Thursday, January 3, 2013

มัลลิกา อัดรัฐ เตรียมเผาจริงปีนี้ เหตุคนตกงาน-ของแพง

มัลลิกา อัดรัฐ เตรียมเผาจริงปีนี้ เหตุคนตกงาน-ของแพง
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษก ปชป.ลั่น ปี 2556 นี้ เตรียมตัวเผาจริง เหตุคนตกงานเพียบ เย้ย เกิดวิกฤติ “ของแพงจนแทบไม่มีจะกิน” อัดรัฐ ไม่มีมาตรการออกมาช่วยแรงงาน วันที่ 3 ม.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ปี 2556 จะเป็นปีที่ประชาชนไม่สามารถรอความหวังจากรัฐบาลได้ และถือเป็นปีเผาจริง เพราะนโยบายประชานิยม 16 นโยบาย กำลังจะออกดอกผล ส่อเป็นวิกฤติในปีนี้ อีกทั้งจากข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) รวมทั้งนักวิชาการ และภาคส่วนต่างๆ ระบุว่า กลางปี 2556 จะเป็นช่วงตึงเครียดมากที่สุด โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย.นี้ ประชาชนจะทยอยเกิดปัญหา ขณะเดียวกัน ข้อมูลการประมาณการของกระทรวงแรงงานพบว่า จากภาวะเศรษฐกิจ นโยบายขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้ปีนี้มีผู้ว่างงาน ประมาณ 350,000-400,000 คน นอกจากนี้ ในหลายจังหวัด อาทิ สิงห์บุรี ขอนแก่น ศรีสะเกษ พะเยา เกิดปัญหาโรงงานทยอยปิดกิจการ หรือย้ายฐานการผลิตออกไป ทำให้แรงงานถูกเลิกจ้างจำนวนมาก ทั้งที่ยังไม่มีทางออก ยังไม่มีอาชีพอื่น ส่วนกระทรวงแรงงาน ก็ไม่มีมาตรการรองรับหรือการเยียวยา ทั้งนี้ มีหลายโรงงานกระทำผิดเงื่อนไขกระทรวงแรงงาน โดยนำเงินส่วนที่เป็นสวัสดิการของพนักงาน เช่น ค่าทำงานล่วงเวลา (โอที) ค่ารถ ค่าอาหารกลางวัน การจัดรถรับ-ส่งพนักงาน ไปรวมกับเงินค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท กลายเป็นพนักงานไม่ได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นจริงๆ ตามที่รัฐบาลโฆษณาไว้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงแรงงาน ติดตามผลกระทบและผู้ใช้แรงงาน พร้อมหามาตรการเยียวยา แรงงานและผู้ที่ถูกเลิกจ้างด้วย น.ส.มัลลิกา กล่าวอีกว่าข้อมูลของ สอท.ระบุว่าในไตรมาสแรกปีนี้ ธุรกิจ แบบเอสเอ็มอี จะทยอยเป็นหนี้จนปิดกิจการ จึงขอให้นายกรัฐมนตรี หยุดดำเนินการในเรื่องอื่น เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกไปก่อนและจัดตั้งวอร์รูมเพื่อหามาตรการรองรับปัญหาเหล่านี้ นอกจาก นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายงานแก่รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจแล้ว ก็ควรหารือกับภาคเอกชนและสมาคมธุรกิจต่างๆ และควรนำข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบหรือวิเคราะห์โดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ของ สภาผู้แทนราษฎร ที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ ไปใช้ในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลปล่อยให้มีการขึ้นค่าไฟฟ้าทันที ที่เปิดปีใหม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ยกเลิกมาตรการค่าไฟฟ้าฟรี แต่ค่าน้ำมันก็พุ่งสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ รวมถึงราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งปี 2556 จะเกิดวิกฤติ “ของแพงจนแทบไม่มีจะกิน” จึงขอให้รัฐบาลหามาตรการมาแก้ปัญหาด้วย.

พันธมิตรฯประกาศจุดยืน ไม่รับอำนาจศาลโลก กรณีเขาพระวิหาร

พันธมิตรฯประกาศจุดยืน ไม่รับอำนาจศาลโลก กรณีเขาพระวิหาร
โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เผย พธม.เตรียมประกาศ จุดยืน ไม่รับอำนาจศาลโลก กรณีเขาพระวิหาร หากตัดสินให้ไทยเสียเปรียบ จวก ปึ้ง พูดไม่เหมาะวันที่ 4 ม.ค. นายปานเทพ  พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)  กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ กรณี ที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมต.การต่างประทศ ออกมายอมรับ ทำนองว่าให้ประชาชนคนไทยทำใจไว้บ้าง หากศาลโลกตัดสินคดีพิพาทปราสาทพระวิหาร ระหว่างไทย-กัมพูชาออกมา ทำให้ไทยเสียเปรียบว่า ไม่สมควรที่จะออกมา ยอมรับในทำนองนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน   นายปานเทพ กล่าวต่อว่า เหตุใดประเทศไทย ต้องยอมรับอำนาจศาลโลก เพราะไทยเอง ก็เคยประกาศไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินเมื่อปี 2505  และขอสงวนสิทธิ์เอาไว้ ตั้งแต่ปี 2505 แล้วว่า จะไม่ขอยอมรับอำนาจศาลโลก และหากศาลโลกตัดสินคดีปราสาทพระวิหารออกมาเป็นผลลบกับประเทศไทยประมาณกลางหรือปลายปีนี้จริง เราจะไม่ยอมรับอำนาจก็ได้ ประเด็นสำคัญประเทศมีทางเลือก 2 แนวทาง คือไม่ขอรับอำนาจศาลโลก อีกแนวทาง คือเสี่ยงสู้คดีความ ยอมรับอำนาจศาลโลก ซึ่งในกรณีหลังนี้นี้ก็เล็งเห็นผลในภายภาคหน้าอยู่แล้ว ว่าอย่างดี ก็เสียพื้นที่เท่าเดิม ตามที่ศาลโลกได้เคยตัดสินเอาไว้เมื่อปี 2505 อีกอย่าง คือจะสูญเสียพื้นที่มากกว่าเดิมเท่านั้น ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก เหมือนกับเมื่อปี 2505 น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ซึ่งในโลกนี้ก็มีตัวอย่างของคู่กรณีประเทศอื่นดำเนินการอยู่เช่นกัน  ทั้งนี้ ความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยเองก็จะถือเป็นประเทศแรกในโลก ที่มีกรณีข้อพิพากเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในการกำหนดเขตปลอดทหาร ที่ศาลโลกกำหนดออกมา ที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นมีคู่กรณีประเทศไหน ที่มีข้อพิพาทเรื่องบูรณภาพแห่งดินแดนระหว่างกันปฏิบัติตามเลย ดังนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ จึงเตรียมการที่จะออกแถลงการณ์ เรื่องจุดยืนในกรณีพื้นที่ปราสาทพระวิหารในวันนี้ เวลาประมาณ 12.00 น.ต่อไป ทั้งนี้ ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะต้องแสดงจุดยืน ขณะกรณีเขาพระวิหารช่วงนี้ยอมรับว่า อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก ก็เป็น 1ในเรื่องที่สำคัญกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องออกมาแสดงความชัดเจน. 

บิ๊กโอ๋มั่นใจถอดยศมาร์คทำได้ เมินฟ้องศาลพร้อมสู้คดี

บิ๊กโอ๋มั่นใจถอดยศมาร์คทำได้ เมินฟ้องศาลพร้อมสู้คดี
“สุกำพล” มั่นใจถอดยศ ว่าที่ ร.ต.มาร์ค เมิน ฟ้องศาลพร้อมสู้คดี ยันมีหลักฐานชัด ด้านปัญหาไฟใต้ เชื่อไม่นานเกินรอสงบ ขณะวอนสื่ออย่าดัดแปลงข่าวปราสาทพระวิหาร ไทยพร้อมสู้คดีเสมอ พร้อมยืนยันกองทัพไม่มีซูเอี๋ยแบ่งพื้นที่ทางทะเล ปรามอย่ามาดูถูกกัน...ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวถึงการดำเนินการถอดยศร้อยตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านภายหลังจากที่มีการลงนามเพิกถอนคำสั่งการแต่งตั้งเป็นนายทหาร สัญญาบัตรว่า ทุกอย่างมีกฎ กติกาอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องดูที่เหตุว่า คืออะไร เรามีหลักฐานชัดเจนว่า เขาไม่ได้เกณฑ์ทหารและใช้เอกสารเท็จจึงต้องเป็นโมฆะ เหมือนการเอาปริญญาปลอม ไปสมัครงาน เมื่อถูกตรวจพบต้องเอาออก เพียงแต่เราเจอช้าไปหน่อย ซึ่งก่อนหน้านี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว และมีการเสนอแนะขึ้นมาว่า ควรถอดถอนคำสั่งที่ผู้บังคับบัญชาสมัยนั้นได้เซ็นแต่งตั้งไปด้วยความผิดหลง นึกว่า ถูกต้อง จึงต้องถอนออก ไม่ใช่การลงโทษส่วนที่นายอภิสิทธิ์ จะไปฟ้องศาลนั้น ก็ว่ากันไป ตนไม่เคยไปโวยวายว่า มากลั่นแกล้งตน คงต้องสู้คดีกันไป ซึ่งตนทำด้วยความมั่นใจ เพราะมีหลักฐานชัดเจน เมื่อถามถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ แย้งว่า การเพิกถอนคำสั่งเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมาขัดกับคำสั่งแรกที่สั่งปลดออกจากราชการ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า คงไม่ขัด เป็นเพียงการถอนคำสั่งบรรจุเป็นนายทหาร ว่าที่ร้อยตรี ซึ่งคำสั่งที่สองไม่ได้ขัดกับคำสั่งแรก ต้องเข้าใจกฎหมายของทหาร คำว่า The Old Soldier Never Die หรือทหารแก่ไม่มีวันตาย คือ เมื่อเป็นทหารต้องทำตามกติกาของทหาร ไม่ใช่ปลดแล้วเลิกไป นั่นคือ พลเรือน วันนี้ตนเกษียณแล้ว ตนต้องมีความเป็นทหารอยู่ตลอด เรามีกฎกติกาชัดเจนที่ชี้แจงได้ เราไม่ได้กลั่นแกล้ง อย่าคิดว่า ปลดไปแล้ว เกษียณไปแล้วจะทำไม่ได้ มันต้องทำได้ ตนจึงทำ ไม่ใช่ทำไม่ได้แล้วไปดันทุรังทำ ตนมั่นใจว่า ทำได้ส่วนการทูลเกล้าฯเพื่อถอดยศจะต้องรอให้เสร็จสิ้นกระบวนการของศาลปกครองก่อน หรือไม่นั้น อย่าเพิ่งถาม เพราะเร็วเกินไป ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนกติกา เราเป็นข้าราชการต้องทำตามกติกา ทำนอกลู่นอกทางไม่ได้ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวถึงการครบรอบ 9 ปี สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า รัฐบาลมีหลายแนวทางเพื่อให้ภาคใต้ดีขึ้น ซึ่งพูดกันเยอะว่า ผ่านมา 9 ปีแล้วจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้หรือไม่ ตนยืนยันว่า ได้เห็นแน่ และมั่นใจว่า อีกไม่นานเกินรอ ภาคใต้จะดีขึ้นมาก โดยเฉพาะในปี 56 ซึ่งจะเห็นว่า ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เราทำหน้าที่ได้ดีมาก สถานการณ์ความไม่สงบแทบจะไม่มี และสามารถจับอาวุธปืนได้มาก เราพยายามเร่งทำอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันเราให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาด้วยสำหรับการทำหน้าที่ของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือนก็ทำงานเข้าขากันอย่างดีมาก พูดเข้าใจกัน เพียงแต่ยังมีในบางพื้นที่ที่สถานการณ์ยังมีความรุนแรง ต้องบอกว่า วันนี้เราเดินมาถูกทาง เมื่อถามว่า ยังจำเป็นที่จะต้องใช้แนวทางการพูดคุยกับผู้ก่อความไม่สงบหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่เอามาพูดตรงนี้ แต่ตนจะทำทุกอย่างให้ภาคใต้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามตนได้มีการประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ตลอด และจากการลงพื้นที่ร่วมกันในประเทศมาเลเซีย ทางมาเลเซียยืนยันว่า พร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่นอกจากนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมจัดตั้งคณะทำงานและทีมโฆษกเพื่อทำความเข้าใจกับ ประชาชนเกี่ยวกับคดีประสาทพระวิหารว่า เรื่องนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวโต๊ะใหญ่ โดยกระทรวงกลาโหมกับกองทัพให้ความร่วมมือ เรื่องเขาพระวิหารเป็นเรื่องใหญ่และใกล้เวลาที่ศาลโลกจะตัดสินจึงมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากในช่วงนี้ เราจึงต้องทำด้วยความรอบคอบ ไม่ใช่กระทรวงกลาโหมพูดทีหนึ่ง หรือกระทรวงการต่างประเทศพูดทีหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดความไขว้เขว มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จึงต้องจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อนำข้อมูลข่าวสารจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับคดีเขาพระวิหารมากลั่นกรอง เพื่อให้มีความถูกต้อง“เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนไทยทุกคนมองเหมือนกันว่า เราไม่อยากสูญเสียอะไรอีกแล้ว ผมก็มีความรู้สึกอย่างนั้น และยังมองในแง่ดี เชื่อมั่นด้วยเหตุผลเพราะสัมผัสเรื่องนี้มาพอสมควร โดยส่วนตัวมั่นใจว่า จะตัดสินให้ทั้งสองประเทศเหมือนเดิม คือ เสมอตัว ถือเป็นผลดีทั้งสองฝ่าย เพราะถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ก็จะมีปัญหา ไม่มีอะไร เราอย่าไปมองในทางร้าย ผมได้พูดคุยกับ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเราสองคนสัมผัสเรื่องนี้มาพอๆ กัน แต่สิ่งที่รมว.ต่างประเทศพูดมา เพราะท่านเป็นห่วงว่า ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น แล้วท่านก็ห่วงอย่างนั้น ซึ่งท่านคงไม่อยากให้เกิด อยากขอร้องสื่อว่า อย่าไปประโคมข่าวหรือดัดแปลงว่า ไทยแพ้แน่เหมือนเป็นนักมวยขึ้นชกบอกว่า แพ้แน่คงไม่อยากขึ้นชกแล้ว เราต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เรื่องคงไม่เลวร้ายอย่างที่คิด อย่าเป็นกระต่ายตื่นตูม และรมว.ต่างประเทศไม่เคยบอกว่า หนักใจในการต่อสู้คดี และฝ่ายไทยไม่เคยหนักใจ เรื่องการต่อสู้คดีเลย เราพร้อมต่อสู้ เรามีแผนในการต่อสู้ที่ดี” รมว.กลาโหม กล่าวเมื่อถามว่า การที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนยอมรับคำตัดสินของศาลโลก พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ถือเป็นหลักสากลอยู่แล้ว เมื่อเราเป็นสมาชิกในชาติภาคี หากคำตัดสินออกมาอย่างไรก็ควรปฏิบัติตาม การอยู่ในสังคมโลกต้องเป็นอย่างนี้ หากไม่ทำตามเราจะไปเป็นภาคีกับเขาทำไม ถือว่า ต้องทำตามคำสั่งของศาลโลก แต่เป็นความห่วงใย เพราอาจมีบางกลุ่มไม่เข้าใจจึงจำเป็นต้องมีทีมโฆษกเพื่อให้ข่าวออกมาเป็นในทิศทางเดียวกัน ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกตว่า ทางรัฐบาลมีผลประโยชน์ทางทะเลร่วมกับทางกัมพูชานั้น ไม่มี เราไม่เคยทำอย่างนั้น การพูดอย่างนี้ไม่สร้างสรรค์และไม่มีประเทศไหนทำกันเมื่อถามถึงกรณีที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา เตรียมทำข้อเสนอถึงรัฐบาลเพื่อให้ปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งศาลโลก เพราะไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญารับรองอาณาเขตของศาลโลกตั้งแต่ปี 2505 และไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาคดีเดิมเมื่อปี 2505 ครบถ้วนแล้ว พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ถือเป็นการแสดงออกในเรื่องการรักชาติอย่างหนึ่งก็ให้ทำข้อเสนอมา ถือเป็นเรื่องดี เพราะกระทรวงการต่างประเทศกำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ จะได้นำข้อมูลเรื่องนี้มาดูว่า เรามีหรือยัง ส่วนที่ นายคำนูณตั้งข้อสังเกตว่า ท่าทีของรัฐบาลและกองทัพเหมือนให้ประชาชนยอมรับความพ่ายแพ้นั้น รู้สึกไม่พอใจ พูดอย่างนี้ถือเป็นการดูถูกกองทัพมากเกินไป อย่ามาดูถูกกองทัพ และพูดเหมือนว่า เราไปซูเอี๋ยหรือไปยอมแพ้เขา เพื่อผลประโยชน์ คิดว่า มาคุยกับตนน่าจะดีกว่า.

Blog Archive