Thursday, March 14, 2013

ขยายสัญญาพีซีซี สร้างโรงพักอีก 30 วัน

ขยายสัญญาพีซีซี สร้างโรงพักอีก 30 วัน
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. แถลงขยายสัญญาให้ บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด สร้างโรงพัก 396 แห่ง อีก 30 วัน ขู่ พ้นกำหนดฟ้องเรียกค่าเสียหายวันละ 5.8 ล้าน... วันนี้ (14 มี.ค.56) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ร่วมกับคณะทำงานพิจารณาการแก้ไขปัญหา การก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศว่า วันนี้เป็นวันครบกำหนดสัญญาการก่อสร้าง ซึ่งบริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ต้องส่งมอบโรงพักทดแทน 396 แห่ง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ตามกฎหมายโครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหญ่ มูลค่าการก่อสร้างกว่า 5,000 ล้านบาท จึงต้องให้เวลากับคู่สัญญาในการดำเนินการส่งมอบ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขยายเวลาให้กับ บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด อีก 30 วัน ส่งมอบในวันที่ 17 เมษายน หากไม่สามารถดำเนินการได้ จะส่งหนังสือยกเลิกสัญญาในวันที่ 18 เมษายน และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่ง เรียกค่าเสียหายวันละ 5.8 ล้านบาท ส่วนการประกวดราคาเพื่อจัดสร้างโรงพักใหม่ ให้แต่ละพื้นที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จ ในวันที่ 18 เมษายน เช่นกัน

ถาม ผบ.ตร. ที่มาเงิน300ล้านเยียวยาโรงพักฉาว

ถาม ผบ.ตร. ที่มาเงิน300ล้านเยียวยาโรงพักฉาว
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ถามที่มาเงิน 300 ล้านบาท ที่ ผบ.ตร.ใช้เยียวยาปมโรงพักฉาว งง บริษัทพีซีซี ทำผิดสัญญาทำไมไม่ยกเลิก ก่อนโชว์ใช้ค้อนประจำตัวทุบโมเดลโรงพักจำลองประชด...  วันนี้ (14 มี.ค. 56) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณหน้ารัฐสภา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ในฐานะรองประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงข่าวที่หน้ารัฐสภา พร้อมกับนำโมเดลสัญลักษณ์โครงการสร้างโรงพัก (ทดแทน) 396 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และค้อนแดงประจำตัว พร้อมแผ่นป้ายต่างๆ อาทิ จะโกงกินอีกมากแค่ไหน, ใครคือคนแดกประเทศไทย และอย่าปล่อยให้คอรัปชันลอยนวล   อัด ข้าราชการประจำ รังแกประชาชน เอื้อการเมือง นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนติดตามโครงการสร้างโรงพัก 396 แห่งมาตั้งแต่ต้น จนวันนี้ วันที่ 14 มี.ค. 56 เป็นวันที่ครบกำหนดสัญญาอัปยศ ที่ สตช. ได้ทำกับบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทั้งที่ผ่านมากว่า 2 ปี ได้มีการต่อสัญญาให้ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกต่อให้ 30 วัน ครั้งที่สอง 180 วัน และครั้งที่สาม ในเดือน พ.ย.55 อีก 60 วัน ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่บอกว่าข้าราชการถูกรังแก แต่อยากจะบอกว่าตนในฐานะผู้เสียภาษีและประชาชนทั่วไปก็ถูกข้าราชการประจำรังแกเช่นกัน เพราะโครงการนี้ สตช.ในฐานะคู่สัญญากับบริษัทพีซีซี สามารถยกเลิกสัญญาได้ตามข้อ 6 ที่ระบุชัดว่า หากบริษัทก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ หรือทำผิดสัญญา ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่กรณีนี้ต่อสัญญาถึง 3 ครั้ง แม้จะสร้างไม่เสร็จ แต่ยังได้สร้างต่อ สตช.ไม่ยอมยกเลิกสัญญา ถามว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) อย่างน้อย 3-4 คนในช่วงที่ผ่านมา กรรมการตรวจรับงาน และข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ ล้วนรังแกประชาชนและตำรวจชั้นผู้น้อย เพราะข้าราชการประจำเหล่านี้ เลี่ยงใช้ช่องว่างช่วยเหลือบริษัทผู้รับเหมา ผลาญเงินภาษีงบประมาณแผ่นดินที่มาจากประชาชน อย่างน้อยโครงการนี้ 5,800 ล้านบาท แถมได้รับการยกเว้นไม่ต้องค่าปรับวันละ 5.8 ล้านบาท รวมเป็นเงินค่าปรับกว่า 1,500 ล้านบาท หากข้าราชการประจำหลีกเลี่ยง ประเทศชาติจะเหลืออะไร  ธาริต-อดุลย์ไปแจงคดีที่ ป.ป.ช.-ศาล นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า นายธาริต หรือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ไม่ต้องมาพบตนที่เป็นกรรมาธิการ แต่ขอให้ไปพบกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสู้คดีในศาลกันเอง เพราะวันนี้ กรรมาธิการทำอะไรไม่ได้ เป็นแค่เสือกระดาษ ที่น่าสนใจกว่านั้น ตนเห็นข่าว พล.ต.อ.อดุลย์ นำเงินไปเยียวยาให้โรงพักต่างๆ ที่สร้างไม่เสร็จ โรงพักละ 300,000 บาท ถามว่านำเงินมาจากไหน ทั้งที่ คู่สัญญาทำผิด แต่กลับไม่ปรับและไม่ยกเลิก โดยเงินที่นำไปเยียวยา 100 โรงพัก เท่ากับต้องใช้เงิน 30 ล้านบาท แล้วหากต้องเยียวยา 300 กว่าแห่ง จะเป็นเงินกว่าร้อยล้านบาท จึงขอให้ชี้แจงว่านำเงินงบประมาณมาจากไหน ตนทำหน้าที่ของตนได้ดีที่สุดเท่านี้ ขอเรียกร้องให้ข้าราชการประจำ ได้ทำหน้าที่ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา ไม่ใช่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายผู้มีอำนาจและชี้ช่องกฎหมายช่วยเหลือเพื่อให้เกิดการทุจริตคอรัปชันผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายชูวิทย์ได้นำเงินกงเต๊กโรยใส่บนโมเดลโรงพัก พร้อมพูดว่า อยากได้เงินเท่าไหร่ เอาไป จากนั้นก็ใช้ค้อนทุบโมเดลดังกล่าวจนแตกละเอียด ท่ามกลางความสนใจของสื่อจำนวนมาก.  

สุกำพลยันไม่เสียทีเขมร ซ้ำรอยปี2472

สุกำพลยันไม่เสียทีเขมร ซ้ำรอยปี2472
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต แจงนัดพบ พล.อ.เตีย บันห์ ด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับ ทักษิณ เชื่อไม่กระทบคดีพระวิหาร เหตุพบกันที่บริเวณตัวปราสาท ลั่นไม่พลาดท่าซ้ำรอยปี 2472 แน่...วันนี้ (14 มี.ค.56) เวลา 11.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมี นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามสด การพบกันระหว่าง รมว.กลาโหม ของไทยและกัมพูชา โดยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มีข้อสงสัยว่า ที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ขึ้นไปพบกับ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกัมพูชา ตามคำเชิญของกัมพูชา จะเป็นการเพลี่ยงพล้ำเหมือนในอดีต สมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ขึ้นไปบนเขาพระวิหาร โดยมีธงชาติฝรั่งเศสปักอยู่ และฝ่ายไทยก็ไม่ได้โต้แย้ง ประเด็นนี้ จึงถูกใช้เป็นหลักฐานในศาลโลกว่า ไทยยอมรับในอธิปไตยของฝรั่งเศส นอกจากนี้ เท่าที่ตนดูรูปภาพเทียบเคียงอดีตกับปัจจุบันพบว่า พื้นที่ที่ พล.อ.อ.สุกำพล ถ่ายรูปร่วมกับ พล.อ.เตีย บันห์ เป็นจุดที่ใกล้เคียงกับที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยไป จึงกังวลใจ เพราะศาลโลกจะตัดสินคดีปราสาทพระวิหารในปีนี้ จึงอยากทราบว่าไปโดยคำเชิญใคร ไปเจอกันตรงไหนอย่างไร เพราะเป็นสาระสำคัญที่อาจทำให้ศาลโลกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้ นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศเองก็มีข้อห่วงใย เพราะก่อนหน้านี้ มีการจัดเตรียมความพร้อมที่จะเจอกันที่ โรงแรมสุรินทร์มาเจสติก แต่ทำไมมาเปลี่ยนสถานที่ภายหลัง และมีข่าวว่ากองทัพเองก็ไม่เห็นด้วย โดยตนยังมีข้อสังเกตว่า ก่อนที่ รมว.กลาโหม จะไปพบกับ พล.อ.เตีย บันห์ เกิดขึ้นภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางออกจากกัมพูชาไปฮ่องกง จึงสงสัยว่าการเปลี่ยนสถานที่นัดพบเป็นบนปราสาทพระวิหาร เพราะทำตามคำแนะนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ และอยากถามว่า เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว หรือประเทศชาติ เพราะก่อนหน้านี้ทหารไทยกับกัมพูชาได้ปะทะกัน ทำให้ทหารไทยเสียชีวิตกว่า 10 นาย เพื่อรักษามาตุภูมิและรักษาท่าทีของฝ่ายไทย ที่จะขึ้นศาลโลก การที่ พล.อ.อ.สุกำพล ขึ้นไปถ่ายรูป ก็สุ่มเสี่ยงจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก จึงขอร้องว่าอย่าทำแบบนี้อีก เพราะอาจส่งผลต่อการพิจารณาของศาลโลกได้  ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล ชี้แจงว่า การไปครั้งนี้ ไม่มีการเชิญมา ตนในฐานะประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ต้องการไปตรวจเยี่ยมทหารด้วย บริเวณที่ไปพบกันคือ ตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นเขตแดนกัมพูชา จึงไม่มีผลอะไรต่อคดี กระทรวงการต่างประเทศเอง ก็ไม่ได้จองโรงแรมสุรินทร์มาเจสติกไว้ การติดต่อประสานงานเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม โดยกรมกิจการชายแดนทหาร กระทรวงการต่างประเทศ เพียงแค่ส่งเจ้าหน้าที่ร่วมคณะและไม่ได้มีข้อทักท้วงใดๆ และภายหลังก็ได้รายงานเรื่องดังกล่าวต่อ นายวีระชัย พลาดิศัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า การไปพบปะถ่ายรูปร่วมกันครั้งนี้ ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีของศาลโลก และตนเป็นคนโทรนัด พล.อ.เตีย บันห์ เอง โดยระบุสถานที่ขอเจอกันบนปราสาทพระวิหาร “การคุยกันครั้งนี้ผมคิดเอง เพราะเป็นเรื่องหมูๆ ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ได้พบกัน 2 คน คุยกันเป็นสิบ ผมไปคุยเรื่องยุทธศาสตร์ชายแดนให้มั่นคงและมั่งคั่ง รวมถึงการเข้มงวดเรื่องไม้พะยูง การแก้ไขปัญหาชายแดนแบบฉันมิตร ร่วมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก เรื่องมาตรการคุ้มครอง หลังจากที่ทหารไทยและกัมพูชา เคยปะทะกัน ยืนยันว่าทั้ง 2 ประเทศจะตกลงกันได้ และชาวบ้านของทั้ง 2 ประเทศ ที่ประกอบอาชีพอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน ก็ยืนยันว่าจะไม่มีการโยกย้ายออกนอกพื้นที่” พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว.

Blog Archive