – 25 มกราคม 2556 และมีการกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 3 มีนาคม 2556ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ 1. กำหนดนโยบายและบริหารราชการของกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามกฎหมาย 2. สั่ง อนุญาต อนุมัติเกี่ยวกับราชการของกรุงเทพมหานคร 3. แต่งตั้งและถอดถอนรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่งตั้งและถอดถอนผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานที่ปรึกษา หรือคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือเป็นคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติราชการใดๆ 4.บริหารราชการตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย 5.วางระเบียบเพื่อให้งานของกรุงเทพมหานครเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รักษาการให้เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และ 6.อำนาจหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 และกฎหมายอื่นๆ และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ที่จะเข้ามาบริหารจัดการงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวนประมาณ 46,000 ล้านบาทนายสิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการโครงการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า จากการที่ผู้สมัครอิสระ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกาศตัวลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นคนแรก และมีผู้สมัครอิสระทยอยเปิดตัวเป็นผู้สมัครไม่ว่าจะเป็น คุณโฆสิต สุวินิจจิต อดีตผู้บริหารสถานีข่าวสปริงนิวส์ และอดีตประธานบริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ คุณสุหฤท สยามวาลา ผู้บริหารบริษัท และดีเจ รวมไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศส่ง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ลงสมัคร และพรรคเพื่อไทย ประกาศส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งทางคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่ละคนต้องใช้จ่ายในการเลือกตั้งแต่ละครั้งได้ไม่เกิน 49 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมากในการใช้จ่ายหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในครั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้ความสำคัญกับการหาเสียงผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) ในการประชาสัมพันธ์ทางการเมือง ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) ขนาดป้ายหาเสียงข้างถนนยังมีการให้ผู้พบเห็นไปติดตามในโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก (Facebook) ทวิตเตอร์ (Twitter) ยูทูบ (Youtube) อินสตาแกรม (Instagram) กูเกิลพลัส (Googel+) ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้สร้างแฟนเพจ (Fanpage) ในเฟซบุ๊ก (Facebook) เพราะการสื่อสารผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) ของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่สามารถสื่อสารกับประชาชนผู้สนับสนุนได้โดยตรง และการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในครั้งนี้ เป็นการแข่งขันในเมืองที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) มากที่สุดในโลกอย่างกรุงเทพมหานครซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ประชาชนส่วนใหญ่ในกรุงเทพมหานครคิดว่า ยังไม่ตัดสินใจจะเลือกใครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มากที่สุดร้อยละ 32.21 อันดับสองคือ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ร้อยละ 26.43 อันดับสามคือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ร้อยละ 19.30 อันดับที่สี่คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ร้อยละ 14.00 และอันดับที่ห้าคือ สุหฤท สยามวาลา ร้อยละ 3.16กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยากได้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่มีคุณสมบัติด้านความซื่อสัตย์ โปร่งใส ร้อยละ 40.22 มากที่สุด รองลงมาคือมีการปฏิบัติตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ ร้อยละ 18.49 อันดับสามคือมีการปฏิบัติงานให้เห็นเป็นรูปธรรม ร้อยละ 13.12ประชาชนส่วนใหญ่ในกรุงเทพมหานครอยากให้แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน คือ ปัญหาการจราจร ร้อยละ 42.29 มากที่สุด รองลงมา คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ ร้อยละ 21.31 อันดับสาม คือ ปัญหายาเสพติด ร้อยละ 16.42และนโยบายที่อยากให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้ความสำคัญมากที่สุด คือ ด้านการจราจรและขนส่งมวลชน 25.09 อันดับสอง คือ ด้านการศึกษาและคุณภาพชีวิต ร้อยละ 23.67 อันดับสาม คือ ด้านเศรษฐกิจและการส่งเสริมอาชีพ ร้อยละ 21.45

Thursday, January 17, 2013

โอกาสของผู้สมัครอิสระชิงผู้ว่าฯกทม.

โอกาสของผู้สมัครอิสระชิงผู้ว่าฯกทม.
             การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ผ่านมา เมื่อปี 2552 มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 4.1 ล้านคน แต่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งสิ้นเพียง 2.1 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ  51.1              อีกกว่า 2 ล้านคน ไม่ออกมาใช้สิทธิ์              มีความพยายามกระตุ้นคนที่ไม่สนใจโลกภายนอก ไม่รู้สึกว่าสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองนั้นเป็นอย่างไรอย่างต่อเนื่อง              นักวิชาการถึงกับใช้คำเรียกที่หรูหรา น่าชื่นชมแทนคนกลุ่มนี้ว่า "พลังเงียบ" เสียด้วยซ้ำไป              การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งล่าสุด ในจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์นั้น แบ่งเป็นผู้ที่เลือกผู้สมัครจาก พรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 9.3 แสนคน เลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย จำนวน 6.1 แสนคน เลือกผู้สมัครอิสระและงดออกเสียง จำนวน 5.6 แสนคน              จากคะแนนเสียงของทั้ง 2 พรรครวมกันแล้วได้ 1,540,000 คน ประมาณว่าเป็นฐานเสียงที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ 5 แสนคน เป็นฐานเสียงที่เลือกพรรคเพื่อไทย 5 แสนคน              ส่วนอีก 5.4 แสนคน เลือกตามกระแสนิยม !              ตรงนี้นี่เองที่ทำให้เกิดช่องว่าง เกิดโอกาสให้แก่ผู้สมัครอิสระ              ยิ่งมีกระแสความขัดแย้งของสองพรรคการเมืองใหญ่ ที่สร้างความเบื่อหน่ายให้แก่คนเมืองหลวง ก็มีแนวโน้มว่า ผู้คนที่เลือกตามกระแสนิยมนั้นอาจจะสวิงไปหาผู้สมัครอิสระ              หากย้อนกลับไปดูจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ก็จะพบว่า มีผู้มาใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นกว่า 9 แสนคน              พลังเงียบขยับแล้ว !              ตรงนี้จึงทำให้มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นสำหรับผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง              ดังนั้น หากแยกแยะปัจจัยที่จะเพิ่มโอกาสให้แก่ผู้สมัครอิสระแล้วก็จะเป็นดังนี้              -ผู้ใช้สิทธิ์ที่เคยเลือกผู้สมัครอิสระ และงดออกเสียง              -ผู้ใช้สิทธิ์ที่เคยเลือกตามกระแสนิยม (Swing Vote) เบื่อปัญหาความขัดแย้ง              -พลังเงียบที่ออกมาใช้สิทธิ์เพิ่มมากขึ้น (จำนวน 9 แสนคน)              จากทั้ง 3 ปัจจัยที่ว่านั้น ประมาณเสียงคร่าวๆ ได้ราว 1.9 ล้านคน              อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นยังต้องดูว่า มีปัจจัยอื่นใดที่จะมากระตุ้นให้แต่ละส่วนเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีก              นั่นย่อมหมายความว่า โอกาสของผู้สมัครอิสระในการเลือกตั้งครั้งนี้คงบอกได้ว่า "มีลุ้น"   ย้อน5สมัยดูคะแนนผู้สมัครอิสระ              ย้อนกลับไปดูสถิติการเลือกผู้ว่าฯ กทม. 5 ครั้งหลังสุด จะพบว่า ถึงแม้จะมี พิจิตต รัตตกุล เพียงคนเดียว ที่ลงในนามอิสระได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้สมัครอิสระจะไม่มีโอกาส              การเลือกตั้งเมื่อ 2 มิถุนายน 2539 มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ร้อยละ 43.53              1.นายพิจิตต รัตตกุล ผู้สมัครอิสระ 768,994 คะแนน 49.47%              2.พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พรรคพลังธรรม 514,401 คะแนน 33.09%              3.ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ผู้สมัครอิสระ 244,002 คะแนน 15.70%              4.นายอากร ฮุนตระกูล ผู้สมัครอิสระ 20,985 คะแนน 1.35%              5.นายวรัญชัย โชคชนะ ผู้สมัครอิสระ 1,011 คะแนน 0.07%              การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2543 มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ร้อยละ 58.87              1.นายสมัคร สุนทรเวช พรรคประชากรไทย 1,016,096 คะแนน 45.85%              2.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคไทยรักไทย 521,184 คะแนน 23.52%              3.นายธวัชชัย สัจจกุล พรรคประชาธิปัตย์ 247,650 คะแนน 11.17%              4.พันเอกวินัย สมพงษ์ ผู้สมัครอิสระ 145,641 คะแนน 6.57%              5.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ผู้สมัครอิสระ 132,608 คะแนน 5.98%              การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2547 มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ร้อยละ 62.5              1.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน พรรคประชาธิปัตย์ 911,441 คะแนน 38.20%              2.นางปวีณา หงสกุล ผู้สมัครอิสระ (ลาออกจากพรรคชาติพัฒนา) 619,039 คะแนน 25.95%              3.นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครอิสระ 334,168 คะแนน 14.01%              4.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้สมัครอิสระ 165,761 คะแนน 6.95%              5.ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์ ผู้สมัครอิสระ 135,369 คะแนน 5.67%              การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2551 มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ร้อยละ 54.18              1.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน พรรคประชาธิปัตย์ 991,018 คะแนน 45.93%              2.นายประภัสร์ จงสงวน พรรคพลังประชาชน 543,488 คะแนน 25.19%              3.นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครอิสระ 340,616 คะแนน 15.79%              4.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ผู้สมัครอิสระ 260,051 คะแนน 12.05%              5.นางลีนา จังจรรจา ผู้สมัครอิสระ 6,267 คะแนน 0.29%              การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2552 มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ร้อยละ 51.10               1.หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ 934,602 คะแนน 45.41%              2.นายยุรนันท์ ภมรมนตรี พรรคเพื่อไทย 611,669 คะแนน 29.72%              3.หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล อิสระ 334,846 คะแนน 16.27%              4.นายแก้วสรร อติโพธิ กลุ่มกรุงเทพฯ ใหม่ 144,779 คะแนน 7.03%              5.นางลีนา จังจรรจา อิสระ 9,043 คะแนน 0.44%   ............ (หมายเหตุ : โอกาสของผู้สมัครอิสระ : เกาะติดเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.)

นิรโทษกรรมไม่ใช่คำตอบ

นิรโทษกรรมไม่ใช่คำตอบ
                เปิดออกมาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับข้อเสนอในการนิรโทษกรรม ความผิดระหว่างการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบออกเป็น พระราชกฤษฎีกา ตามที่ นปช. เห็นชอบ หรือกระทั่งดีกรีจัดอย่างการเขียนเข้าไปในรัฐธรรมนูญอย่างที่ "นิติราษฎร์" ต้องการ                 ต่างกันที่ข้อเสนอ พ.ร.ก. ตามแบบ นปช.นั้น ยังกระมิดกระเมี้ยนขอให้นิรโทษกรรมเฉพาะผู้ชุมนุมทางการเมือง ยกเว้นแกนนำ แม้ภายหลังจะมีสมาชิกเสื้อแดงบางคนบอกว่าแกนนำบางส่วนจะได้รับอานิสงส์ในเรื่องนี้ไปด้วย                 ส่วนข้อเสนอของนิติราษฎร์นั้น ชัดเจนว่าแกนนำมีเอี่ยว และจะได้รับผลจากนิรโทษกรรมอย่างแน่นอน เพราะเลือกจะนิยามว่า จะนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุจูงใจที เกี ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐ จากวันที่ 19 กันยายน 2549 ถึง 9 พฤษภาคม 2554                 ซึ่งชัดเจนว่าการชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายตั้งแต่หลังรัฐประหารเป็นต้นมานั้น ล้วนแล้วแต่มีมูลเหตุจูงใจมาจากการเมืองทั้งสิ้น                 นอกจากนี้การตั้ง "กรรมการขจัดความขัดแย้ง" มาเป็นผู้ตีความว่าเป็นการกระทำที่มีแรงจูงใจจากทางการเมือง หากฟังตามคำอธิบายของนิติราษฎร์แล้ว มีความประสงค์ที่จะให้การพิจารณามีมิติมากกว่าตัวบทกฎหมาย                 แต่ในทางตรงข้ามกลับยิ่งเป็นการขยายอำนาจในการใช้ดุลพินิจ และมีความเป็นไปได้สูงว่าในหลายๆคดี อาจจะถูกยกโทษเพียงใช้คำว่า "มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง"                 ต้องไม่ลืมว่าในเรือนจำที่ยังมีผู้ต้องขังที่เคยเป็นผู้ชุมนุมนั้น หลายๆ กรณี ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดทางการเมืองเท่านั้น แต่หลายครั้งเป็นความต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองและเลยเถิดมาถึงละเมิดกฎหมายอาญา                 หลายคนต้องข้อหาลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย จริงอยู่ที่บางคนทำไปเพราะโกรธแค้น แต่ก็ต้องไม่มองอย่างไร้เดียงสาว่าทุกคนเป็นเช่นนั้น เพราะยังมีหลายคนที่ฉวยโอกาสจากการชุมนุมทางการเมืองเพื่อหวังประกอบอาชญากรรม                 และต้องจำไว้ด้วยว่า หลักการชุมนุมนั้นสามารถทำได้หากเป็นการชุมนุมโดยสงบ แต่หากล้ำเส้นก็จำเป็นต้องมีความผิดทางอาญาและต้องรับโทษ เพราะแรงจูงใจทางการเมืองย่อมไม่มีสิทธิที่จะไปละเมิดผู้อื่นได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหากกระทำความผิดก็ต้องรับผิดเช่นกัน อย่างไม่มีข้อยกเว้น                 แต่หากจะอ้างเรื่องการขจัดความขัดแย้ง ข้อเสนอของ นิติราษฎร์ ยิ่งสอบตก เมื่อเลือกที่จะนิรโทษกรรมให้แก่ฝั่งผู้ชุมนุม โดยที่ไม่ยอมอภัยให้แก่ฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นแกนนำ โดยให้เหตุผลว่า "เพื่อเป็นการวางมาตรฐานว่าต่อไปเจ้าหน้าที่ต้องปฏิเสธการปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้ง"                 เห็นได้ชัดว่า ข้อเสนอดังกล่าวนั้นค่อนข้างเหลื่อมล้ำ เพราะหากเป็นม็อบ ก็จะมีโอกาสพ้นผิดทั้งผู้ชุมนุม และแกนนำ ขณะที่ฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องรับผิด ทั้งคนสั่งการ หรือกระทั่งเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่เป็นผู้รับคำสั่ง ก็ไม่มีโอกาสที่จะพ้นผิด                 เหตุผลฟังดูสวยหรู แต่มองลึกเข้าไปจะเห็นชุดความคิดที่ว่า เฉพาะฝั่งผู้ชุมนุมเท่านั้นที่มีโอกาสผิดพลาด แต่ฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐนั้นไม่มีโอกาสผิดพลาดแม้แต่น้อย                 ไม่ทราบว่า "นิติราษฎร์" จะเคยรู้หรือไม่ว่า การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานนั้น บางคนก็เชื่อว่าคำสั่งที่ได้รับนั้นถูกต้องตามกฎหมาย ทุกอย่างกระทำตามขั้นตอน และไม่เชื่อว่ามีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น                 ความผิดพลาดเช่นนี้ ความไม่รู้เช่นนี้ นิติราษฎร์เลือกที่จะลืมหรือไม่                 เชื่อได้ว่าหากอ้างเรื่องบรรเทาความขัดแย้ง ทุกคนน่าที่จะยอมรับการนิรโทษหรือให้อภัยผู้ร่วมชุมนุมและเจ้าหน้าที่ระดับล่าง เพื่อปลดล็อกประเทศให้เดินหน้า แต่การนิรโทษให้แก่แกนนำหรือผู้สั่งการจนมีคนตายกลางเมืองเกือบร้อย คงเป็นเรื่องที่ยากเกินทน                 แต่เมื่อข้อเสนอยังลักลั่นเช่นนี้ ก็ยากที่จะทำให้เกิดการยอมรับ และความขัดแย้งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขจัดโดยการยอมรับเพียงฝั่งเดียว                 ยิ่งไปกว่านั้น ย้อนถามกลับไปยังทั้งสองฝ่าย เริ่มจากฝั่งที่ไม่ใช่เสื้อแดงว่ายอมรับได้หรือไม่ ที่แกนนำจะต้องพ้นผิดหากความจริงปรากฏว่ามีการใช้ความรุนแรง ยั่วยุ ใช้อาวุธ ตลอดจนกระทั่งเผาบ้านเผาเมือง                 หรือฝั่งคนเสื้อแดงยอมรับได้จริงหรือไม่ หาก "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" และ "สุเทพ เทือกสุบรรณ"  ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ แม้ทุกอย่างจะชี้ชัดว่า "สั่งฆ่า" ประชาชนจริงๆ                 หรือความจริงที่ปรากฏจะเป็นว่า ต่างคนต่างผิด                 หนทางของการขจัดความขัดแย้งจึงไม่ใช่อยู่ที่การมองว่าฝั่งตัวเองเท่านั้นที่ถูก หรือการเลือกที่จะลืมๆความผิดที่ก่อมาและกรอเทปกลับไปเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะหากเป็นเช่นนั้น วันนึงก็จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา                 ความขัดแย้งย่อมถูกขจัดได้ด้วยความจริง และคนผิดต้องได้รับโทษตามสมควร                 ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าถึงวันนี้บรรดา "ผู้นำ" ทั้งหลายที่เคยปากกล้าว่าจะไม่รับการนิรโทษ เมื่อวันเวลาผ่านไป ความจริงปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ จะยังยืนยันคำเดิมว่า "ไม่ขอรับการนิรโทษ" หรือไม่ .......... (หมายเหตุ : นิรโทษกรรมไม่ใช่คำตอบ : ขยายปมร้อน โดยอรรถยุทธ  บุตรศรีภูมิ)  

Blog Archive