Sunday, March 31, 2013

พท.หวั่นแก้รธน.สะดุด ผวาปชป.เตะถ่วงแปรญัตติ

พท.หวั่นแก้รธน.สะดุด ผวาปชป.เตะถ่วงแปรญัตติ
เพื่อไทย วางตัวอภิปราย แก้ รธน.รายมาตรา ส่ง “อภิวันท์ วิริยะชัย” นำทีมขอแก้ไขมาตรา 68 หวั่น ปชป.เล่นเกม เตะถ่วงแปรญัตติ ซ้ำรอย แก้ รธน.มาตรา 291 จนทำให้ สะดุด วันที่ 31 มี.ค. นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย และรองประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ในการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา วันที่ 1 เม.ย.นี้ จะเริ่มต้นจากนายอำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาล และนายอุดมเดช รัตนเสถียร ที่ปรึกษาวิปรัฐบาล จะนำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งสามร่าง จากนั้น จะเปิดโอกาสให้ ส.ส.อภิปราย สนับสนุนและคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ โดยในมาตรา 190 พรรคเพื่อไทย จะส่ง นายพีรพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร เป็นผู้นำทีมอภิปราย เรื่องที่มาของ ส.ว. ส่ง นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย นำทีมอภิปราย ส่วนมาตรา 237 พ่วงมาตรา 68 ซึ่งคาดว่าเป็นประเด็นที่จะอภิปรายถกเถียงกันอย่างรุนแรงนั้น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะนำทีมอภิปราย ทั้งนี้ หลังจากการลงมติรับหลักการวาระแรกแล้ว สิ่งที่น่าห่วงคือ การแปรญัตติวาระสอง ที่ฝ่ายค้าน อาจจะเล่นเกมแปรญัตติ ยืดเยื้อเหมือนการแก้ไขร่างมาตรา 291 ที่ใช้เวลาแปรญัตติถึง 15 วัน 15 คืน ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ จนทำให้การแก้รัฐธรรมนูญ ล่าช้าออกไป ส่วนตัวยังเชื่อว่า การแปรญัตติน่าจะเสร็จภายในเดือน ส.ค. และโหวตลงมติวาระ 3 ได้ในช่วงเดือน ก.ย.

ครม.เห็นชอบ ร่างพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ส.ว.ระนอง 21เม.ย.นี้

ครม.เห็นชอบ ร่างพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ส.ว.ระนอง 21เม.ย.นี้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ครม.มีมติฯ เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ส.ว.ระนอง แทนตำแหน่งที่ว่าง 21 เม.ย. นี้ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไปวันที่ 31 มี.ค. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ฉะเชิงเทรา นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัด ระนองแทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... กำหนดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แทนตำแหน่งที่ว่าง ในวันที่ 21 เมษายน 2556 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป.

มท.จัดงานวันสถาปนากระทรวง-เชิดชู 12พลเมืองดี

มท.จัดงานวันสถาปนากระทรวง-เชิดชู 12พลเมืองดี
มท.จัดงานวันสถาปนากระทรวง 1 เม.ย.น้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมมอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคำแก่พลเมืองดี 12 ราย...เมื่อวันที่ 31 มี.ค.2556 นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ระลึกวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทยได้จัดให้มีงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อน้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้มีพระบรมราชโองการจัดตั้งกระทรวงมหาดไทยขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 และได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย   ซึ่งพระองค์ได้ทรงประกอบพระ กรณียกิจด้านต่างๆ อย่างมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นงานใหญ่และงานสำคัญยิ่งต่อชาติบ้านเมือง พระองค์ทรงปรับปรุงงานของกระทรวงมหาดไทยหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ทรงจัดระเบียบการปกครองและวางรากฐานให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานที่มุ่งเน้นการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน อันนำไปสู่บ้านเมือง อยู่เย็นเป็นสุขตราบจนทุกวันนี้ นอกจากนี้ ยังมีพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคำและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดี จำนวน 12 ราย ประกอบด้วย1. นายสมใจ อักษรนำ ได้กระทำความดีโดย เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2556 เวลาประมาณ 15.30 น. เกิดเหตุคนร้าย 1 คน บุกงัดบ้านของชาวบ้านจำนวน 2 ราย แต่เจ้าของบ้านได้มาพบ คนร้ายจึงได้วิ่งหลบหนี เจ้าของบ้าน   จึงได้เรียกให้เพื่อนบ้านช่วยจับกุมคนร้าย ระหว่างนั้นนายสมใจเพื่อนบ้านได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปดักคนร้ายบนถนน ปรากฏว่าคนร้ายได้ผ่านมาเห็นนายสมใจ จึงใช้ปืนพกยิงเข้าใส่นายสมใจจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุเกิดบริเวณหมู่ที่ 6 ตำบลนาไผ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช (ผู้แทนรับมอบ)2. นายพเยาว์ ทองขาว ได้กระทำความดีโดย เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2556 ได้เข้าช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกคนร้ายคลุ้มคลั่งใช้อาวุธมีดจับเป็นตัว ประกัน จนสามารถช่วยเหลือตัวประกันได้ โดยนายพเยาว์ถูกฟันที่บริเวณศีรษะจนได้รับบาดเจ็บเย็บ 3 เข็ม เหตุเกิดบริเวณบ้านร้าง หมู่ที่ 7 ตำบลเขาทะลุ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร 3. จ.ส.อ.ภูวดล  งามบุญฤทธิ์ 4. นายศรายุทธ พรหมอยู่ และ 5. นายผดุง เขียวตน ได้กระทำความดี    โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2555 ได้เกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำตกลงไปในคูน้ำบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร และมีผู้ได้รับบาดเจ็บติดอยู่ในรถจำนวน 4 ราย ระหว่างนั้น จ.ส.อ. ภูวดล งามบุญฤทธิ์ นายศรายุทธ พรหมอยู่ และนายผดุง เขียวตน ได้ผ่านมาเห็นเหตุการณ์จึงได้ลงไปช่วยเหลือ จนสามารถช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในรถได้อย่างปลอดภัย  6. จ.ส.อ.วิเชียร ประชาเขียว 7. จ.ส.อ.วิฑูรย์ เอกจำนงสกุล 8. ส.อ.ดนัย คำใส 9. ส.อ.วุฒิชัย เขียวสวาท และ     10. ส.อ.ปัญญา สามงามยา ทั้งหมดได้ร่วมกระทำความดีโดย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2555 เกิดเหตุการณ์หญิงวัยกลางคนขับรถตกน้ำบริเวณวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งกลุ่มทหาร สังกัดกองทัพบก จำนวน 5 นาย ประกอบด้วย จ.ส.อ.วิเชียร ประชาเขียว, จ.ส.อ.วิฑูรย์ เอกจำนงสกุล, ส.อ.ดนัย คำใส, ส.อ.วุฒิชัย เขียวสวาท และ ส.อ.ปัญญา สามงามยา เห็นเหตุการณ์จึงได้ลงไปช่วยหญิงคนดังกล่าวจนปลอดภัย11. นายปรีชา คงแก้ว ได้กระทำความดีโดย เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2556 ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรควนขนุน ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีจากโรงแรมริมควนรีสอร์ท ในพื้นที่ตำบลควนขนุน อำเภอ   ควนขนุน จังหวัดพัทลุง นายปรีชาได้พบประสบเหตุเฉพาะหน้าจึงเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ร่วมกันไล่ ติดตามคนร้าย จนสามารถจับกุมคนร้ายได้ และ12. นายสุรัตน์  ยศปัญญา ได้กระทำความดีโดย เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2556 ได้เห็นเหตุการณ์เด็กนักเรียนหญิงกำลังจะจมน้ำจึงได้กระโดดลงไปช่วยเหลือจน ปลอดภัย เหตุเกิดบริเวณสวนสาธารณะของเทศบาลตำบลลานหอยอำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย

Saturday, March 30, 2013

รองปลัดบัวแก้ว เชื่อมั่นแนวทางสู้ศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร

รองปลัดบัวแก้ว เชื่อมั่นแนวทางสู้ศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร
นายณัฎฐวุฒิ โพธิสาโร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เชื่อมั่นแนวทางการต่อสู้ศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร การตีความไม่สามารถออกนอกกรอบคำพิพากษาเดิมได้ ขณะที่ ดร.วีระชัย ปัดพูดเรื่องแพ้ชนะ....เมื่อวันที่ 30 มี.ค. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชมรมนักข่าวอาเซียน จัดบรรยายสรุปสำหรับสื่อมวลชน เรื่อง “เขาพระวิหาร การตีความใหม่ และชะตากรรมของสองชาติ” ณ ห้องประชุม 2 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยนายณัฎฐวุฒิ โพธิสาโร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ผู้สื่อข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็กประไพ วิริยะพันธุ์ และดร.วีระชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ในฐานะทีมสู้คดีของฝ่ายไทย ดำเนินรายการโดย ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒนายณัฎฐวุฒิ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีกัมพูชายื่นขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 และการดำเนินการของรัฐบาลไทย ว่า ทั้งกระบวนการชี้แจงด้วยเอกสารของไทยเสร็จสิ้นแล้ว มีประมาณ 1,300 หน้า ขณะที่กัมพูชามี 300 หน้า ซึ่งในวันที่ 15 เมษายนนี้ ศาลให้เปิดเผยต่อสาธารณชนได้ ส่วนกระบวนการให้ถ้อยแถลงด้วยวาจา ศาลกำหนดให้มีขึ้น 15-19 เมษายน 2556 นำโดยดร.วีรชัย และอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย พร้อมที่ปรึกษากฎหมายอีก 3 ท่านของฝ่ายไทย ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และแคนาดา มีความเชี่ยวชาญแต่ละประเด็น ข้อกฎหมาย รวมทั้งมีการแบ่งหน้าที่การชี้แจงต่อศาลรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวต่อไปว่า การขึ้นมรดกโลกเป็นอีกประเด็นหนึ่ง วันนี้กัมพูชาพยายามทำคดีปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นเรื่องของเส้นเขตแดน เรามีข้อเท็จจริงบางอย่างบางเรื่องซึ่งเป็นประเด็นเชิงลึก ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน เป็นอาวุธลับ จนทำให้ทีมทนายมีความเชื่อมั่นในแนวทางการต่อสู้ที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะเมื่อปี 2502 หรือ 50 ปีที่แล้ว กัมพูชาเพิ่งได้เอกราชยื่นฟ้องไทย ให้ศาลโลกตัดสิน 2 ข้อ 1.ให้ไทยถอนกำลังออกจากปราสาทพระวิหาร และ 2.ให้ศาลบอกให้ปราสาทเป็นของกัมพูชา ซึ่งไม่มีเรื่องเขตแดน กระทั่งปี 2505 กัมพูชาขอเพิ่มอีก 3 ประเด็น 1.ขอให้ศาลตัดสินชี้ขาดเขตแดนไทยกัมพูชา 2.ให้เป็นไปตามแผนที่ 1:200000 และ 3.ขอให้ไทยส่งคืนวัตถุโบราณ” นายณัฎฐวุฒิ กล่าว และว่า คำขอให้ศาลโลกตัดสินทั้งหมด 5 ข้อของกัมพูชา ศาลโลกตัดสิน 3 ข้อเท่านั้น 1. ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา 2.ให้ไทยถอนกำลังออกจากปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ และคำขอเพิ่ม 3 ข้อหลัง ศาลไม่ยอมชี้เรื่องเส้นเขตแดนและแผนที่ ทั้งที่ๆ กัมพูชาขอในคำฟ้อง นี่คือจุดที่ไทยจะใช้ในการต่อสู้“คดีนี้ไม่ใช่คดีใหม่ กัมพูชาอาศัยข้อบังคับที่ 60 ของธรรมนูญศาลโลก ขอให้ศาลตีความคดีเก่า 2502 ที่ตัดสินเมื่อปี 2505 ช่องทางเดียวที่กัมพูชาเอาเรื่องกลับไปศาลโลกได้ ซึ่งเชื่อว่าการตีความไม่สามารถออกนอกกรอบคำพิพากษาเดิมได้” รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวด้าน ดร.วีระชัย ในฐานะตัวแทนของราชอาณาจักรไทย กล่าวถึงข้อต่อสู้ของไทยเพิ่มเติมว่า ข้อเท็จจริงที่เป็นความลับนั้น ขอให้รอ บ่ายสาม ของวันที่ 15 เมษายนนี้ ที่ศาลโลกให้สามารถเปิดเผยเอกสารของคดีทั้งหมด ซึ่งวันดังกล่าวกระทรวงการต่างประเทศจะมีการแปลเป็นภาษาไทยให้สาธารณชนรับทราบ“เราต้องไม่ลืมด้วยว่า เอกสารของคดีที่ศาลโลกประมวลไว้นั้น ทุกอย่างถูกสกัดมาก่อนการตัดสินแล้ว ฉะนั้นคำพิพากษาของศาลโลกจึงไม่ได้ออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ ทำให้กัมพูชาจะฟ้องออกนอกกรอบนั้นไม่ได้ ด้วยหลักกฎหมายศาลให้เกินขอไม่ได้ เว้นแต่มีกฎหมายเขียนไว้ชัด” ดร.วีระชัย กล่าว ดร.วีระชัย กล่าวด้วยว่า คำพิพากษาเป็นเพียงปลายภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เนื่องจากเรายังมีแนวทางต่อสู้อีกจำนวนมาก สุดท้าย เป้าหมายของไทย คือ อยากให้ศาลโลกตัดสินว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจ เพราะคำขอของกัมพูชาออกนอกลำแสง เพราะไม่ขอเรื่องเขตแดน เราอยากให้ศาลตัดสินว่า ศาลปี 2505 มิได้ตัดสินว่า เส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ 1:200000 นี่คือเป้าหมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากศาลโลกจะตัดสินพิพากษามีอำนาจ ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน ตนไม่อยากพูดเรื่องแพ้ชนะ มิเช่นนั้นจะมีการเอาคืน อยากให้อยู่กันอย่างมีความสุข สงบ และสันติภาพมากกว่าด้าน รศ.ศรีศักร กล่าวว่า อดห่วงเรื่องการตีความของศาลโลกไม่ได้ โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบ ที่คนมุ่งไปที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร หากไม่เตรียมให้ดีเชื่อว่า จะมีปัญหา พร้อมฝากให้คิดหากไทยแพ้แล้วจะทำกันอย่างไร คนในพื้นที่เดือดร้อน คนท้องถิ่น ทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งไทยและกัมพูชา“เวลาเราสู้กับเขา ผมคิดว่า เราน่าจะแพ้ เพราะสังคมไทยเป็นประเทศที่ไม่มีสำนึกเรื่อง The Nation ทุกรัฐบาลพร้อมจะขายแผ่นดินให้ต่างประเทศ นายทุนก็กำลังรุกยึดครองพื้นที่ ทำแหล่งกาสิโน ขณะที่นักวิชาการเป็นพวกไม่มีพรมแดน ต่างจาก กัมพูชาและลาว”ด้าน นายสุภลักษณ์ กล่าวว่า คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เดือนเมษายนตัดสินชะตากรรม พร้อมเชื่อว่า ผลของการตีความของศาลจะทำให้เกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นบาดแผลระหว่างสองชาติเกินเยียวยา หากพิจารณากัมพูชาจะมีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ ขณะที่การเมืองไทย เลวๆ ก็จะหยิบประเด็นนี้มา ห้ำหั่นกัน “ไม่ว่าฝ่ายใดชนะ ประเด็นนี้จะคงถูกใช้เป็นประโยชน์ทางการเมือง และถูกจุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ในฐานะสื่อมวลชนต้องเข้าใจคดีนี้อาจไม่ใช่ประเด็นด้านเทคนิค กฎหมายอย่างเดียว จำเป็นต้องรายงานข่าวด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ที่อาจก่อให้เกิดการใช้กำลัง และนำมาซึ่งความสูญเสีย” นายสุภลักษณ์ กล่าว.

หลานนายกฯปู แจงไม่มีการจ้างทำงานวิจัยรถไฟความเร็วสูง

หลานนายกฯปู แจงไม่มีการจ้างทำงานวิจัยรถไฟความเร็วสูง
ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ หลานนายกฯ ปู แจงผ่านเฟซบุ๊ก กรณีที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ระบุกลางที่ประชุมสภาระหว่างพิจารณาร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทว่า วิป วิญญรัตน์ ได้รับการว่าจ้างจัดทำโครงการ วิจัยเรื่องรถไฟความเร็วสูงจากรัฐบาล ยันไม่เป็นความจริงเมื่อวันที่ 30 มี.ค.2556 น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหลานสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Sand.Chayika ว่า กรณีที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ระบุกลางที่ประชุมสภาระหว่างพิจารณาร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โดยระบุว่า นายวิป วิญญรัตน์ ลูกชายนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี   ได้รับการว่าจ้างจัดทำโครงการ วิจัยเรื่องรถไฟความเร็วสูงจากรัฐบาล จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดพบว่าไม่มีความจริง เพราะโครงการวิจัยเรื่องรถไฟความเร็วสูง ไม่ใช่เรื่องการก่อสร้าง หรือ โครงการด้านเทคนิคตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา แต่เป็นโครงการศึกษาการสร้างมูลค่าและคุณค่าที่เกิดจากการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศไทย กรณีศึกษาเรื่องรถไฟความเร็วสูง โดยทีซีดีซีได้จัดทำขึ้น ใช้งบประมาณจำนวน 5.6 ล้านบาทเพื่อศึกษาศักยภาพและความเป็นได้ของธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงการของภาครัฐ เช่น วัสดุไทยที่มีโอกาสเข้าไปตกแต่งในรถไฟความเร็วสูง ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาสำหรับเอสเอ็มอีและโอทอป ซึ่งทีซีดีซีได้จ้างนักวิจัยหลายส่วน ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ นักวิจัยข้อมูลเพื่อสำรวจภาคสนาม นายวิปเป็นหนึ่งในนั้นที่เข้ามาร่วมกลุ่มกับนักวิจัยอื่นๆ ทำงานไม่ได้เป็นผู้รับจ้างวิจัยน.ส.ชยิกา ระบุอีกว่า ส่วนโครงการนิทรรศการไทยแลนด์ 2020 นายกฯมอบหมายให้ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกฯดูแลภาพรวมของเนื้อหาการนำเสนอทางคณะทำงานของประธานที่ปรึกษาฯได้รวบรวมและจัดส่งข้อมูลให้ผู้จัดทำ แต่ไม่มีการว่าจ้างใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น อีกทั้งนายวิปได้รับการแต่งตั้งจากประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีให้ เป็นคณะทำงาน เพื่อปฏิบัติงาน การค้นคว้าและสืบค้นข้อมูลเช่นเดียวกับคณะทำงานคนอื่นๆ โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ จากส่วนราชการทั้งสิ้น.

สิ้นอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ประชุม รัตนเพียรด้วยโรคชรา

สิ้นอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ประชุม รัตนเพียรด้วยโรคชรา
บิดา ประวิช รัตนเพียร ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประชุม รัตนเพียร อดีตรัฐในตรีหลายกระทรวง เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยอายุ 88 ปี ตั้งศพบำเพ็ญกุศลวัดเทพศิรินทราวาส...เมื่อวันที่ 30 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประชุม รัตนเพียร บิดาของนายประวิช รัตนเพียร ผู้ตรวจการแผ่นดิน ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา อายุรวม 88 ปี โดยมีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ เวลา 16.00 น. วันที่ 31 มี.ค. และเวลา 19.00 น. พิธีสวดพระอภิธรรม ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. - 6 เม.ย.นี้ ที่ศาลากวีนฤมิตร วัดเทพศิรินทราวาสสำหรับประวัตินายประชุม รัตนเพียร หรือครูชุม นั้น ทุกคนมักจะเรียกชื่อนี้ตามที่ คุณกำพล วัชรพล อดีต ผอ. ไทยรัฐ ที่เคยเรียกอย่างใกล้ชิด เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2469 เป็นบุตร กำนัน อิ่ม – นางแวว รัตนเพียร สมรสกับ นางวิจิตรา รัตนเพียร โดยมีบุตร – ธิดา 4 คน ได้แก่ ดร.ประวิช รัตนเพียร ผู้ตรวจการแผ่นดิน และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ผศ.ดร.ประเวช รัตนเพียร อธิการบดีมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ดร.วาชิต รัตนเพียร ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ และรศ.ดร.วิชุดา รัตนเพียร  ส.ว.ทั้งนี้ เคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ อย่างอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ส.ส.ตราด 4 สมัย ส.ส.นนทบุรี 2 สมัย สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และด้านการกีฬา อดีตเคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย นายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการในคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ขณะที่ด้านการศึกษา เคยเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนพณิชยการเอกชนแห่งแรก พ.ศ. 2505 คือ โรงเรียนดุสิตพณิชยการ และเป็นผู้ก่อตั้ง มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต (RBAC).

Friday, March 29, 2013

พรบ.กู้2ล้านล้านวาระ1ผ่านฉลุย! รับหลักการ284-152

พรบ.กู้2ล้านล้านวาระ1ผ่านฉลุย! รับหลักการ284-152

ผบ.ทบ.ปัดข้อเสนอ บีอาร์เอ็น ปล่อยนักโทษป่วนชายแดนใต้

ผบ.ทบ.ปัดข้อเสนอ บีอาร์เอ็น ปล่อยนักโทษป่วนชายแดนใต้

วราเทพยันพรบ.กู้เงิน2ลล.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

วราเทพยันพรบ.กู้เงิน2ลล.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน แจง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ยืนยันไม่ได้ตีเช็คเปล่า...เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 56 นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ถึงเรื่อง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรวาระแรกไปแล้วว่า พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านดังกล่าว ไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ และการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน โดยไม่ใช้เงินในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพราะหากเกิดความไม่แน่นอน อาจทำให้การนำเงินไปใช้สะดุดลงได้ และงบประมานรายจ่ายประจำปี ยังต้องมีการลงทุนในด้านอื่นๆ อีก เช่น การศึกษา การพัฒนาคน ดังนั้น การออก พ.ร.บ.กู้เงิน จะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และมั่นใจได้ว่าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะดำเนินการได้ต่อเนื่องนอกจากนี้ นายวราเทพ ยังยืนยันว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ไม่ได้ตีเช็คเปล่า เพราะมีบัญชีแนบท้ายชัดเจน เพื่อให้สภาพิจารณารายละเอียดและแปรญัตติ การที่จะกลับมาแก้ไขรายละเอียดใดๆ รัฐบาลไม่สามารถทำได้ ต่างจาก พ.ร.ก.กู้เงินตามโครงการไทยเข้มแข็ง ที่ไม่มีรายละเอียดโครงการใดๆ ในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไม่ได้แน่นอน เพราะมีบัญชีแนบท้าย จึงไม่ใช่ตีเช็คเปล่าอย่างที่ฝ่ายค้านว่า นายวราเทพ กล่าวต่อว่า ส่วนความโปร่งใสการเบิกจ่ายเงินรัฐบาล มีการคำนึงอยู่แล้ว โดยเฉพาะการประกาศราคากลาง รวมไปถึงเงินกู้ต้องดำเนินการเงินกู้เป็นไปตามการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ ข้อ 6 อยู่แล้ว นอกจากนี้ จะมีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะกรรมาธิการสามารถเรียกตรวจสอบได้ทุกคณะอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม นายวราเทพ กล่าวอีกว่า กรณีที่เกรงว่า พ.ร.บ.จะสร้างหนี้ให้ประชาชนในอีก 50 ปีนั้น ตนอยากให้ดูทั้ง 2 ด้าน โดยเฉพาะระบบการขนส่ง ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่จะสร้างรายได้ด้วย ซึ่งรัฐบาลไม่ได้กู้เงินมาแจก แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ทรัพย์สินจะอยู่กับประเทศเป็นร้อยๆ ปี ถือเป็นการสร้างประโยชน์ได้มาก.

Thursday, March 28, 2013

ปชป.ตอกโมเดลอาเจะห์ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

ปชป.ตอกโมเดลอาเจะห์ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
ปชป. แนะรัฐเจรจากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ประเทศมาเลเซีย ยึดตามหลักรัฐธรรมนูญ ตอกโมเดลอาเจะห์ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ชี้รูปแบบการปกครองต้องอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายแต่ละพื้นที่...วันที่ 28 มีนาคม ที่รัฐสภา นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอ 9 ข้อของกลุ่มบีอาร์เอ็นว่า ตนสนับสนุนการที่รัฐบาลไทยไปเจรจาพูดคุยกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งการพูดคุยต้องยึดตามหลักรัฐธรรมนูญ สำหรับข้อเสนอของกลุ่มบีอาร์เอ็น อาทิ จัดพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตปกครองพิเศษนั้น ก็ต้องถามความเห็นของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ว่าต้องการหรือไม่ รวมทั้งการเรียกร้องให้ยึดโมเดลเขตปกครองพิเศษอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ตนเห็นว่าจะใช้โมเดลอะไรต้องยึดพื้นฐานความคิดของประชาชน ซึ่งโมเดลอาเจะห์ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะรูปแบบการปกครองต้องอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายในแต่ละพื้นที่ ขณะที่ข้อเสนอเรื่องการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ก็ต้องแยกแยะก่อนว่ากองกำลังที่ว่าหมายความว่าอะไร กลุ่มไหน และการให้ถอนทหารก็ต้องดูก่อน เพราะบางพื้นที่อยากให้ถอน บางพื้นที่ไม่อยากให้ถอน อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าในปัจจุบันฝ่ายรัฐและฝ่ายผู้ก่อเหตุ ควรหาจุดร่วมกันในเรื่องการเคารพสิทธิประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของทั้ง 2 ฝ่าย.

ประชุมสภาฯถกกู้2ล้านล้านวันแรกลากยาวถึงตี 1

ประชุมสภาฯถกกู้2ล้านล้านวันแรกลากยาวถึงตี 1
ประชุมสภาฯอภิปรายกู้2ล้านล้านวันแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ประธานสภาฯปิดประชุมเวลา 01.20 น.ก่อนประชุมใหม่ในวันที่ 2 เวลา 09.30 น.คาดเนื้อหาจะเข้มข้นมากขึ้น...ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณา พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประเทศ ด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... วงเงิน 2 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ตั้งแต่เวลา 09.50 น. บรรยากาศการอภิปรายของฝ่ายค้านและรัฐบาลเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยช่วงปิดท้ายการประชุมสภาฯ นางนันทนา สงฆ์ประชา ส.ส.ชัยนาท พรรคเพื่อไทย อภิปรายเป็นคนสุดท้ายกระทั่งเวลา 01.20 น.วันที่ 29 มี.ค.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้เเทนราษฎร ได้สั่งปิดการประชุม และให้มีการประชุมใหม่อีกครั้งในเวลา 09.30 น.วันที่ 29 มี.ค. คาดว่าเนื้อหาการอภิปรายจะมีความเข้มข้นมากขึ้น ท่ามกลางความสนใจของประชาชน

คุณชาย เข้าศาลาว่าการ สะพัด พล.ต.อ.อัศวิน รองผู้ว่าฯ

คุณชาย เข้าศาลาว่าการ สะพัด พล.ต.อ.อัศวิน รองผู้ว่าฯ
สุขุมพันธุ์ เข้าทำงาน กทม.วันแรก สุดคึก สักการะพระพุทธนวราชบพิตร เอาฤกษ์-เอาชัย ลือทีมรองผู้ว่าฯ จุมพล-ผุสดี-อัศวิน ส่วนงานแรก 30 มี.ค. ประเดิมลงพื้นที่ตรวจภัยแล้ง กทม.ฝั่ง ตอ. ...วันที่ 29 มี.ค. ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมคณะ ได้เดินทางมาถึงศาลาว่าการ กทม. เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. ในชุดผ้าไหมแขนสั้นสีเหลือง สีหน้ายิ้มแย้ม โดยมี นางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัด กทม. และคณะข้าราชการ กทม. ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น เพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.คนที่ 16 อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ด้วยมติ 4-1ทั้งนี้ เมื่อเวลา 07.25 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ ได้เข้าสักการะพระพุทธนวราชบพิตร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ภายในศาลาว่าการ กทม. ไหว้ศาลไทย (หลวงปู่มงคลปราสาท ศาลจีน เจ้าพ่อเพ่งนั่มกิมไซ) และพระบรมรูป ร.5 เพื่อความเป็นสิริมงคล ในการเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.อย่างเป็นทางการ เป็นวันแรกอีกด้วยภายหลังเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในศาลาว่าการ กทม.แล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้เริ่มงานทันที ด้วยการเรียกประชุมหัวหน้าหน่วยงานของ กทม. เพื่อนำเสนอแนวทางขับเคลื่อน ตามนโยบายที่ได้หาเสียงใน 10 มาตรการเร่งด่วน และนโยบาย 6 ด้าน ที่ได้หาเสียงเอาไว้ช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านมา อาทิ ติดตั้งกล้องซีซีทีวี 20,000 ตัว ปรับลดค่าโดยสารบีทีเอส ส่วนต่อขยายจาก 10 บาท เหลือ 5 บาท ในทันที โรงรับจำนำ กทม. ดอกเบี้ย 1 สลึง ใน 5,000 บาทอย่างไรก็ตาม ในเวลา 09.30 น. จะมีพิธีมอบหมายงานของผู้ว่าฯ กทม. โดยนางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัด กทม. ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ขณะที่ในวันที่ 30 มี.ค. ผู้ว่าฯ กทม.จะเริ่มทำงานเป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ด้วยการลงพื้นที่ตรวจป้องกันแผนอัคคีภัย ณ สำนักป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ตามโครงการ กทม.ห่วงใยปลอดภัยสงกรานต์ จากนั้นจะตรวจพื้นที่ภัยแล้ง กทม.ฝั่งตะวันออก เขตหนองจอกและเขตมีนบุรีส่วนกรณีทีมรองผู้ว่าฯ กทม. มีข่าวลือทั่วศาลาว่าการ กทม.ว่า ผู้ที่มีสิทธิ์มาเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. ช่วยงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เผยชื่อแล้ว 3 คน คือ นายจุมพล สำเภาพล อดีตรองปลัด กทม. นางผุสดี ตามไท ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ. 

มาร์ค ชี้ รัฐอ้างจำเป็น กู้2ล้านล้านฟังไม่ขึ้น

มาร์ค ชี้ รัฐอ้างจำเป็น กู้2ล้านล้านฟังไม่ขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ชี้ รัฐอ้างเหตุจำเป็นกู้เงิน 2 ล้านล้าน ฟังไม่ขึ้น เหตุลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สามารถใช้งบปกติได้ ห่วงเศรษฐกิจโลกผกผัน จะทำให้เป็นหนี้มากกว่า 50 ปี...  ยก 3 เหตุค้านการกู้เงิน 2 ล้านล้านวันนี้ (28 มี.ค.56) เวลา 11.20 น.ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายเป็นคนแรกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ขัดขวางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แต่การพัฒนาไม่จำเป็นต้องกู้เงินจำนวนมากขนาดนี้ และเป็นห่วงต่อมุมมองในการพัฒนาประเทศที่รัฐบาลมุ่งเฉพาะเรื่องขีดความสามารถและยุทธศาสตร์ในการพัฒนา เพราะไม่ได้มีแค่การคมนาคมขนส่งเท่านั้น ที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 40 กว่าของโลก แต่ในภาพรวม เช่น สาธารณสุข ซึ่งไทยอยู่ในอันดับ 70 กว่า การศึกษาอยู่อันดับเกือบ 90 กลับไม่ได้รับความสนใจ การที่รัฐบาลอ้างว่าจะหลุดพ้นปัญหาขีดความสามารถ โดยคิดแค่เรื่องการขนส่งคมนาคมเพียงอย่างเดียว ก็จะทำให้ไม่ลงทุนด้านอื่น ทั้งการศึกษา สาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ต้องพัฒนาไปด้วยกัน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้จัดลำดับความสำคัญเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ตนมี 3 เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับการกู้เงินครั้งนี้ คือ 1.เงินในงบประมาณไม่พอที่รัฐบาลจะขอกู้เพิ่ม 2 ล้านล้านบาทในเวลา 7 ปี เฉลี่ยปีละ 3 แสนล้านบาท จับโกหกรัฐบาล ยกข้อมูลรัฐอ้างต่อศาลมัดกลางสภา “ผมเอาตัวเลขที่รัฐบาลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะแถลงไว้ว่า ในแต่ละปีจนถึง 2563 จะใช้เงินเท่าไหร่ เช่น ที่ต้องออกกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้าน ปี 2556 ใช้ 27,209 ล้านบาท ปีที่ใช้มากที่สุดคือ 2559 ใช้ 382,490 ล้านบาท ถึงไม่กู้ ก็สามารถหาเงินมาบริหารงานระบบงบประมาณได้ เพราะ รมว.คลัง แถลงถึงการจัดทำงบประมาณไว้โดยปี 57 ขาดดุล 2.5 แสนล้าน และสมดุลในปี 2560 หากนำแผนการจัดทำงบประมาณของรัฐบาล มาบวกกับเงินที่จะใช้ 2 ล้านล้านบาท จะพบความจริงว่า เงินที่จะใช้จ่ายสามารถจัดเป็นงบขาดดุลโดยไม่กระทบเพดานเงินกู้ตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ และ พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกู้ แต่ใช้ระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็มีเงินเพียงพอที่จะทำโครงการเหล่านี้ ถ้าการมาขอไปกู้เงินนอกระบบปกติโดยอ้างว่า รัฐบาลมีเงินไม่พอ คำตอบคือไม่จริง ที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้ ในวันที่ออก พ.ร.ก.โอนหนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ ให้เป็นภาระของธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงต่อศาลว่า เพื่อให้เพดานกรอบงบประมาณสามารถที่จะใช้ได้ คือที่ต้องโอนหนี้ออกไป เพราะจะต้องทำงบประมาณขาดดุลให้ถึงเพดานหนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเชื่อและอนุญาต แต่ท่านกลับไม่ใช้เพดานเงินกู้ที่ท่านไปขอมา แต่กลับใช้การกู้เงินนอกงบประมาณแทน เหตุผลจึงฟังไม่ขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว โยง “รัฐทักษิณ” ใช้งบประชานิยม ละเลยพัฒนาพื้นฐาน นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า 2.กฎหมายหรือระเบียบเป็นเครื่องมือ ไม่จำเป็นต้องกู้ เพราะสภาเพิ่งผ่านกฎหมายปรับปรุงกติกาเกี่ยวกับการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน ที่เป็นรูปแบบการลงทุนซึ่งประเทศต่างๆ พยายามใช้ ถ้าให้เอกชนมาร่วมลงทุนอย่างจริงจัง ตัวเลขลงทุนจะไม่สูงถึง 2 ล้านล้าน ทำไมจึงอ้างว่าต้องกู้เงินมาทำโครงการ ทั้งที่มีเครื่องมือทางกฎหมายในการร่วมทุน 3.เรื่องของการเมืองไม่ว่าจะมีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทหรือไม่ไม่เกี่ยว เพราะอยู่ที่การบริหารของรัฐบาลและการตัดสินใจทางการเมือง ทั้ง นายกฯและรมว.คมนาคม กล่าวว่า โครงการเหล่านี้ คิดแต่ไม่ได้ทำ ตนเห็นว่าเป็นเรื่องการจัดลำดับความสำคัญและการตัดสินใจทางการเมือง ที่จะเดินหน้าโครงการหรือไม่ ทั้งถนนสี่ช่องทางจราจร รถไฟรางคู่ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อนุมัติคนแรก แต่จากปี 45 เป็นต้นมา การลงทุนน้อยก็เพราะรัฐบาลในขณะนั้นจัดลำดับความสำคัญให้งบประมาณกับโครงการประชานิยมมากกว่า โครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นในช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ถนนและระบบรางแทบไม่มีการลงทุน แม้กระทั่งการซ่อมแซม ยังจัดงบไม่เพียงพอ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลแต่ละชุด ไม่ใช่เรื่องว่ามีเงินหรือไม่ เช่นเดียวกับระบบสาธารณสุขที่เสื่อมโทรมไปช่วงหนึ่งเพราะต้องหางบประมาณมาจัดทำโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า  หวั่น 4 ปัญหาเกิดหากสภาผ่านเงินกู้ครั้งนี้ ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวต่อว่า ส่วนที่อ้างเรื่องการเชื่อมโยงอาเซียนนั้น พวกตนเป็นคนเสนอให้เป็นวาระอาเซียนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะคัดค้านการเชื่อมโยงกับภูมิภาค หรือระบบราง เพราะรัฐบาลที่แล้วผลักดันกฎหมายตั้งเป้าลดต้นทุนโลจิสติกส์ วันนี้ท่านจะลดต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มอีก 2% แต่ขอกู้ 2 ล้านล้านบาท ทั้งๆ ที่ในสมัยที่ตนเป็นรัฐบาล ทั้งการลดต้นทุนโลจิสติกส์และรถไฟความเร็วสูง ที่เจรจากับจีนทำได้โดยไม่ต้องกู้ 2 ล้านล้าน แต่จะทำในรูปแบบการร่วมทุน ซึ่งในขณะนั้นพรรคเพื่อไทยไม่ลงคะแนนให้เมื่อมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา และจะมีปัญหาเกิดขึ้น 4 ด้าน หากสภาผ่านร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท คือ 1. ปัญหาวินัยทางการคลัง ตอนที่ตนเป็นรัฐบาล พวกท่านคัดค้านการกู้เงิน บอกสร้างหนี้ให้ประเทศ กู้มาโกง เก่งแต่กู้ แล้วรัฐบาลนี้ก็หาเสียงว่าไม่กู้เงิน ขึ้นป้ายล้างหนี้ให้ประเทศ ตนต้องดูอีกครั้งว่าล้างหรือสร้าง เพราะเป็นการกู้เงินมากกว่า ตอนไอเอ็มเอฟ มากกว่าตอนที่รัฐบาลทักษิณ กู้เพื่อนำเงินมาทำกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งในช่วงที่พรรคเพื่อไทยหาเสียง คนที่คิดแล้วเพื่อไทยทำเคยพูดว่า “ไม่ต้องกู้สักบาท มีวิธีบริหารจัดการ” แต่ทำไมวันนี้ ถึงต้องกู้ ทั้งนี้เรื่องของวินัยทางการเงินการคลังเป็นเรื่องสำคัญและเป็นจุดแข็งของประเทศไทยมาโดยตลอด การกู้เงินขาดดุลในงบประมาณมีเพดานมีตัวกำกับที่จะดูแลไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายจนกระทบต่อเสถียรภาพ ห่วงแนวคิดรัฐตั้งบนสมมติฐานเข้าข้างตัวเอง“ ในอดีตจึงมีการกู้เงินด้วยเงื่อนไขเดียวคือ เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น เช่น ต้มยำกุ้ง วิกฤติการเงินที่ผ่านมา เพราะต้องมีเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจและหนี้ชนเพดานตามกฎหมายหนี้สาธารณะ แต่วันนี้ไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้ โดยในวันที่ตนพ้นตำแหน่งหนี้สาธารณะประมาณ 41% แต่ตอนนี้ เพิ่มขึ้นคาดว่าจะถึง 45% ทั้งที่ยังไม่มีการกู้เงิน 2 ล้านล้าน ขณะที่ยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก รัฐบาลจะใช้หนี้ 50 ปี เพราะหนี้ของคนไทยคือ 5 ล้านล้าน มีดอกเบี้ยอีก 3 ล้านล้าน บนสมมติฐานว่าเศรษฐกิจโลกจะมีดอกเบี้ยต่ำไปอีก 50 ปี วันข้างหน้าถ้าเกิดวิกฤติโลก ดอกเบี้ยสูงขึ้้น แผนที่รัฐบาลวางไว้จะผิดหมด ไม่ได้ใช้หนี้ได้ใน 50 ปีหรือชาติหน้า แต่จะเป็นชาติโน้น ในขณะที่ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สวัสดิการ การดูแลสาธารณสุขจะต้องเพิ่มขึ้น จึงไม่ควรก่อหนี้ถ้าไม่จำเป็น การที่เรายืนยันว่าบริหารในงบประมาณ เพื่อบังคับให้รัฐบาลมีวินัย เพราะจะต้องเลือกว่าเงินที่ประชาชนเป็นคนใช้หนี้จากการเสียภาษีควรเอาไปทำอะไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว  ตอกย้ำรัฐใช้ฟุ่มเฟือย แนะงดทำจำนำข้าว-รถคันแรกนายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตัวอย่างการประเมินผิดพลาดของรัฐบาล จากโครงการรถคันแรกที่มีการใช้เงินมากกว่าประมาณการ เถียงกันว่าจะใช้เงินจากตรงไหน สมมติฐานที่ระบุว่าหนี้้ไม่เกิน 50% งบจะสมดุล จะมีปัญหาจากโครงการลักษณะนี้อีกหรือไม่ และรัฐบาลทราบหรือไม่ว่า ถ้าไม่ทำรถคันแรก มีเงินทำรถไฟฟ้าสองสาย รัฐบาลควรทบทวนโครงการที่ฟุ่มเฟือยแทนที่จะใช้วิธีกู้แบบง่ายๆ เพราะจะทำให้รัฐบาลไม่บังคับตัวเอง ไม่พิจารณาความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อดูประโยชน์สูงสุดของประชาชน และที่ รมว.คลัง อ้างว่ากู้เงินนอกงบประมาณเพราะไม่อยากให้ขาดดุลงบประมาณเรื้อรังนั้น จะทำให้รัฐบาลทำโครงการฟุ่มเฟือยต่อไป โดยลืมไปว่ากู้เงินนอกงบประมาณไว้ ซี่งจะกระทบกับสถานะการเงินของประเทศในที่สุด นอกจากนี้สมมติฐานที่บอกว่า จะไม่ขาดทุนโครงการจำนำข้าวหลังจากปี 2556 ต้องถามว่ารัฐบาลใช้สมมติฐานอะไร เพราะในแต่ละปีขาดทุนกว่า 2 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 2 ของจีดีพี ยกเว้นว่าจะเลิกโครงการจำนำข้าว ถ้ารัฐบาลเอาแสนล้านให้ชาวนาอีกแสนล้านมาทำโครงการก็ยังทำได้ แต่ที่ออกกฎหมายกู้เงินเพราะไม่ต้องการผูกมัดตัวเองว่าต้องมีวินัย ไม่ยอมลดนโยบายที่ฟุ่มเฟือย ประชาชนมีสิทธิเรียกร้องกับพวกเราที่ต้องเข้มงวดกับงบประมาณเพื่อปรับปรุงปฏิรูปประเทศ นำไปสู่การลงทุนที่คุ้มค่า ไม่กระทบวินัยทางการคลัง กล้าเขียนในกฎหมายไหมว่า เมื่อมี พ.ร.บ.นี้แล้ว รัฐบาลตั้งแต่ปี 56-60 ปรับลดการขาดดุลเท่าไหร่ และหลังปี 60 จัดงบสมดุล ตนเชื่อไม่กล้าเขียนและจะไม่ดำเนินการตามนี้ ในที่สุดการกู้เงินเราไม่ได้ทำโครงการเหล่านี้ แต่กู้เพื่อทำโครงการอื่นๆ ที่ไม่คุ้มค่าต่อไป  ท้ารัฐเขียนใน พ.ร.บ.เงินกู้ ยึดระเบียบพัสดุฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า 2. ที่ใช้วิธีการกู้ 2 ล้านล้านบาท นอกงบประมาณเป็นปัญหาเรื่องระบบตรวจสอบและความโปร่งใส เพราะประชาชนก็สับสนว่า กฎหมายมีแค่ 4 หน้า บัญชีแนบท้ายอีก 2 หน้า อีก 200 กว่าหน้า ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกฎหมายและไม่เหมือนกับเอกสารประกอบงบประมาณที่มีสถานะรับรองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นโครงการต่างๆ ในเอกสารประกอบแปรญัตติไม่ได้เลย มีแค่ 2 หน้า ที่บอกว่า 3 แสนกว่าล้าน เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาปรับเปลี่ยนเรื่องการขนส่งให้มีต้นทุนลดลง แต่ไม่มีอำนาจพิจารณาว่าการสร้างถนน รถไฟ กิโลละกี่บาท นี่คือความต่างระหว่างการอยู่ในระบบงบประมาณและกฎหมายกู้เงิน ถ้าเรื่องนี้ อยู่ในระบบงบประมาณแต่ละปีสภาจะตรวจสอบได้ว่าโครงการไปถึงไหน ทำแล้วเกิดประโยชน์หรือไม่ ตัดได้ เปลี่ยนได้ ถ้าไม่ดี หรือถ้ามีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนก็ทำได้ แต่เมื่อใช้วิธีการกู้เงิน จะทำได้แค่รับทราบว่ารัฐบาลทำอะไรแต่ไม่มีอำนาจให้ปรับเปลี่ยน ตัด แก้ ที่สำคัญความโปร่งใสจะมีปัญหาในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ตนไม่ได้ระแวง แต่ยึดถือจากประสบการณ์ของรัฐบาลชุดนี้ กรณีเงิน 1.2 แสนล้านที่เอาไปฟื้นฟูน้ำท่วม จะมีระบบตรวจสอบได้ แต่ภาคเอกชนและฝ่ายค้านไม่สามารถตรวจสอบได้ จนกว่ารัฐบาลจะใช้เงินไปแล้ว กระทั่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการขุดลอกคูคลองที่มีการทุจริตมากมาย กู้เงิน 3.5 แสนล้าน ก็ยกเว้นการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด นายกฯ บอกว่ามีระเบียบพัสดุจะเขียนในกฎหมายได้หรือไม่ว่าจะดำเนินการตามระเบียบพัสดุสำนักนายกฯ ในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยไม่ออกมติ ครม.ยกเว้น ถ้าทำได้จะน่าเชื่อถือว่าระดับความโปร่งใสจะเป็นแบบเดียวกับระบบงบประมาณ ถามจี้ใจดำเชื่อมโลกตรงไหน ทำทางไม่ต่อเพื่อนบ้าน นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า 3. โครงการที่มีการพูดกันเป็นไปตามที่รัฐบาลโฆษณาเชื่อมไทยสู่โลกหรือไม่ เริ่มจากรถไฟความเร็วสูง ภาคอีสานถึงแค่โคราชไม่ถึงหนองคาย เพื่อเชื่อมไปจีน ใต้หยุดที่หัวหินไม่ถึงปาดังเบซาร์ เพื่อเชื่อมมาเลเซีย ไม่มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมทวาย รัฐบาลต้องตอบว่าเหตุใด กทม.-เชียงใหม่มาก่อน หนองคาย ปาดังเบซาร์ หรือทวาย ในขณะที่หลายโครงการ ยังต้องประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ชุมชน สุขภาพ 3.5 แสนล้าน มีบทเรียนแล้วว่าบางโครงการทำไม่ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ภาคใต้ที่จะพัฒนาท่าเรือสองฝั่งให้ชัดว่าพัฒนาระดับไหนอย่างไร เพราะประชาชนไม่ประสงค์เห็นอุตสาหกรรมหนักที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงกับธรรมชาติ ที่จะกระทบกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รัฐบาลฉายแต่ความดี ถ้าค่าตั๋วรถไฟความเร็วสูงเกือบเท่ากับค่าโดยสารสายการบินต้นทุนต่ำ จะคุ้มค่าที่ชาวบ้านจะโดยสารหรือไม่ เพราะเงินที่จะใช้เป็นภาระของลูกหลานในอนาคต ยกตัวอย่างแอร์พอร์ตลิงค์ แนวคิดดีแต่เมื่อก่อสร้างแล้วการใช้จริงคุ้มค่าหรือไม่ เพราะเพิ่งมีข่าวว่าที่มักกะสันมีคนขึ้นแค่ 4 คน ก่อนหน้านี้รัฐบาลเคยอ้างว่าต้องออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้าน ต้องนำมาใช้บริหารจัดการน้ำ มิ.ย.ต้องกู้เงินให้ครบแต่ยังไม่มีความชัดเจนในโครงการว่าจะทำอะไร แล้วการกู้ 2 ล้านล้าน จะกู้มากองไว้เพื่อให้เป็นภาระกับลูกหลานทำไม ซัดกู้มากองรอโกง เลี่ยงถูกตรวจสอบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า 4.การกู้นอกระบบงบประมาณขัดต่อหลักของประชาธิปไตย ซึ่งในอดีตจะทำเมื่อเกิดวิกฤติจึงกู้ รัฐบาลที่แล้วทิ้ง พ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้าน เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาใช้ระบบงบประมาณปกติ เพราะยึดหลักประชาธิปไตยว่าผู้แทนปวงชนชาวไทยมีสิทธิตรวจสอบการใช้เงินของประชาชน ถ้าทำแบบนี้ต่อไปรัฐบาลอาจเสนองบประมาณมีรายการเงินเดือนอย่างเดียว ลงทุนไปออกกฎหมายกู้เงิน ส.ส.ตรวจสอบไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายวิธีการงบประมาณควบคุม ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยจะไม่ทำ เพราะเลี่ยงระบบการถ่วงดุลตามวิถีทางประชาธิปไตย เราไม่รับหลักการกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่เพราะไม่ต้องการเห็นโครงการเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ได้พิสูจน์แล้วทั้งทางการเมือง กฎหมายและการเงินว่าทำได้ภายใต้กรอบงบประมาณ อย่าทำเหมือนหลังน้ำท่วม เอาภาพสวยๆ มาฉายอนาคตบังหน้าเพื่อกู้มากอง กู้มาโกง เพิ่มหนี้ เพิ่มความเสี่ยงให้กับประเทศ 50 ปี 5 ล้านล้านบาท คือผลที่จะได้จากการอนุมัติกฎหมายแต่โครงการไม่มีหลักประกันว่าจะทำได้จริงตามที่มีการระบุหรือไม่

ปัด บอดี้การ์ดทักษิณประกบปู โยง การเมืองร้อน

ปัด บอดี้การ์ดทักษิณประกบปู โยง การเมืองร้อน
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่งบอดี้การ์ดส่วนตัวอารักขา นายกรัฐมนตรี โยง เดือนเมษายน การเมืองส่อร้อน... วันนี้ (28 มี.ค.56) นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่ง ร.ท.ธวัชชัย กลีบเมฆ บอดี้การ์ดส่วนตัว เป็นหัวหน้าทีมชุดรักษาความปลอดภัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื่องจากพบว่าในทีมนายกฯ บางคน นำข้อมูลชั้นความลับไปให้ฝ่ายค้านว่า การเปลี่ยนแปลงทีมชุดรักษาความปลอดภัยนายกฯ ถือเป็นเรื่องปกติ และการมาของ ร.ท.ธวัชชัย มาช่วยสนับสนุนการทำงานของนายกฯ และมาทำหน้าที่ชั่วคราวแต่พอดีความเป็นคนใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เลยถูกจับตามอง ส่วนข้อมูลในชั้นความลับรัฐบาลยังใช้ระบบป้องกันตามปกติ เมื่อถามว่าการที่ ร.ท.ธวัชชัย มาทำหน้าที่ตรงนี้ เป็นเพราะรัฐบาลประเมินว่าช่วงเดือน เม.ย.การเมือง มีความร้อนแรงหรือไม่ นายสุรนันทน์กล่าวว่า การเมืองยังหาผลประโยชน์จากการปล่อยข่าว เอาเรื่องต่างๆ มาปะปนกัน ถ้าการเมืองยังว่ากันอยู่ในสภาฯ มันก็ไม่มีปัญหา อย่างร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ว่ากันแค่ในสภาฯ มันก็ไม่มีปัญหา เชื่อว่าประชาชนสนับสนุน ตามระบอบประชาธิปไตย ช่วยกันแก้ปัญหาในสภาก็ไม่มีอะไรน่าห่วง

แนะทำประชามติ กู้2ล้านล้าน

แนะทำประชามติ กู้2ล้านล้าน
นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.ภูมิใจไทย จวก กู้ 2 ล้านล้าน หาเงินจากไหนมาใช้หนี้ แถมไร้ราคากลางส่อถึงความไม่โปร่งใส พร้อมแนะ ทำประชามติหาทางออก...วันนี้ (28 มี.ค.56) เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา นายไชยา พรหมมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศ แบบก้าวกระโดดในอีก 7 ปีข้างหน้า วงเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่หลายภาคส่วนมีความห่วงใยการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศนั้น จะมองหนี้สาธารณะอย่างเดียวนั้นไม่ได้ แต่เหตุผลนั้น มีเป้าหมายและยุทธศาสตร์ชัดเจน ที่จะสร้างขีดความสามารถของประเทศ ลดค่าใช้จ่ายในโลจิสติกส์ที่ปัจจุบันมีต้นทุนสูงกว่า 15% ของจีดีพี ซึ่งหากเราไม่มีโครงสร้างพื้นฐานนั้น เราจะเป็นภาระของอาเซียน ทั้งที่เราต้องทำตัวเป็นศูนย์กลางอาเซียน ต้องเป็นเกตเวย์ของภูมิภาคนี้ด้วย การเป็นเปิดประตูการค้า รวมทั้งเราต้องมียุทธศาสตร์เชื่อมฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย ซึ่งเป็นโอกาสของประเทศ ที่จะทำให้ประเทศเราเป็นตัวเชื่อมของภูมิภาคนี้ ไปสู่การแข่งขันธุรกิจการค้า สำหรับหนี้สาธารณะนั้น อย่าไปกลัว เพราะหนี้จะเป็นตัวชี้วัดตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะมีผลต่อจีดีพี ของประเทศ อีกทั้งทำให้เกิดโครงการขนาดใหญ่ มีการจ้างแรงงานเงินหมุนในระบบจึงอย่าเป็นห่วงว่าเป็นหนี้ ขณะเดียวกันไทยอยู่ในลำดับที่ 7 ของโลก ในการมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เช่นเดียวกันกับสิงคโปร์ ที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะร้อยละ 118 ต่อจีดีพี ซึ่งประเทศเหล่านี้ที่มีหนี้สาธารณะโต นั้นเป็นภาระจริง แต่มีเงินลงหมุนเวียนในระบบ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจใช้เงิน 2 ล้านล้านบาท เดินมาถูกทางแล้วและรัฐต้องกล้าหาญที่จะชี้แจงต่อประชาชน ขณะที่สภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ก็สามารถตรวจสอบได้จากนั้น นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่าสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วยคือ 1. ตนเห็นว่ารัฐบาลบริหารประเทศที่ขอกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เป็นการกระทำขัดแย้งกับนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 ส.ค.54 ที่ยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง ว่าจะบริหารประเทศยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลทำสวนทาง ตนยืนยันไม่ค้านความเจริญ อยากเห็นประเทศก้าวหน้า แต่วันนี้การกู้ 2 ล้านล้านบาทไม่ใช่แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่เป็นแนวทางที่เรียกว่า “เห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง” การพัฒนาประเทศต้องใช้งบประมาณประจำปีตนก็สนับสนุน และต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งตนเชื่อว่านโยบายนี้ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์กู้ รมว.คมนาคมใช้เงิน ประชาชนใช้หนี้” และในกฎหมาย 19 มาตรา ตนได้อ่านละเอียดแล้วไม่มีตรงไหน บอกว่ากระทรวงการคลัง จะเอารายได้จากไหนใช้คืนหนี้ ที่การกู้เงินครั้งนี้ เงินต้นและดอกเบี้ยกว่า 5.16 ล้านล้านบาท จะเอามาจากไหน เพราะถ้าไม่ชัดเจนเรื่องรายได้ ก็หมายความว่าในวันข้างหน้า จะมีการรีดภาษีจากคนไทย หรือการขยายฐานภาษีเพื่อหาเงินมาใช้หนี้“ผมไม่เชื่อในความสามารถของ รมว.คมนาคม จะบริหารโครงการนี้ให้สำเร็จได้ เนื่องจากการบริหารของรัฐบาลที่ผ่านมา ยังไม่แก้ไขปัญหาในการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การการขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) ที่เจ๊งทั้งหมด ก็ยังไม่แก้ไข หากการสร้างรถไฟความเร็วสูงแล้วก็ให้ รฟท.ดูแลอีก ก็จะเจ๊งแน่นอน นอกจากนี้ การขอกู้เงินทำผิดรัฐธรรมนูญ หมวด 8 เรื่องการเงินการคลังและงบประมาณ ในมาตรา 166,169,170 การเสนอขอกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท มี 3 ยุทธศาสตร์แต่กลับไม่มีรายละเอียด ไม่มีราคากลาง ทำให้ส่อไปในทางที่ไม่โปร่งใส รัฐบาลทำโครงการเป็นแสนล้าน ไม่มีปริมาณโครงการ ราคากลางไม่มี ก็จะนำไปสู่ให้ผู้รับเหมาเขียนราคากลางให้ เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่าท่านยังไม่พร้อม ผมเรียกร้อง ท่านนายกฯ ให้ถอนร่างออกไปและขอไปทำประชามติไปสอบถามประชาชนก่อน” นายบุญจง กล่าว.

Tuesday, March 26, 2013

มาร์คอ้างรัฐหวังเลี่ยงตรวจสอบใช้เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน

มาร์คอ้างรัฐหวังเลี่ยงตรวจสอบใช้เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน
มาร์ค อ้างเจตนารัฐบาลต้องการ เลี่ยงการตรวจสอบ การใช้เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ยัน ฝ่ายค้าน ไม่ได้ต้องการขวางการพัฒนา ชี้ ยังพอมีเวลาถึง ก.ย.ขอดูสาระสำคัญ การยื่นศาลรธน.ก่อน วันที่ 26 มี.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ของรัฐบาลว่า ยืนยันว่า ถ้าจะทำภายใน 7 ปี ใช้เงิน 2 ล้านล้าน แต่ต้องใช้หนี้ระยะยาวไปอีก 50 ปี ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องออกกฎหมายเงินกู้ฉบับนี้ เพราะสามารถทำได้ โดยไม่ต้องออกกฎหมายเงินกู้ เนื่องจากรัฐบาล มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงกระบวนการงบประมาณ เลี่ยงการใช้ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ในการอภิปรายวันที่ 28-29 มี.ค.เราจะ ชี้ ให้เห็นถึงทางเลือก ที่มันมีอยู่และปัญหาอันตรายที่จะเกิดขึ้น ถ้าเดินไปในเส้นทางนี้ โดยประเด็น คือ 1.เป็นการวิเคราะห์ ให้เห็นถึงผลกระทบทางด้านการเงินการคลัง 2. ก็อาจจะมีการอภิปราย ที่เกี่ยวข้องกับตัวโครงการบ้าง และ 3. ก็จะเป็นการอภิปราย ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความโปร่งใส ที่จะเป็นปัญหา เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย เคยประกาศชัดว่า จะไม่กู้เงิน แต่วันนี้ กลายเป็นแชมป์เงินกู้ไปแล้ว และจะเป็นการกู้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงน่าห่วง เรื่องการบริหารหนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้น ก่อนเกิดวิกฤติใหญ่ๆ แต่ละครั้งในประเทศไทย หรือ ในโลก  ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักของการบริหารจัดการที่ดีกว่า คือ ต้องมีการเผื่อ เพื่อป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อน เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ว.เตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่า การออก พ.ร.บ. ฉบับนี้ อาจขัด ม.169 นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขั้นตอนการตรวจสอบถึงความชอบรัฐธรรมนูญนั้น พอเป็นพ.ร.บ.จะยื่นก็ต่อเมื่อ กฎหมายมันเสร็จจากสภาแล้ว เพราะว่า การที่จะดูว่า ขัดไม่ขัด ต้องไปดูร่างที่ออกจากสภาฯ ฉะนั้น จึงต้องฟังจากรัฐบาลก่อน เหมือนกับว่า คาดการณ์ว่า จะผ่านสภาในเดือน ก.ย. แต่ตนสันนิษฐานว่า จะผลักดันวาระที่ 1 สมัยนี้ แต่ว่า ถ้าไม่มีพูดถึงวิสามัญ หรือยืดสมัยประชุมหรืออะไร กว่าจะกลับเข้ามาที่สภาอีกครั้ง ก็จะเป็นเดือน ส.ค. แล้วก็ไปวุฒิสภาอีก ก็คงเดือน ก.ย.ต้องไปว่ากัน ตอนนั้น ซึ่งยืนวันว่า เราสนับสนุน แต่เราท้วงติงว่า คุณทำรถไฟความเร็วสูง เชื่อมโลกอย่างไร ถึงไปไม่ถึงหนองคาย ถึงไปไม่ถึงมาเลเซีย ทำไมถึงอยู่ดีๆ ทิ้งชาวอยุธยา ไม่ต่อรถไฟฟ้าไป ในเรื่องของ World Expo ตรงนี้ ชัดเจนว่า ฝ่ายค้านต้องการให้พัฒนาหรือไม่

ปชป.ไม่เสนอร่าง พรบ.เงินกู้ประกบ ปูดยัดไส้โยกงบเพียบ

ปชป.ไม่เสนอร่าง พรบ.เงินกู้ประกบ ปูดยัดไส้โยกงบเพียบ
มติ ปชป. ไม่ยื่นร่างกฎหมายประกบ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล ชี้บางโครงการใช้งบฯ สูงเกินจริง ปูดยัดไส้โยกงบเพียบ ...วันที่ 26 มีนาคม นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. และทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่ยื่นร่างกฎหมายประกบ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล เพราะพรรคไม่เห็นด้วยกับการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และจากการพิจารณาโครงการบางโครงการใช้งบฯ สูงเกินจริง เช่น โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบาราที่ใช้งบประมาณสูงกว่าหมื่นล้านบาท ทั้งที่ยังไม่ผ่านการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการก่อสร้างหลายเส้นทางที่ยังมีความซ้ำซ้อนกันในส่วนของถนนและระบบราง นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เพราะไม่ได้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลับมีการใช้อ้างโครงการเพื่อสร้างเป็นระยะทางสั้นๆ ซึ่งไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนและการขนส่ง ไม่ตรงกับหลักการเหตุผลที่ระบุ เช่น สายอีสานจาก กทม.หยุดที่ จ.นครราชสีมา โดยไม่เชื่อมต่อไปหนองคายเข้าลาว หรือสายใต้จาก กทม.หยุดอยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ ไม่เชื่อมต่อไปมาเลเซีย หรือสายเหนือที่สร้างจาก กทม.ไปเชียงใหม่ ก็ไม่เชื่อมต่อไปจีนตามแผนงานหลักเดิม อย่างไรก็ตาม พรรคเห็นด้วยกับระบบรถไฟรางคู่ และยังเห็นว่ามีการใช้เงินสูญเปล่าถึงกว่า 9 พันล้านบาท เนื่องจากต้องมีการวางระบบในการติดตามการเบิกจ่ายเงินใหม่ จากเดิมที่ในระบบงบประมาณปกติสามารถติดตามผ่านระบบของกรมบัญชีกลางได้ จึงเท่ากับว่าเป็นการสูญเสียเงินโดยใช่เหตุและจะทำให้ตรวจสอบยาก นอกจากนี้พรรคยังเป็นห่วงการโยกงบประมาณในแต่ละโครงการที่รัฐบาลระบุเป็น เอกสารประกอบ 200 หน้า แต่ไม่ได้ระบุอยู่ในบัญชีแนบท้ายร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ ทำให้ไม่มีผลผูกมัดตามกฎหมาย.

พท.จัดเต็ม ตั้งวอร์รูมรับมือ อภิปรายฯ เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน

พท.จัดเต็ม ตั้งวอร์รูมรับมือ อภิปรายฯ เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน
เพื่อไทย ตั้งวอร์รูม กลางสภาฯรับมือ อภิปรายเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ตั้ง “โภคิน พลกุล” คุมทีมสู้ฝ่ายค้าน เตรียมแจกเอกสาร สรุปร่างพ.ร.บ. แจก ส.ส. ให้ทำความเข้าใจ เพื่อช่วยอภิปรายในสภาฯ วันที่ 26 มี.ค. ที่พรรคเพื่อไทย มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 ในหัวข้อ “เพื่อไทย...เพื่ออนาคตประเทศไทย” โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง บรรยายหัวข้อการพัฒนาทิศทางของประเทศไทย แทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ติดภารกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ระหว่างการประชุมสภาฯวันที่ 28-29 มี.ค. ขอให้ส.ส.ช่วยชี้แจง ถึงการออก พ.ร.บ.ดังกล่าว ให้สาธารณชนรับทราบ เพราะคาดว่า จะมีประชาชนติดตามฟังจำนวนมาก โครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจะช่วยลดช่องว่าง คนรวยกับคนจน คนใกล้กับคนไกลให้ใกล้กันมากขึ้น เชื่อว่า ประชาชนจำนวนมาก ให้กำลังใจรัฐบาลเดินหน้าทำเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นการกู้เงินพัฒนาประเทศครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำ ขอให้ดูว่า ถ้าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ผลักดันสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ป่านนี้ ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร แม้การออกกฎหมายนี้ จะใช้เวลานานในการชำระหนี้คืน แต่ทรัพย์สินที่ลงทุน ยังอยู่กับประเทศไปอีกยาวนาน ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมสภาฯวันที่ 28-29 มี.ค. พรรคจะเปิดห้องประชุม 3301 ที่รัฐสภา ช่วยรัฐบาลชี้แจง ร่างพ.ร.บ. เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ต่อที่ประชุมสภาฯ ขณะนี้ได้เตรียมเอกสารสรุป ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ แจกให้ส.ส.เพื่อไทย ไปศึกษา และอภิปรายในการประชุมสภาฯ และจะขอให้ นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา ช่วยนั่งที่ห้องดังกล่าวตลอด 2 วันนี้ เรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท บอกได้เลยว่า มีความสง่างามกว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่กู้เงินมาทำโครงการไทยเข้มแข็ง เพราะรายละเอียดที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ กู้เงินไปทำโครงการ ไทยเข้มแข็ง ไม่มีรายละเอียดชัดเจน เท่ากับรัฐบาลชุดนี้ ตั้งงบสร้างโรงพักก็ทำไม่ได้ โครงการต้นกล้าอาชีพ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลเราสง่างามกว่ามาก

Monday, March 25, 2013

ประพันธ์กำชับจนท.วางตัวเป็นกลาง เลือกตั้งซ่อมเชียงใหม่

ประพันธ์กำชับจนท.วางตัวเป็นกลาง เลือกตั้งซ่อมเชียงใหม่
“ประพันธ์” กำชับ จนท.วางตัวเป็นกลาง จัดเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 เตือนระวังการหาเสียงติดช่วงสงกรานต์ส่อผิด ก.ม.เลือกตั้ง ชี้ 2 คำร้อง กกต.กทม.พิจารณารับรอง “ชายหมู” เข้าที่ประชุม กกต.กลาง 27 มี.ค.นี้...วันที่ 25 มีนาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมการเตรียมความพร้อมการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 3 จ.เชียงใหม่ แทนตำแหน่งที่ว่างว่า ในการประชุมจะได้ซักซ้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการจัดการเลือกตั้ง เนื่องจากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 3 จ.เชียงใหม่ ครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.55 กกต.ได้ใช้งบประมาณในการจัดการเลือกตั้ง 10.2 ล้านบาท คาดว่าการจัดการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้น่าจะใช้งบประมาณในการจัดการเลือกตั้งใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง ให้วางตัวเป็นกลาง ยึดหลักของกฎหมายเป็นที่ตั้ง เนื่องจากการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้มีการแข่งขันกันสูง อย่างไรก็ตาม กกต. จะพยายามรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์กันมากๆ และขอให้การหาเสียงเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ และระวังอย่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนที่การหาเสียงอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้น ก็ขอให้ระวัง เพราะในช่วงเทศกาลดังกล่าวจะมีการจัดงานรื่นเริง ใช้เครื่องขยายเสียงหรือมีของแจก ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่อยากให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีปัญหาเกิดขึ้น ทั้งนี้จะเสนอให้ที่ประชุมจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนป้องปรามหาข่าวลงพื้นที่ใน 3 อำเภอ ที่มีการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมการจัดการเลือกตั้ง เชื่อว่าน่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยนายประพันธ์ ยังกล่าวแสดงความเป็นห่วงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ในปีนี้จะมีการเลือกตั้งนายกฯ อบต. 3 พันกว่าแห่ง ซึ่งที่ผ่านมามีข่าวว่ามีการยิงนายกฯ อบต.ปราจีนบุรีเสียชีวิต ซึ่งได้รับรายงานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งนายกฯ อบต.ที่จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามฝากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลในเรื่องดังกล่าวด้วยนายประพันธ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า ในวันที่ 27 มี.ค.นี้ เวลา 14.00 น. โดยสำนักประชุมจะบรรจุวาระมติของ กกต.กทม.ที่ส่งสำนวนคำร้องคัดค้านผู้ว่าฯ กทม. จำนวน 2 สำนวน เพื่อให้ กกต.กลางพิจารณา ซึ่งส่วนตัวไม่ทราบว่าทั้ง 2 สำนวนมีรายละเอียดเนื้อหาเป็นอย่างไร คงต้องรอดูสำนวนก่อนว่าจะสามารถประกาศรับรองผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ได้หรือไม่ หากการสืบสวนสอบสวนในประเด็นดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จก็ต้องสืบสวนสอบสวนเพิ่ม และถ้าไม่ทันกำหนดระยะเวลา 30 วันที่จะครบกำหนดในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ทาง กกต.กลางก็จะประกาศรับรองการเลือกตั้งไปก่อน ทั้งนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะประกาศรับรองผลภายในวันที่ 27 มี.ค.ได้หรือไม่.

ชวนนท์ตั้งข้อสังเกต ปูเยือนปาปัวฯ พัวพันธุรกิจพลังงานทักษิณ

ชวนนท์ตั้งข้อสังเกต ปูเยือนปาปัวฯ พัวพันธุรกิจพลังงานทักษิณ
ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกปชป. ตั้งข้อสังเกต นายกฯเยือนปาปัวฯ เชื่อ พัวพันธุรกิจพลังงาน แม้ว อ้าง ปตท.สผ. ระวังตกหลุมพราง บ.ผี รอปั่นหุ้น สูงเกินจริง 3 เท่า จี้ รัฐแจงความจริงวันที่ 25 มี.ค. นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเยือนประเทศปาปัวนิวกินี ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่า การไปเยือนประเทศปาปัวนิวกินี ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ น่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ในธุรกิจด้านพลังงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยในการไปเยือนครั้งนี้ มีการนัดเจรจาธุรกิจ ระหว่างบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กับบริษัทอินเตอร์ออยส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ไอโอซี) ของประเทศปาปัวนิวกินี โดยมีการลงทุนทั้งหมด 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตนทราบมาว่า รัฐบาลชุดที่แล้ว ของปาปัวนิวกินี เคยยกเลิกสัมปทานของบริษัทไอโอซี เนื่องจาก ไม่มีความพร้อมด้านการลงทุน และไม่มีก๊าซธรรมชาติเหลวจริง แต่กลับไปได้สัมปทานจากรัฐบาลชุดปัจจุบันของปาปัวนิวกินี และเป็นตัวแทนรัฐบาลที่จะไปเจรจากับ ปตท.สผ. และในการดำเนินงานของบริษัทดังกล่าว เป็นการตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อปั่นหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งในเว็บไซต์ของ ปตท.สผ.ได้มีการนำรูปภาพโครงการการลงทุนจากบริษัท ไอโอซี ซึ่งถือว่า มีความสอดคล้องกัน จึงขอให้ทาง ปตท.สผ. ตรวจสอบโครงการดังกล่าวให้ดี ว่าบริษัทไอโอซี มีประสบการณ์และมีการดำเนินธุรกิจจริงหรือไม่ เพราะมีความไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างมาก โดยอาจจะเอื้อผลประโยชน์มหาศาล ให้กับใครบางคน นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 2 ประเด็นในการเจรจาคือ 1. การลงทุนในครั้งแรก เป็นเหมือนการจองสิทธิ์ในการดำเนินงานสำรวจพลังงานของ ปตท.สผ. มีคนได้ค่านายหน้าจากการเจรจาดังกล่าวไปแล้ว 3 หมื่นล้านบาท และ 2. หลังจากมีข่าวว่า บริษัท ไอโอซี จะมีการลงทุนกับบริษัทปิโตรเลียมของประเทศไทย ก็ได้มีการตั้งบริษัทเพื่อรองรับการลงทุนในครั้งนี้โดยเฉพาะ เพื่อจุดประสงค์ในการปั่นหุ้นในบริษัท ไอโอซี ให้สูงกว่าราคาตลาด 3 เท่า จริงหรือไม่ ดังนั้น จึงอยากขอคำชี้แจงจากรัฐบาลไทยว่า การเจรจาดังกล่าว ไทยได้ประโยชน์อย่างไรหรือไม่ หรือเอื้อให้กับคนบางคน ที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ อย่างไร เพราะเป็นข้อกังวลสงสัยของคนที่ติดตามข่าวคราว

ต้องถามใจตัวเอง...??

ต้องถามใจตัวเอง...??
พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ระหว่างวันที่ 28-29 มี.ค.นี้  ส่วนตัวเห็นว่า น่าจะผ่านสภาฯ ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ต้องขึ้นอยู่กับช่องทางการยื่นเข้ามาว่า ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หากวิธีการไม่ถูกต้อง รัฐบาลเองก็ต้องทำเสียให้ถูก ตามทำนองคลองธรรม เปรียบเสมือน การเปลี่ยนยานพาหนะ เมื่อนั่งมาไม่ถูกก็ต้องทำเสียให้ถูกก็น่าจะจบ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงจะต้องดัน พ.ร.บ.ผ่านสภาฯ ให้ได้ เนื่องจากถือเป็นกฎหมายการเงิน หากไม่ผ่าน ก็จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบ แต่รัฐบาลชุดนี้ แข็งแกร่งอยู่แล้ว จากคะแนนเสียงที่มีในสภาฯ ทั้งหมด จึงเชื่อว่าน่าจะผ่านโดยไม่ยากนัก 7คนกลุ่มเราเอง ต้องดูเหตุ ดูผล ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายค้าน หากไม่มีอะไรผิดปกติ ก็คงจะช่วยรัฐบาลอยู่แล้ว แต่หากมีข้อมูลอะไรที่ต้องนำมาพิจารณา ก็ว่ากันอีกที ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านออกมาระบุว่า ไม่ขัดข้องในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานประเทศ แต่ขัดข้องที่จะยกวงเงินกู้ 2 ล้านล้าน ให้มาอยู่นอกงบประมาณประจำปี เนื่องจากเกรงว่า เป็นการเปิดช่องให้มีการทุจริต เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ ก็สุดแท้แต่ ก็เห็นด้วย ให้ต้องตรวจสอบงบประมาณกันให้มากๆ เพื่อประโยชน์ของประเทศทั้งหมดคือความในใจของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา พรรคภูมิใจไทย ที่กล่าวกับ ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ เกี่ยวกับกรณีที่รัฐบาล เตรียมพร้อมที่จะมีการดัน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ผ่านสภาฯให้ได้ เพื่อใช้เป็นงบประมาณในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ถึงนาทีนี้ต้องถือว่า ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมืองทั้ง 2 ขั้ว ทั้งรัฐบาลเพื่อไทย และฝ่ายค้านปชป. ภาคประชาชน หรือแม้แต่ภาคธุรกิจเอกชน เห็นด้วย ที่จะต้องมีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศแบบครบวงจร แต่สิ่งที่ยังเห็นแย้งกันอยู่ นั่นคือขั้นตอนการปฏิบัติ ที่ฝ่ายหนึ่งระบุว่า มีความจำเป็นต้องกู้เงินจำนวนมหาศาลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย  ถึง 2 ล้านล้านบาทให้ได้ เพื่อนำมาใช้สร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เตรียมรับการเข้าสู่ AEC ประชาคมอาเซียนในปี 2558   ขณะที่อีกฝ่าย ขั้วการเมืองตรงข้าม ก็ออกมาชี้ให้ประชาชนได้เห็นว่า อาจไม่มีความจำเป็น ต้องกู้เงินจำนวนมหาศาลถึงขนาดนั้น เพราะจะส่งผลถึงภาวะหนี้สินของประเทศ เป็นภาระที่ลูกหลานคนไทยในอนาคต ต้องหาเงินมาใช้หนี้ยาวนานถึง 50 ปีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แถมบลัฟกลับว่า ถ้าเป็นพรรคตนเป็นรัฐบาล จะทำการสร้างรถไฟความเร็วสูง หรือแม้แต่ระบบขนส่งมวลชนระบบรางใน กทม. แบบไม่จำเป็นต้องกู้เงิน ให้มาเป็นภาระให้ดูทั้งดักคออีกว่า เกรงจะเกิดการ ทุจริต-คอรัปชัน อย่างมโหฬาร เพราะไม่สามารถตรวจสอบ การใช้จ่ายเงินกู้ก้อนนี้ของภาครัฐได้ เนื่องจากมีการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน และยังพลักเงินกู้ก้อนนี้ ให้ไปอยู่นอกงบประมาณประจำปี ทำให้ฝ่ายค้านตรวจสอบยากเรียกได้ว่า มีเหตุมีผล น่ารับฟังทั้ง 2 ฝ่าย นั่นเพราะการพัฒนาประเทศ ให้มีความเจริญ มั่นคง และมีความมั่งคั่ง ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศในโลก เป้าหมายเพื่อให้พี่น้องคนไทยทุกคน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกด้าน  นับเป็นเป้าหมายที่สำคัญ ดังนั้นการกู้เงินมา เท่าที่จำเป็น  เพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า จึงนับเป็นสิ่งที่สำคัญ ขณะเดียวกัน ก็อย่างที่ทราบ เงินก้อนนี้ ถือเป็นเงินของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนคนไทย ที่ต้องมีการจัดระบบการใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์ อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ก็ถือเป็นหน้าที่และมีความจำเป็น ที่ต้องมีระบบการตรวจสอบ ที่ทรงประสิทธิภาพไม่ให้เงินที่กู้มาก้อนนี้ เกิดรั่วไหล กลายมาเป็นเหยื่ออันโอชะ ของกลุ่มนักการเมือง หรือ นักธุรกิจ ที่ทรงอำนาจ ทรงอิทธิพล ทั้งหลาย อย่างที่พรรคฝ่ายค้าน พยายามกระตุ้นเตือนประชาชนอยู่ในขณะนี้  ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือการหาจุดที่ลงตัวให้ทั้งสองฝ่ายสามารถไปด้วยกันได้ ไม่ขัดแย้งกัน แต่ต้องตั้งอยู่บนข้อแม้ว่า ประเทศชาติ และประชาชน จะต้องได้ประโยชน์สูงสุด นั่นคือ ฝ่ายรัฐบาล สามารถกู้เงินมาใช้บริหารจัดการประเทศ  ตามแผนที่วางไว้ได้  ส่วนฝ่ายค้านเอง ก็จำเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบงบประมาณที่เข้มข้น และทรงประสิทธิภาพ สามารถที่จะต้องสอบการใช้งบประมาณก้อนนี้ ได้อย่างเต็มที่ โดยต้องไม่มีกฎหมาย  ข้อบังคับ หรือ ข้อห้ามใดๆ มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการตรวจสอบ ฉะนั้นถึงตอนนี้ก็อยากให้ ทั้ง 2 ฝ่าย ใช้โอกาสนี้ ได้หันกลับไปถามใจตัวเองดูว่า ในที่นี้หมายถึงทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ อาจนับรวมไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยก็ได้ว่า ที่ผ่านมาทั้งหมดทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง หรือ พวกพ้อง หรือ เพื่อเล่นการเมือง แบบหวังทำลายฝ่ายตรงข้าม มากจนเกินไป หรือไม่? ทั้งนี้ การกู้เงินเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ แม้ยอมรับว่า มีความจำเป็นแต่ก็ต้องถามว่า มีความจำเป็นมากน้อยแต่ไหน ที่ต้องกู้เงินมากมายมหาศาล ถึง 2 ล้านล้านบาทเลยหรือ ยังมีหนทางอื่นที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่?  หากเป็นไปได้ กู้ฯเอามาใช้เฉพาะแค่ที่จำเป็นก่อน เพราะจะอย่างไร ก็ส่งผลต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศไทยในอนาคตแน่ ไม่มากก็น้อย ขณะที่อีกฝ่าย ต้องถามใจตัวเองดูด้วยเช่นกันว่า ที่ไม่เห็นด้วย เป็นเพราะเห็นว่า รัฐบาลกระทำการเช่นนี้ สุ่มเสี่ยงทำประเทศเสียหาย เปิดช่องให้เกิดการทุจริต-คอรัปชันอย่างมโหฬาร ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องจริงๆ หรือไม่? หรือ แท้ที่จริงแล้ว ก็เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพวกตน ที่กลัวว่า หากอีกฝ่ายทำสำเร็จจริงๆแล้ว ฝ่ายตัวเอง จะต้องกลายเป็นฝ่ายค้านดักดานติดต่อกัน ไปอีก 4 สมัย  ยากที่กลับมาเป็นรัฐบาลได้ อย่างที่มีผู้อาวุโสในพรรค แสดงความคิดเห็นและสนับสนุนให้ ปชป.ต้องทำการปฏิรูปฯพรรค ออกมาตั้งสมมุติฐานเอาไว้   ทั้ง 2 ฝ่าย จึงสมควรต้องไปถามใจตัวเองดูว่า ลึกๆแล้วทำเพื่ออะไร...?? 

Thursday, March 14, 2013

ขยายสัญญาพีซีซี สร้างโรงพักอีก 30 วัน

ขยายสัญญาพีซีซี สร้างโรงพักอีก 30 วัน
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. แถลงขยายสัญญาให้ บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด สร้างโรงพัก 396 แห่ง อีก 30 วัน ขู่ พ้นกำหนดฟ้องเรียกค่าเสียหายวันละ 5.8 ล้าน... วันนี้ (14 มี.ค.56) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ร่วมกับคณะทำงานพิจารณาการแก้ไขปัญหา การก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศว่า วันนี้เป็นวันครบกำหนดสัญญาการก่อสร้าง ซึ่งบริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ต้องส่งมอบโรงพักทดแทน 396 แห่ง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ตามกฎหมายโครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหญ่ มูลค่าการก่อสร้างกว่า 5,000 ล้านบาท จึงต้องให้เวลากับคู่สัญญาในการดำเนินการส่งมอบ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขยายเวลาให้กับ บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด อีก 30 วัน ส่งมอบในวันที่ 17 เมษายน หากไม่สามารถดำเนินการได้ จะส่งหนังสือยกเลิกสัญญาในวันที่ 18 เมษายน และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่ง เรียกค่าเสียหายวันละ 5.8 ล้านบาท ส่วนการประกวดราคาเพื่อจัดสร้างโรงพักใหม่ ให้แต่ละพื้นที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จ ในวันที่ 18 เมษายน เช่นกัน

ถาม ผบ.ตร. ที่มาเงิน300ล้านเยียวยาโรงพักฉาว

ถาม ผบ.ตร. ที่มาเงิน300ล้านเยียวยาโรงพักฉาว
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ถามที่มาเงิน 300 ล้านบาท ที่ ผบ.ตร.ใช้เยียวยาปมโรงพักฉาว งง บริษัทพีซีซี ทำผิดสัญญาทำไมไม่ยกเลิก ก่อนโชว์ใช้ค้อนประจำตัวทุบโมเดลโรงพักจำลองประชด...  วันนี้ (14 มี.ค. 56) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณหน้ารัฐสภา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ในฐานะรองประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงข่าวที่หน้ารัฐสภา พร้อมกับนำโมเดลสัญลักษณ์โครงการสร้างโรงพัก (ทดแทน) 396 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และค้อนแดงประจำตัว พร้อมแผ่นป้ายต่างๆ อาทิ จะโกงกินอีกมากแค่ไหน, ใครคือคนแดกประเทศไทย และอย่าปล่อยให้คอรัปชันลอยนวล   อัด ข้าราชการประจำ รังแกประชาชน เอื้อการเมือง นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนติดตามโครงการสร้างโรงพัก 396 แห่งมาตั้งแต่ต้น จนวันนี้ วันที่ 14 มี.ค. 56 เป็นวันที่ครบกำหนดสัญญาอัปยศ ที่ สตช. ได้ทำกับบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทั้งที่ผ่านมากว่า 2 ปี ได้มีการต่อสัญญาให้ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกต่อให้ 30 วัน ครั้งที่สอง 180 วัน และครั้งที่สาม ในเดือน พ.ย.55 อีก 60 วัน ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่บอกว่าข้าราชการถูกรังแก แต่อยากจะบอกว่าตนในฐานะผู้เสียภาษีและประชาชนทั่วไปก็ถูกข้าราชการประจำรังแกเช่นกัน เพราะโครงการนี้ สตช.ในฐานะคู่สัญญากับบริษัทพีซีซี สามารถยกเลิกสัญญาได้ตามข้อ 6 ที่ระบุชัดว่า หากบริษัทก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ หรือทำผิดสัญญา ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่กรณีนี้ต่อสัญญาถึง 3 ครั้ง แม้จะสร้างไม่เสร็จ แต่ยังได้สร้างต่อ สตช.ไม่ยอมยกเลิกสัญญา ถามว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) อย่างน้อย 3-4 คนในช่วงที่ผ่านมา กรรมการตรวจรับงาน และข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ ล้วนรังแกประชาชนและตำรวจชั้นผู้น้อย เพราะข้าราชการประจำเหล่านี้ เลี่ยงใช้ช่องว่างช่วยเหลือบริษัทผู้รับเหมา ผลาญเงินภาษีงบประมาณแผ่นดินที่มาจากประชาชน อย่างน้อยโครงการนี้ 5,800 ล้านบาท แถมได้รับการยกเว้นไม่ต้องค่าปรับวันละ 5.8 ล้านบาท รวมเป็นเงินค่าปรับกว่า 1,500 ล้านบาท หากข้าราชการประจำหลีกเลี่ยง ประเทศชาติจะเหลืออะไร  ธาริต-อดุลย์ไปแจงคดีที่ ป.ป.ช.-ศาล นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า นายธาริต หรือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ไม่ต้องมาพบตนที่เป็นกรรมาธิการ แต่ขอให้ไปพบกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสู้คดีในศาลกันเอง เพราะวันนี้ กรรมาธิการทำอะไรไม่ได้ เป็นแค่เสือกระดาษ ที่น่าสนใจกว่านั้น ตนเห็นข่าว พล.ต.อ.อดุลย์ นำเงินไปเยียวยาให้โรงพักต่างๆ ที่สร้างไม่เสร็จ โรงพักละ 300,000 บาท ถามว่านำเงินมาจากไหน ทั้งที่ คู่สัญญาทำผิด แต่กลับไม่ปรับและไม่ยกเลิก โดยเงินที่นำไปเยียวยา 100 โรงพัก เท่ากับต้องใช้เงิน 30 ล้านบาท แล้วหากต้องเยียวยา 300 กว่าแห่ง จะเป็นเงินกว่าร้อยล้านบาท จึงขอให้ชี้แจงว่านำเงินงบประมาณมาจากไหน ตนทำหน้าที่ของตนได้ดีที่สุดเท่านี้ ขอเรียกร้องให้ข้าราชการประจำ ได้ทำหน้าที่ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา ไม่ใช่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายผู้มีอำนาจและชี้ช่องกฎหมายช่วยเหลือเพื่อให้เกิดการทุจริตคอรัปชันผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายชูวิทย์ได้นำเงินกงเต๊กโรยใส่บนโมเดลโรงพัก พร้อมพูดว่า อยากได้เงินเท่าไหร่ เอาไป จากนั้นก็ใช้ค้อนทุบโมเดลดังกล่าวจนแตกละเอียด ท่ามกลางความสนใจของสื่อจำนวนมาก.  

สุกำพลยันไม่เสียทีเขมร ซ้ำรอยปี2472

สุกำพลยันไม่เสียทีเขมร ซ้ำรอยปี2472
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต แจงนัดพบ พล.อ.เตีย บันห์ ด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับ ทักษิณ เชื่อไม่กระทบคดีพระวิหาร เหตุพบกันที่บริเวณตัวปราสาท ลั่นไม่พลาดท่าซ้ำรอยปี 2472 แน่...วันนี้ (14 มี.ค.56) เวลา 11.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมี นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามสด การพบกันระหว่าง รมว.กลาโหม ของไทยและกัมพูชา โดยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มีข้อสงสัยว่า ที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ขึ้นไปพบกับ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกัมพูชา ตามคำเชิญของกัมพูชา จะเป็นการเพลี่ยงพล้ำเหมือนในอดีต สมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ขึ้นไปบนเขาพระวิหาร โดยมีธงชาติฝรั่งเศสปักอยู่ และฝ่ายไทยก็ไม่ได้โต้แย้ง ประเด็นนี้ จึงถูกใช้เป็นหลักฐานในศาลโลกว่า ไทยยอมรับในอธิปไตยของฝรั่งเศส นอกจากนี้ เท่าที่ตนดูรูปภาพเทียบเคียงอดีตกับปัจจุบันพบว่า พื้นที่ที่ พล.อ.อ.สุกำพล ถ่ายรูปร่วมกับ พล.อ.เตีย บันห์ เป็นจุดที่ใกล้เคียงกับที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยไป จึงกังวลใจ เพราะศาลโลกจะตัดสินคดีปราสาทพระวิหารในปีนี้ จึงอยากทราบว่าไปโดยคำเชิญใคร ไปเจอกันตรงไหนอย่างไร เพราะเป็นสาระสำคัญที่อาจทำให้ศาลโลกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้ นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศเองก็มีข้อห่วงใย เพราะก่อนหน้านี้ มีการจัดเตรียมความพร้อมที่จะเจอกันที่ โรงแรมสุรินทร์มาเจสติก แต่ทำไมมาเปลี่ยนสถานที่ภายหลัง และมีข่าวว่ากองทัพเองก็ไม่เห็นด้วย โดยตนยังมีข้อสังเกตว่า ก่อนที่ รมว.กลาโหม จะไปพบกับ พล.อ.เตีย บันห์ เกิดขึ้นภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางออกจากกัมพูชาไปฮ่องกง จึงสงสัยว่าการเปลี่ยนสถานที่นัดพบเป็นบนปราสาทพระวิหาร เพราะทำตามคำแนะนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ และอยากถามว่า เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว หรือประเทศชาติ เพราะก่อนหน้านี้ทหารไทยกับกัมพูชาได้ปะทะกัน ทำให้ทหารไทยเสียชีวิตกว่า 10 นาย เพื่อรักษามาตุภูมิและรักษาท่าทีของฝ่ายไทย ที่จะขึ้นศาลโลก การที่ พล.อ.อ.สุกำพล ขึ้นไปถ่ายรูป ก็สุ่มเสี่ยงจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก จึงขอร้องว่าอย่าทำแบบนี้อีก เพราะอาจส่งผลต่อการพิจารณาของศาลโลกได้  ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล ชี้แจงว่า การไปครั้งนี้ ไม่มีการเชิญมา ตนในฐานะประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ต้องการไปตรวจเยี่ยมทหารด้วย บริเวณที่ไปพบกันคือ ตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นเขตแดนกัมพูชา จึงไม่มีผลอะไรต่อคดี กระทรวงการต่างประเทศเอง ก็ไม่ได้จองโรงแรมสุรินทร์มาเจสติกไว้ การติดต่อประสานงานเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม โดยกรมกิจการชายแดนทหาร กระทรวงการต่างประเทศ เพียงแค่ส่งเจ้าหน้าที่ร่วมคณะและไม่ได้มีข้อทักท้วงใดๆ และภายหลังก็ได้รายงานเรื่องดังกล่าวต่อ นายวีระชัย พลาดิศัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า การไปพบปะถ่ายรูปร่วมกันครั้งนี้ ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีของศาลโลก และตนเป็นคนโทรนัด พล.อ.เตีย บันห์ เอง โดยระบุสถานที่ขอเจอกันบนปราสาทพระวิหาร “การคุยกันครั้งนี้ผมคิดเอง เพราะเป็นเรื่องหมูๆ ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ได้พบกัน 2 คน คุยกันเป็นสิบ ผมไปคุยเรื่องยุทธศาสตร์ชายแดนให้มั่นคงและมั่งคั่ง รวมถึงการเข้มงวดเรื่องไม้พะยูง การแก้ไขปัญหาชายแดนแบบฉันมิตร ร่วมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก เรื่องมาตรการคุ้มครอง หลังจากที่ทหารไทยและกัมพูชา เคยปะทะกัน ยืนยันว่าทั้ง 2 ประเทศจะตกลงกันได้ และชาวบ้านของทั้ง 2 ประเทศ ที่ประกอบอาชีพอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน ก็ยืนยันว่าจะไม่มีการโยกย้ายออกนอกพื้นที่” พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว.

Wednesday, March 13, 2013

เลขาสมช. ยันลงนามBRN ไม่ขัด ม.190

เลขาสมช. ยันลงนามBRN ไม่ขัด ม.190
พล.ท.ภราดร ชี้ ประชุมสภาฯ มั่นคง วันนี้เน้นวางกรอบ ลดโทนรุนแรง จว.ชายแดนใต้ เตรียมคุยมาเลเซีย 28 มี.ค. ยันไม่ผิด ม.190 ย้ำไม่ถึงขั้นตั้ง มหานครปัตตานี... วันที่ 13 มี.ค. พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ถึงการประชุมวางกรอบที่จะนำเรื่องไปพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ร่วมกับรัฐบาลมาเลเซีย ในวันที่ 28 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ว่า เรื่องหลักๆ ที่จะสื่อสารในที่ประชุมเวลาประมาณ 13.30 น.ในวันนี้ ก็คือ การลดโทนความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลัก โดยจะไปรับฟังความคิดเห็นของเขา ทางเราตอนนี้ก็มีการเสนอรายชื่อบุคคลที่จะต้องลงไปหารือ รับฟังความคิดเห็นในวันที่ 28 มี.ค.นี้แล้ว ซึ่งยังเป็นก้อนใหญ่อยู่คงต้องมีการคัดเลือกรายชื่ออีกครั้ง  ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่มีการลงนาม พันธสัญญา หรือทำเอ็มโอยูใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น จึงไม่ต้องเกรงว่าอาจจะผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 อย่างที่มีผู้หวังดีออกมาเตือน ทั้งยังเป็นการไปพบหารือกันนอกประเทศไทย โดยไปที่ประเทศเพื่อบ้านอย่างมาเลเซีย ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ธูรกิจแก๊ส-น้ำมันในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พล.ท.ภราดร กล่าวต่อว่า เรื่องนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะมีการตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐ อย่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังไม่นับองค์กร ภาคประชาชนต่างๆ เต็มไปหมด โดยการดำเนินการที่ผ่านมาทั้งหมดทำร่วมกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งยืนยันว่าจะไม่มีการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของกันและกัน ส่วนที่ต้องเร่งดำเนินการ เพราะจะได้เป็นการสกัดความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการในพื้นที่ และสืบเนื่องจากกรณีที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 นี้ด้วย เมื่อพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทั้งของไทยและมาเลเซีย ทั้ง 2 ประเทศจึงต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา หากทำไม่ได้ อนาคตประเทศอื่นมีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนก็อาจจะต่อว่าได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีข่าวว่าการพูดคุยกับกลุ่มขบวนการที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนดังกล่าว อาจทำให้ไทยเสียเปรียบไปถึงขั้นนำไปสู่การตั้งมหาครปัตตานี หรือเกรงว่าอาจจะทำให้ปัญหายกตัวไปสู่เวทีนานาชาตินั้น พล.ท.ภราดร ยืนยันว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะการหารือ พูดคุย กับกลุ่มอุดมการณ์ในพื้นที่ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ เปรียบไปก็คือการไปพูดจากัน เมื่อรับข้อมูลจากฝั่งตรงข้ามาแล้วก็ต้องมาหารือกันกับทุกกลุ่ม ทั้งหน่วยงานของรัฐ ภาคประชาชน เอกชน ในประเทศอีกครั้งว่าจะเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป ทั้งกรณี การตั้งเขตปกครองพิเศษ หรือจะใช้รูปแบบการปกครองท้องถิ่น หรือไม่ อย่างไร การหารือทั้งหมด ต้องอยู่ภายใต้ รัฐธรรมนูญไทย และยังคงต้องพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องไปอีก เพราะยังไม่มีใครทราบว่า จะต้องดำเนินการไปในรูปแบบไหน แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะยังไม่ถึงขั้นตั้งมหานครปัตตานีแน่ เลขาฯ สมช. กล่าว.

มาร์คสอนกฎหมายเฉลิม คำร้องคุณชายไม่ถึงใบแดง

มาร์คสอนกฎหมายเฉลิม คำร้องคุณชายไม่ถึงใบแดง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สอนกฎหมาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คำร้องคัดค้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ไม่ถึงใบแดง แนะรัฐระวังพูดเรื่องตั้งนครรัฐปัตตานี... นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยอมรับว่า บทสรุปการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น จะจบลงที่การตั้งมหานครปัตตานี ว่า เป็นการพูดที่ใช้ความระมัดระวังน้อยเกินไป เพราะหลายคนในพื้นที่ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นปลายทาง อีกทั้งรูปแบบที่จะกระจายอำนาจเพิ่มเติม ก็ไม่ได้มีรูปแบบเดียว  ฉะนั้น การจะสรุปล่วงหน้าเป็นเรื่องอันตราย จึงอยากให้ระวัง เพราะก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยก็เคยหาเสียงเรื่องนครปัตตานี แต่ประชาชนในพื้นที่ก็ไม่ตอบรับ เพราะเขาต้องการความเป็นธรรมและต้องการมีส่วนร่วมมากขึ้น แต่สูตรสำเร็จที่พูดกันอยู่ขณะนี้เป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่า หากตั้งสมมติฐานผิดก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ ตนไม่ได้บอกว่า การมีรูปแบบกระจายอำนาจพิเศษไม่ควรทำ แต่ในช่วงที่จะเริ่มต้นการพูดคุยยังไม่มีความชัดเจนว่า ฝ่ายที่มาคุยด้วย สามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้หรือไม่ การไปพูดล่วงหน้า จะยิ่งทำให้การทำงานยากขึ้น อย่างไรก็ตาม ฝ่ายปฏิบัติจะต้องทำหน้าที่ตามกฏหมาย แต่นโยบายในการพูดคุยยังขาดทิศทางที่ชัดเจนที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ ย้ำอย่าเอาผลประโยชน์ธุรกิจเป็นตัวชี้นำ นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ภาพที่ออกมาเหมือนว่ารัฐอ่อนข้อ ไม่เป็นผลดีในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานต้องรู้ถึงความละเอียดอ่อนของปัญหา พล.ท.ภราดร ก็ต้องทบทวน เพราะ สมช.มีบทบาทมาตลอด ถ้ามั่นคงในแนวทางที่เคยทำ ปัญหาจะไม่เกิด และตนเคยทราบมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความสนใจเรื่องโอกาสทางธุรกิจในพื้นที่ ที่คาบเกี่ยวอยู่ จึงอยากเตือนว่าการดำเนินนโยบายความมั่นคงการต่างประเทศ อย่าเอาผลประโยชน์ทางธุรกิจมาเป็นตัวนำ ส่วนรัฐบาลจะมีการทบทวนสิ่งเหล่านี้หรือไม่ อยู่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องยืนยันผลประโยชน์ของประเทศ ย้อน“ยิ่งลักษณ์” นายกฯมาเลย์ พูดชัด ทักษิณ เจรจาโจรใต้ ส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์​ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธกับสื่อต่างชาติว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจรจานั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงปฏิเสธไม่ได้ เพราะนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเชียยอมรับในเรื่องนี้ จึงอยากให้พูดความจริงกับประชาชน เพราะถ้านายกฯ ไม่พูดความจริงกับประชาชน สุดท้ายคำพูดก็จะไม่มีความหมาย ตนเป็นห่วงเพราะมีเรื่องสำคัญของประเทศหลายอย่างที่นายกฯ ต้องมีความชัดเจน และให้ความจริงกับประชาชนไม่หวั่น กกต. สอนเชิงกฎหมาย เฉลิม นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่กังวลในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กทม. สรุปคำร้องส่งให้ กกต.กลาง เพราะเป็นการทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะ กกต.จังหวัด มีหน้าที่นำเสนอ และสรุปความเห็นไปยัง กกต.กลาง โดย กกต.กลางมีอำนาจเต็มว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ ฉะนั้น จึงต้องรอดูว่าวันที่ 14 มี.ค. กกต.กลาง จะพิจารณาอย่างไร ส่วนตัวยังมั่นใจว่าข้อร้องเรียนที่พูดถึงไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมาย เพราะไม่มีส่วนไหนที่เข้าข่ายมาตรา 57(5) ว่ามีใครไปขู่เข็ญ บังคับหลอกลวง ทั้งนี้ รู้ว่ามีความพยายามจากคนที่แพ้ หรือไม่พอใจ ปั่นกระแสเรื่องใบเหลือง ใบแดง จึงอยากขอให้ กกต.ทำงานโดยปราศจากแรงกดดันว่าไปตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย สอนเชิงกฎหมาย “ดร.เฉลิม” เชื่อแค่ปั่นกระแส ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุฟันธงว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. จะได้ใบเหลือง หรือใบแดงนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เพราะเคยฟันธงว่า พ.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคเพื่อไทย จะชนะมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ตนเห็นว่า ร.ต.อ.เฉลิม คงไม่รู้กฎหมายว่า กรณีใบแดง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เนื่องจากข้อร้องเรียนไม่ได้เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร แค่นี้ก็เห็นชัดว่าไม่รู้กฎหมาย คงเป็นความพยายามจะปลุกกระแสผู้สนับสนุนตัวเอง เพราะทำอย่างนี้มาตลอด แต่สังคมและผู้รับผิดชอบต้องเข้มแข็ง ทำอย่างตรงไปตรงมา หวังว่าหลังการตัดสิน กกต. ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะทุกคนต้องเคารพกติกา “ข่าวที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ผมหวั่นไหว แต่ยอมรับว่าผู้สนับสนุนมีความกังวล และเมื่ออ่านข่าวก็ตกใจว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ จึงอยากฝากไปยัง กกต.ว่าทุกครั้งที่มีการตัดสิน ย่อมมีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ แต่สิ่งที่จะคุ้มครอง กกต.ได้ดีที่สุดคือ การทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ว่าไปตามเนื้อผ้า และข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย รวมทั้งต้องอธิบายคำตัดสินของตัวเองด้วยว่าเหตุผลคืออะไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว.

เอแบคโพลล์เสนอโรดแมป3ปัจจัย ทำทุกคนในชาติรวมเป็นหนึ่งเดียว

เอแบคโพลล์เสนอโรดแมป3ปัจจัย ทำทุกคนในชาติรวมเป็นหนึ่งเดียว
เอแบคโพลล์ เสนอบทวิเคราะห์ 3 ปัจจัย ได้แก่ รณรงค์ปลูกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดิน ความวางใจของสาธารณชนต่อรัฐบาล และ กำหนดเป้าหมายของชาติและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อทำทุกคนในชาติไทย รวมเป็นหนึ่งเดียว...วันที่ 13 มี.ค. ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอโรดแมป 3 ปัจจัย รวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่งเดียว บนผืนแผ่นดินไทย ทั้งนี้ มีเนื้อหาดังต่อไปนี้สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ยังคงมีสัญญาณของความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติและความไม่มั่นคงภายในประเทศปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในทางการเมืองระดับชาติและในวิถีชีวิตประจำวันของประชาชนในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะรวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่งเดียวบนผืนแผ่นดินไทยด้วยปัจจัยสำคัญสามประการ ได้แก่ การรณรงค์ปลูกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดินเป็นค่านิยมร่วม (Common Value) ความวางใจในรัฐบาล (Trust in the Government) และการกำหนดเป้าหมายของชาติและผลประโยชน์ร่วมกัน (Common Goals)ประการแรก ได้แก่ การรณรงค์ปลูกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดินเป็นเรื่องของ “ค่านิยมร่วม” (Common Value) คือเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ทุกคนในชาติตระหนักถึงค่านิยมและคุณค่าที่หล่อหลอมคนไทยทั้งประเทศมาเป็นเวลานานนับหลายร้อยปี ที่บรรพบุรุษของคนไทยทุกคนเสียเลือดเสียเนื้อและเสียชีวิต เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศนอกจากนี้ “ความเป็นไทย” หรือที่เรียกว่า เป็น DNA ของคนไทย ที่ประกอบไปด้วย ความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่คนไทยทุกคนมีจิตใจแห่งความเมตตา กตัญญูรู้คุณ มีไมตรีจิต ความรักความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกันบนพื้นฐานแห่งความถูกต้อง ตามกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายบ้านเมือง เป็นสิ่งที่ต้องเร่งปลูกฝังและหล่อเลี้ยงให้เติบโตเข้มแข็งในจิตใจของประชาชนทุกคน ไม่ว่าเชื้อชาติใดที่มาอยู่บนผืนแผ่นดินไทยนี้ประการที่สอง ได้แก่ ความวางใจของสาธารณชนต่อรัฐบาล (Trust in the Government) เป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยต้องทำให้ได้บนพื้นฐานของจิตวิญญาณแห่งความเป็นนักการเมืองที่แท้จริง เพราะนักการเมืองคือผู้ที่ต้องทำหน้าที่ลดความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ใช่เป็นผู้ที่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นเสียเอง นักการเมืองปัจจุบันต้องเป็นผู้ให้โอกาสแก่ผู้ที่มาเป็นรัฐบาล นักการเมืองต้องวางใจผู้อื่นก่อน ก่อนที่จะเรียกร้องและปลุกระดมให้ผู้อื่นวางใจตนเมื่อพรรคการเมืองคู่แข่งชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล ก็ต้องเคารพและให้โอกาสรัฐบาลทำงานแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ถูกหรือผิด ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการแห่งกลไกของรัฐ เพราะเมื่อพิจารณากันจริงๆ จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาเกือบทุกรัฐบาลก็ผิดพลาดและมีเรื่องทุจริตคอรัปชั่นด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องออกมาต่อต้านอย่างจริงจังต่อเนื่อง ทางออกคือ รัฐบาลต้องเปิดเผยรายละเอียดของงบประมาณ ที่ทำให้สาธารณชนสามารถแกะรอยตรวจสอบได้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของทุกเม็ดเงินที่รัฐบาลใช้จ่ายไปนอกจากนี้ รัฐบาลและทุกภาคส่วนของประเทศไทย จึงต้องเร่งรณรงค์ในกลุ่มนักการเมืองและประชาชนฐานเสียงแฟนคลับของตนให้รู้จัก “เคารพผู้อื่น” ทำให้เกิดสำนึกว่า ประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน ไม่ว่าอยู่ภูมิภาคใดของประเทศมีคุณค่าเท่ากับหนึ่งเสียงเท่ากัน ดังนั้น ต้อง “ไม่” ทำให้มวลหมู่ประชาชนรู้สึกว่าเสียงของคนกรุงเทพมหานคร มีคุณค่าหรือเป็นเสียงที่ฉลาดกว่าคนต่างจังหวัด และคนในต่างจังหวัดต้องไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเสียงของพวกตนมีมากกว่าเสียงของคนกรุงเทพฯประการที่สาม ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายของชาติและผลประโยชน์ร่วมกัน (Common Goals) นี่คือประการสำคัญอย่างยิ่งสำหรับรวมทุกคนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อทำให้เกิดการทำงานร่วมกันสู่เป้าหมายของชาติ ยกตัวอย่างในปี พ.ศ. 2504 ประธานาธิบดี John F. Kennedy ได้กล่าวปลุกจิตสำนึกของชาวอเมริกันในความหมายที่ว่า ถ้าจะถามกันว่าประเทศชาติสามารถทำประโยชน์อะไรให้กับคุณได้ ก็ขอให้เปลี่ยนมาถามกันว่า คุณสามารถทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติได้บ้าง โดยประธานาธิบดี Kennedy ได้ประกาศเป้าหมายร่วมกันของชาวอเมริกันว่า หน้าที่ของชาวอเมริกันคือ ทำงานหนักและพิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นว่า วิถีชีวิตของชาวอเมริกันและระบบทุนนิยมเหนือกว่าระบบคอมมิวนิสต์ ที่กำลังมีอิทธิพลแผ่กว้างไปทั่วโลกในเวลานั้นเช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่า ประเทศไทยในเวลานี้ กำลังต้องการการกำหนดเป้าหมายร่วมกันให้ชัดเจนว่าประชาชนทุกคนที่กำลังอาศัยพักพิงอยู่บนผืนแผ่นดินไทยสามารถมาเป็นหุ้นส่วนกันที่จะกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้ว่า ประเทศไทยจะเป็นผู้นำของชุมชนเศรษฐกิจอาเซียน โดยประเทศไทยจะสามารถเป็นประเทศที่มีนัยสำคัญต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะและทิศทางการพัฒนาระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป้าหมายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศชาติและผลประโยชน์ของทุกคนในชาติและแนวทางบางอย่าง ที่จะทำให้พวกเราทุกคนสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ ได้แก่ การที่คนไทยส่วนใหญ่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ โดยสถาบันการศึกษาและนักเรียน นักศึกษาทุกคน สามารถทำงานร่วมกับชาวต่างชาติทั่วโลกได้ดีนอกจากนี้ การทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำด้านการผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น ข้าวและการส่งออก จะทำให้ชาวนาเกษตรกรทุกคนและผู้ประกอบการโรงงานด้านการเกษตรทำงานหนักร่วมกัน เพื่อเพิ่มคุณภาพและปริมาณ และการทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำด้านการเงินและเทคโนโลยี จะทำให้กลุ่มคนทำงานประจำสำนักงานมีพลังทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีที่สุดในอุตสาหกรรมและธุรกิจของพวกเขาสุดท้ายปัจจัยสู่ความสำเร็จของการรวมทุกคนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียวบนผืนแผ่นดินไทยอยู่ที่การสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองทุกฝ่ายจากผู้ใหญ่ในสังคม ที่จะช่วยกันอธิบายต่อคนไทยทั้งประเทศว่า ทำไมปัจจัยเหล่านี้จึงสำคัญต่อประเทศไทย และทุกคนในชาติที่จะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน และบรรลุเป้าหมายร่วมกัน และต้องอธิบายให้เห็นแนวทางว่าคนไทยทุกคนและประชาชนทุกชาติทุกภาษา ที่กำลังเดินบนผืนแผ่นดินไทยนี้ จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่จากความสำเร็จของปัจจัยสำคัญทั้งสามประการที่กล่าวมาข้างต้น.

Monday, March 11, 2013

วิปรัฐเบรกวรชัย เลิกดันทุรังลัดคิวนิรโทษฯ

วิปรัฐเบรกวรชัย เลิกดันทุรังลัดคิวนิรโทษฯ
วิปฯ เบรก “วรชัย เหมะ” เลิกดันทุรัง ชงลัดคิว พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เชื่อเสียงข้างมากพรรคเพื่อไทยไม่เล่นด้วย หวั่นจุดชนวนขัดแย้งในบ้านเมืองรอบใหม่...นายพีรพันธ์ุ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณี นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ประกาศเดินหน้าผลักดันเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า แม้นายวรชัยยืนยันจะเดินหน้าเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว โดยพร้อมใช้เอกสิทธิ์ ส.ส. เสนอให้ดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขึ้นมาพิจารณาก่อนกฎหมายฉบับอื่นๆ แต่เชื่อว่าเสียงข้างมากในพรรคคงไม่เอาด้วย เพราะแม้จะเห็นด้วยในหลักการ แต่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ ให้ทุกอย่างลงตัวกว่านี้ ทั้งนี้ หากยังดึงดันเสนอเข้าไปตอนนี้ คงยากที่จะประสบความสำเร็จ และจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกรอบได้ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับนายวรชัยในเรื่องนี้อีกครั้ง.

มาร์ค ติง รัฐไม่จำเป็นต้องกู้2.2ล้านล้าน

มาร์ค ติง รัฐไม่จำเป็นต้องกู้2.2ล้านล้าน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ย้ำ รัฐบริหารจัดการเงินได้หลังผุดโครงการขนส่งต่างๆ ไม่ต้องกู้ 2.2 ล้านล้านบาท โวเป็นการสานต่อจากรัฐบาลชุดที่แล้ว...เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคฯ และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโครงการ ไทยแลนด์ 2020 ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก โดยมี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ให้การต้อนรับ พร้อมกับพาเดินเยี่ยมชมบูธต่างๆ ซึ่งภายในนั้นเน้นการนำเสนอด้านการลงทุนระบบการค้าระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาล มีประชาชนให้ความสนใจเยี่ยมชมบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษาหาความรู้ทั้งนี้ ภายหลังเข้าเยื่ยมชมงาน นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า หลักของการลงทุนเรื่องการขนส่งนั้น เป็นการสานต่อแผนงานเดิมค่อนข้างเยอะ เดิมเป็นแผนเรื่องการลงทุนสร้างรถไฟรางคู่ ซึ่งเป็นระยะที่สอง และจะมีการปรับปรุงเรื่องการขนคนและเรื่องเส้นทางใหม่ๆ นั้น ก็อยู่ในแผนเดิมทั้งหมด รถไฟความเร็วสูงนั้นที่เพิ่มขึ้น ความต่างที่ควรจะไปหนองคายและเชื่อมไปมาเลเซีย ตอนนี้อยู่ที่เพียงโคราชและหัวหิน เราก็มองว่ากลัวจะเสียโอกาสในการเชื่อมต่อกับที่จีนเขาทำมาที่ประเทศลาว นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่เราเป็นห่วงคือ กรอบความคิดในเรื่องการหาเงินมาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรายังไม่เห็นด้วยที่จะมีความจำเป็นในการกู้เงินมาทำ 2.2 ล้านล้านบาท เราเชื่อว่าจากแผนที่มีการกำหนดอยู่ตอนนี้ก็คือ ใช้เงินปีละประมาน 3 แสนล้าน ก็สามารถที่จะบริหารจัดการงบประมาณได้ โดยการตัดทอนโครงการที่ไม่จำเป็นและลดเรื่องทุจริตคอรัปชัน ถ้ามุ่งไปสู่ระบบการกู้เงิน เป็นความเห็นต่างในเรื่องวิธีการใช้เงิน วันนี้ท่าน รมว.คมนาคม มาก็ได้มีการรับฟัง แต่จะทำอะไรหรือไม่ก็แล้วแต่ ไม่ได้คุยกันเรื่องเชิงระบบ การกู้เงินทำให้เราไม่รู้สถานะทางการเงินที่แท้จริง ตนเชื่อว่าคนที่มีความเชี่ยวชาญเขาก็จะดูออกนอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า โครงการเหล่านี้ ส่วนใหญ่นั้นมีประโยชน์ อยู่ที่ว่าการจัดลำดับโครงการสำคัญที่วิธีการที่จะนำมาใช้ เช่น โครงการรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง ซึ่งรัฐบาลชุดที่แล้ววางโครงการไว้หมดแล้ว อยู่ที่ว่าจะกู้หรือไม่กู้เท่านั้นที่จะมาทำ ตนยืนยันว่าการไม่กู้นั้นจะเป็นการบังคับรัฐบาลให้มีการทบทวนโครงการที่ไม่จำเป็น ตนคิดว่าไม่จำเป็นต้องกู้.

ค้านกระหน่ำ เฟซบุ๊กรัฐสภา ลบโพลนิรโทษฯ

ค้านกระหน่ำ เฟซบุ๊กรัฐสภา ลบโพลนิรโทษฯ
ปชช.รุมสวด “เฟซบุ๊กรัฐสภา” หลังกระแสข่าวสะพัด จนทีมงานที่ดำเนินการต้องตัดสินใจเข้าไปลบโพลนิรโทษกรรม เนื่องจากพบว่ามีคนเข้าไปคัดค้านกว่า 7 พัน...วันที่ 11 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่เฟซบุ๊กของรัฐสภา ชื่อ “รัฐสภาไทย” ที่มีทีมงานด้านการประชาสัมพันธ์ของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้จัดทำขึ้น และมีการโพสต์ข้อความสอบถามความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับเรื่องนิรโทษกรรมว่า “ท่านเห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือไม่” ซึ่งมีช่องให้ผู้ที่สนใจแสดงความเห็น 2 ช่อง ประกอบด้วย ช่อง เห็นด้วย กับช่อง ไม่เห็นด้วย ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 10 มี.ค. เจ้าหน้าที่ที่ดูแลได้ลบโพสต์แบบสำรวจดังกล่าว ทั้งที่มีประชาชนเข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์ ซึ่งมีประชาชนบางคนต้องการให้มีการเปิดโหวตต่อไป ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า มีผู้นำข้อมูลแบบสำรวจนี้ ไปโพสต์ต่อและอัพเดตข้อมูลล่าสุด ก่อนที่จะมีการลบว่าช่วงเวลา 3 วันที่ผ่านมา แบบสำรวจนี้มีผู้กดเห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จำนวน 2,341 คน และไม่เห็นด้วยมีจำนวน 7,455 คน ขณะที่ภายหลังการลบโพสต์ออกจากหน้าเฟซบุ๊กรัฐสภาไทยประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้ดูแลเฟซบุ๊กได้โพสต์ข้อความว่า “การสำรวจโพลบนเฟซบุ๊กได้ฝังแบบเป็นการทำวิจัยแบบ social media” และ “การสำรวจโพลบนเฟซบุ๊กเป็นการทำวิจัยแบบ Social media monitoring research ซึ่งฝังคำถามไว้มากกว่า 30 แห่ง ในโลกออนไลน์เพื่อทำ seeding เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึก ดังนั้น ผลที่ท่านเห็นต้องรวบรวมจากทุกจุดแล้วมาวิเคราะห์ครับ ซึ่งจะเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 7-10 มีนาคม ...ทีมงานวิจัยเชิงลึก”.

Friday, March 8, 2013

นายกฯจ้อทีวี​ ชูเยือนอียูกระชับสัมพันธ์-ขยายลงทุน

นายกฯจ้อทีวี​ ชูเยือนอียูกระชับสัมพันธ์-ขยายลงทุน
นายกรัฐมนตรี บันทึกเทปรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์กลางกรุงปราก เผยเยือนสวีเดน-เบลเยียม กระชับความสัมพันธ์ เป็นผลดีด้านเศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี พร้อมเดินหน้าเจรจาสิทธิพิเศษด้านการค้า...เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 9 มี.ค. รายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้บันทึกเทปรายการที่กรุงปราก ประเทศเบลเยียม หลังจากเดินทางเยือนประเทศสวีเดนและเบลเยียมอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 4-7 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า ประเทศสวีเดนเป็นประเทศใหญ่ มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เป็นประตูสู่ยุโรปเหนือนอกจากนี้ ประเทศสวีเดนยังมีเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทน เช่น เทคโนโลยีด้านนาโน น่าจะทำการแลกเปลี่ยนเชิงวิชาการด้วย อย่างไรก็ตาม ประเทศสวีเดนและเบลเยียมมีความสัมพันธ์กับไทยมาเป็นร้อยปีแล้ว การเดินทางเยือนครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อด้านเศรษฐกิจต่างๆ ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง หากได้เดินทางมาก็เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์ และให้เกินความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เหมือนกับซื้อใจ ซึ่งจะเป็นผลดีกับทั้งสามประเทศ​เบลเยียมไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่ แต่มีความสำคัญ​เนื่องจากเป็นที่ตั้งของอียู ซึ่งเป็น 3 สถาบันที่มีผลทางด้านข้อกฎหมายและการค้าการลงทุนที่มีความสำคัญกับเรามาก การเดินทางเข้ามาเพื่อนำเสนอว่าเราพร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักลงทุน นักท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน เราก็เป็นศูนย์กลางประตูสู่อาเซียน เรายังได้นำธุรกิจไปพบกับเขาด้วย ซึ่งสวีเดนเองก็มีนักธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับพลังงานสะอาดมาก การเดินทางมาเขาอาจจะสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ ไทยยังได้นำนักวิจัยของ 3 สถาบันของรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนเชิงวิชาการกับสวีเดน โดยมีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวอย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวถึงการได้รับสิทธิพิเศษ​ GSP ด้านการค้า ซึ่งกำลังจะหมดลงว่า เมื่อก่อนเราได้สิทธิพิเศษ GSP เนื่องจากจำนวนประชากรเราไม่เยอะมาก จึงได้สิทธิพิเศษด้านภาษี ต่อมาประเทศเรามีรายได้ดีขึ้น เขาก็จะเริ่มลดสิทธิพิเศษนี้ เราจึงเอาเรื่องนี้มาต่อรองด้วย ซึ่งล่าสุดทางรัฐสภาได้เห็นชอบให้มีการเจรจา ข้อดีของการเจรจา จะมีข้อดีหลายประเภท โดยเฉพาะสินค้าด้านการเกษตร อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ รวม 14 รายการ หากเจรจาสำเร็จนอกจากจะมีสิทธิพิเศษทางภาษีแล้ว เรายังสามารถนำสินค้าเหล่านี้ส่งออกไปยังอียูได้มากขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ดี ก็จะมีสินค้าจากอียูเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น คาดว่าจะมีการเจรจากลางปีนี้ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เปิดเผยถึงทางยุโรปที่ได้ให้การรับรองต้นกำเนิดสินค้าทางภูมิศาสตร์ (GI) ให้กับข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นครั้งแรก ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็จะติดตามขอ GI สินค้าประเภทอื่น คือ กาแฟ ของดอยช้าง ดอยตุง ต่อไป ยุโรปเริ่มมั่นใจในประเทศไทย โดยดูจากสัญญาณจากการท่องเที่ยว การลงทุนที่เริ่มเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังลงทุนครั้งใหญ่ 2 ล้านล้าน เขาก็มองไทยใน 2 บทบาทคือ การมาลงทุนในประเทศไทย และการใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนในอาเซียน ทางรัฐบาลและกลุ่มอียูเองก็ต้องการส่งเสริมศักยภาพด้านต่าง ๆ ด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว.

สวนดุสิตโพล เผยคนห่วงชงนิรโทษฯ ขัดแย้งปะทุ

สวนดุสิตโพล เผยคนห่วงชงนิรโทษฯ ขัดแย้งปะทุ
สวนดุสิตโพล เผย ประชาชน 38.30% ห่วงจะเกิดความขัดแย้งในบ้านเมือง กรณีการชงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขณะที่อีก 62.50% มองว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรือผู้ที่ไม่ได้กระทำผิดจริง ส่วน 49.40% มองว่าไม่เป็นธรรม เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้กระทำความผิด...เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2556 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชน ที่พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,079 คน ระหว่างวันที่ 6-8 มี.ค. ต่อกรณี ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวบรวมรายชื่อ ส.ส.ของพรรค และพรรคร่วมรัฐบาล เสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม แก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาในสัปดาห์หน้า โดยพบว่า ประชาชน 38.30% รู้สึกเป็นห่วง กังวลว่าจะเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งขึ้นอีก 31.92% อยากให้คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าเรื่องส่วนตัว และ 29.78% ควรศึกษาข้อดี ข้อเสียอย่างละเอียด/ดูผลกระทบที่จะตามมาให้รอบคอบขณะที่ข้อดี-ข้อเสียในการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พบว่า ในส่วนข้อดี ประชาชน 62.50% มองว่า เป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรือผู้ที่ไม่ได้กระทำผิดจริง 22.91% มองเป็นโอกาสดีที่จะสร้างความปรองดอง ยุติปัญหาต่างๆ และ 14.59% มองว่า ประเทศชาติจะได้เดินหน้าและพัฒนาในด้านอื่นๆ ต่อไป ส่วนข้อเสีย 49.40% มองว่า เกิดความไม่เป็นธรรม เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้กระทำความผิดจริง 27.71% อาจเกิดช่องโหว่ทางกฎหมายให้ผู้กระทำความผิดก่อเหตุเช่นนี้ขึ้นอีก และ 22.89% ผู้ที่ไม่เห็นด้วยจะออกมาคัดค้าน เคลื่อนไหว ส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง.

บิ๊กจิ๋วหนุนถกกลุ่มก่อความไม่สงบ

บิ๊กจิ๋วหนุนถกกลุ่มก่อความไม่สงบ
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หนุน การเริ่มต้นพูดคุยกับกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ แย้มสิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้นในพื้นที่ ยังแทงกั๊กจะร่วมทีมดับไฟใต้หรือไม่...   พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการจัดการแข่งขันนกเขาเสียงชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สมาคมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงแห่งประเทศไทย จัดขึ้นที่สนามหวังดี อ.จะนะ จ.สงขลา ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดย พล.อ.ชวลิต กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งล่าสุดได้มีการลงนามพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า การเริ่มต้นการพูดคุย ถือเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ส่วนการที่มองว่ากลุ่มผู่ก่อความไม่สงบมีอยู่หลายกลุ่ม อาจจะทำให้เกิดปัญหาเมื่อไปเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็นเพียงกลุ่มเดียวนั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า การเริ่มต้นพูดคุยไปทีละกลุ่ม เป็นการเดินหน้าไปทีละขั้น แต่ขอให้เริ่มขั้นที่ 1 ให้ได้เสียก่อน การพูดคุยจะพูดคุยพร้อมกันทุกกลุ่มในคราวเดียวคงไม่ได้ ทั้งนี้ มองว่า แนวทางการพูดคุยเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในโลก ส่วนการจะเข้าร่วมทีมพูดคุยกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบด้วยหรือไม่นั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ยังไม่ทราบ แต่ก็มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ ตนขออยู่ตรงกลางจะดีกว่าผู้ที่มีหน้าที่พูดคุย ตลอดจนที่ปรึกษาในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีความสามารถ เมื่อเริ่มต้นการพูดคุยก็เห็นว่าสิ่งที่ดีกำลังจะเกิดขึ้นในพื้นที่.

บิ๊กตู่ฮึ่ม เลิกพรก.ฉุกเฉิน3จ.ใต้ ต้องรอบคอบ

บิ๊กตู่ฮึ่ม เลิกพรก.ฉุกเฉิน3จ.ใต้ ต้องรอบคอบ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ติง การจะยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ควรคิดให้รอบคอบ ชี้คิดผิดอาจทำโจรใต้ได้ประโยชน์... วันนี้ (8 มี.ค. 56) เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัตช์ แม่ทัพภาคที่ 4 บรรยายสรุปถึงสถานการณ์ในภาพรวมที่ผ่านมา โดยเฉพาะการดูแลความปลอดภัยในชุมชนเมืองใหญ่ๆ เช่น พื้นที่เมืองยะลา, นราธิวาส, ปัตตานี และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ส่วนทางด้านศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้บรรยายสรุปความคืบหน้าผลการปฏิบัติงานตามนโยบาย จากนั้น ผบ.ทบ.ได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ ก็เพื่อมาติดตามการแก้ปัญหาการรักษาความปลอดภัยและการพัฒนา รวมทั้งจะตอบข้อซักถามเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ที่ยังสงสัยการแก้ปัญหาภาคใต้ ตามนโยบายของรัฐบาล และจากการที่ได้รับฟังรายงานการชี้แจงจากทางแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ทราบว่าสถานการณ์สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี ส่วนการแก้ไขก็ได้เดินหน้าไปตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของขบวนการพูดคุยสันติภาพ ก็เดินหน้าต่อไป ซึ่งจะมีการแยกแยะให้ถูกต้อง ส่วนของกองทัพก็ดำเนินการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงเป็นหลัก โดยเฉพาะการพัฒนาติดตามในเรื่องของการข่าวเพื่อให้การแก้ปัญหาได้ถูกต้องแม่นยำ โดยเฉพาะในเรื่องประเด็นต่างๆ ที่จะต้องนำไปพูดคุยกัน จะต้องเป็นการแก้ปัญหาในภาพรวมทั้งหมด ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ “สิ่งสำคัญไม่อยากให้ทุกคนตื่นตระหนกว่า เกิดการขัดแย้งกันหรือเปล่าในเรื่องของการแก้ปัญหาภาคใต้ ซึ่งจริงๆ แล้วทางฝ่ายความมั่นคง ไม่มีความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้นกับรัฐบาลยังคงเดินหน้าร่วมกันแก้ไขปัญหากันต่อไป ผลที่สุดก็ได้มาถึงการพูดคุยกัน ซึ่งจะต้องดูว่าจะพูดคุยกันอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นข้อตกลงว่าจะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะวันนี้ก็เป็นเพียงการเริ่มก้าวเดินเท่านั้นเอง ว่าเป็นการอำนวยความสะดวกโดยประเทศเพื่อนบ้านของเรา อย่างน้อยก็ช่วยได้ในเรื่องการกำจัดเสรีของฝ่ายตรงข้ามได้ และการพูดคุยกันก็จะต้องดูเป็นช่วงๆ ไปว่าจะเดินกันไปอย่างไร และด้วยความระมัดระวัง ฝ่ายงานความมั่นคงก็จะเอาข้อมูลต่างๆ ให้กับในส่วนของผู้ที่จะไปประสานงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตนเองขอย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันเลย และตนเองก็ได้บอกผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้วว่าต่อจากนี้การไปประสานงานก็จะต้องมีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ผ่านมาเป็นการไปประสานงานกันเฉยๆ ยังไม่เป็นทางการ ส่วนการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ต่างๆ ก็ได้มีการสั่งกำชับแม่ทัพภาคที่ 4 และผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปแล้วว่า ให้มีการดูแลความปลอดภัยสถานที่ต่างๆ ให้เข้มงวดมากขึ้น” ผบ.ทบ. กล่าวพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตนขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทหารออกจากพื้นที่โดยเด็ดขาด หากสถานการณ์ยังไม่สงบ ตนขอยืนยัน ส่วนสถานการณ์พื้นที่ใดลดลง ก็จะเปลี่ยนจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็น พ.ร.บ.ความมั่นคงแทน อยากจะขอชี้แจงว่ากฎหมายเหล่านี้ ยังเป็นประโยนช์ต่อเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ในพื้นที่ เพื่อให้พวกเขาได้มีความสบายใจบ้างว่ายังมีกฎหมายคุ้มครองเขาอยู่ เพราะเจ้าหน้าที่ยังคงถูกทำร้ายโดยตลอด ดังนั้น การใช้กฎหมายทุกฉบับจะต้องมีความโปร่งใส ยุติธรรม และบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้จะต้องทำอย่างรอบคอบ หากลดกฎหมายลงไปโดยไม่ได้คิด ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็จะไปตกอยู่กับฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรง หากประกาศยกเลิกไป กว่าจะประกาศใช้กฎหมายใหม่อีกครั้ง ก็คงกระทำได้ยากขึ้น. 

แนะยึดพระราชดำรัสในหลวงแก้ขัดแย้ง

แนะยึดพระราชดำรัสในหลวงแก้ขัดแย้ง
จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แจงนิรโทษกรรม ยึดแนวพระราชดำรัส ในหลวง หากมีคนค้านจะรับฟัง รายละเอียดรอมติพรรคชี้ขาด...เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 8 มี.ค. ที่โรงแรมโฟร์ซีซัน นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินหน้าเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ว่า เรื่องนี้เป็นสิทธิของ ส.ส. ที่จะดำเนินการได้ ส่วนแนวทางการทำงานจะยึดเอาแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. และวันที่ 31 ธ.ค. 55 ทรงพระราชทานแนวทางให้ยึดหลักให้คนไทยทุกฝ่ายได้หันหน้าเข้ามามีไมตรีความปรารถนาดีต่อกัน การจะเดินไปสู่จุดนี้ได้ต้องน้อมนำพระราชดำรัสไปปฏิบัติ การที่มีการเสนอร่างกฎหมายเป็นเจตนาดีที่จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น หากมีข้อบกพร่องก็ต้องแก้ไขให้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยผู้สื่อข่าวถามว่าการยึดพระราชดำรัส น่าจะทำให้กระแสน้อยลงหรือไม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคคิดว่าเมื่อรับแล้วต้องสนองตอบ ในฐานะพรรคใหญ่และพรรครัฐบาล จะต้องขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ทำให้เกิดความปรองดอง เมื่อถามว่าห่วงกระแสคัดค้านร่างกฎหมายหรือไม่ นายจารุพงศ์ กล่าวว่า ต้องถามว่าจะต่อต้านในประเด็นใด เราต้องฟังว่าประเด็นใดจะทำให้มีไมตรีต่อกัน รักกัน ก็จะเป็นหนทางที่ดีต่อกัน ตั้งแต่รัฐประหารปี 49 ทุกคนยอมรับว่าบ้านเมืองมีความเสียหาย และไม่อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 52-53 เกิดขึ้นอีก ถ้าพูดกันด้วยความมีเหตุผล ก็น่าจะทำให้ความขัดแย้งหมดไปนอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ควรกำหนดเวลาที่จะจัดทำกฎหมายให้เสร็จสิ้นในสมัยประชุมนี้หรือไม่ นายจารุพงศ์ กล่าวว่า เราจะไม่ให้เวลาเป็นข้อจำกัด ถ้ากำหนดเวลาเป็นเงื่อนไข จะทำให้มีปัญหา ความมุ่งมั่นจริงใจที่จะทำการแก้ไขปัญหา จะเป็นหลักในการทำงาน โดยมุ่งการพูดคุยกันให้มากที่สุด เมื่อถามว่าสาระสำคัญของร่างจะเน้นให้อภัยผู้ร่วมชุมนุมที่เป็นผู้บริสุทธิ์เท่านั้นใช่หรือไม่ นายจารุพงศ์ กล่าวว่า นั่นคือรายละเอียดต้องพูดคุยกัน โดยจะพูดคุยหารือกันในที่ประชุมพรรคเพื่อมีมติออกมาอีกครั้ง.

มาร์ค งง รัฐลงนามคุ้มครองผู้ก่อความไม่สงบ

มาร์ค งง รัฐลงนามคุ้มครองผู้ก่อความไม่สงบ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สวน “เฉลิม” ให้อยู่เฉยๆ งงลงนามผูกมัดรัฐไทยคุ้มครองผู้ก่อการฯ จับตา 28 มี.ค.นัดถกอีกรอบเกิดอะไรขึ้น ชี้ปมยกระดับแล้ว เจรจาชั้นจนท.คงยาก ยันไม่เคยเอาเรื่องไฟใต้โยงปมการเมือง...เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ที่ศาลอาญา รัชดาฯ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึงคำชี้แจงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ตอบกระทู้สดเกี่ยวกับการลงนามสันติภาพกับกลุ่มบีอาร์เอ็นว่า ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังกับคำชี้แจงของร.ต.อ.เฉลิม เพราะไม่มีส่วนร่วมต่อการพูดคุยหรือลงนาม แต่คนที่มีบทบาทคือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาฯศอ.บต.และ สมช.ซึ่งต้องรับเข้ามาเพื่อประสานงานกับ สมช.ของมาเลเซีย แต่ตนเป็นห่วงคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิมที่พูดง่ายๆ ว่า ดีกว่าอยู่เฉยๆ ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะต้องทำให้ถูกต้องซึ่งหากทำไม่ถูกทิศทาง ไม่รัดกุม มันไม่ดีกว่าอยู่เฉยแน่นอน เช่น ปีที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปมาเลเซียก็เกิดเหตุระเบิดที่ รร.ลีการ์เดนท์ หาดใหญ่ และจ.ยะลา ซึ่งตนมั่นใจว่าหากไม่มีการเดินทางไปมาเลเซียสองเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้ก็ควรอยู่เฉยๆ ดีกว่านายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลไม่ควรทำเรื่องความมั่นคงเป็นวาทกรรมหรือการเมืองเพราะเป็นเรื่องใหญ่ มาก และสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิม พูดในสภา ก็ไม่มีอะไรที่เป็นข้อมูลเพิ่มเติม อาจเข้าใจว่าฝ่ายค้านไม่มีเอกสาร จึงอ่านให้ฟัง ทั้งที่่ฝ่ายค้านมีหมดแล้ว แต่ข้องใจเพราะเอกสารที่ลงนามนั้น กลับเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวของรัฐบาลไทยว่า จะให้เขามาพูดคุยด้วย แต่ไม่มีอะไรเป็นข้อผูกมัดคนที่มาพูดคุยกับเรา เรากลับมีแต่หน้าที่ต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้เขา และ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่สามารถตอบได้ว่า กรอบของการพูดคุยครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร มีอะไรที่ต้องตกลงกันก่อนล่วงหน้าหรือไม่ รวมถึงเหตุการณ์นับแต่ลงนามมาก็ยังมีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ก็ตอบไม่ได้นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า หัวใจของเรื่องนี้คือ คนที่มีอำนาจสั่งการในพื้นที่ เข้ามาร่วมในการพูดคุยจริงหรือไม่และเข้ามาร่วมบนความเข้าใจที่จะนำไปสู่การมีคำตอบร่วมกันหรือไม่ เพราะคนที่ลงนาม ไม่มีอำนาจในการสั่งการ หากคนในพื้นที่หากเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่เวลานี้เขาไม่ได้รับความสนใจ หรือไม่มีส่วนร่วม หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พูดคุยนี้ ก็จะมีปฏิกิริยาในพื้นที่ ทำให้เกิดความรุนแรงหรือเหตุการณ์เชิงสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้น จากนี้ไปต้องจับตาดูวันที่ 28 มี.ค.ที่จะมีการพูดคุยอีกรอบว่าปฏิกิริยาในพื้นที่จะเป็นอย่างไรเมื่อถามว่า มีการรายงานว่าผู้ก่อความไม่สงบเตรียมคาร์บอมบ์ และรถจักรยานยนต์บอมบ์เพื่อก่อเหตุ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวังเพราะเมื่อเขาไม่มีส่วนร่วมก็ต้องแสดงบางสิ่ง บางอย่าง แต่ไม่ทราบว่าจะทำในเชิงสัญลักษณ์หรือก่อความรุนแรง แต่ในปีที่แล้วลีการ์เดนท์และยะลารุนแรงมากจึงต้องระวังผู้สื่อข่าวถามว่า แนวคิดลักษณะนี้จะทำให้เกิดสันติภาพหรือความรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวคิดไม่ผิดเพราะการพูดคุยถือเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคิดแต่เรื่องการเมืองหรือการสร้างกระแสที่ถือ ว่าเป็นเรื่องอันตรายเมื่อถามอีกว่า หากแนวทางนี้เดินต่อไม่ได้จะทบทวนเพื่อกลับไปสู่การพูดคุยในระดับเจ้าหน้าที่แทนการลงนามเหมือนที่ผ่านมาได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงจะยาก เพราะฝ่ายที่มาเซ็นเขาถือว่าระดับรัฐบาลได้รับรองการพูดคุยไปแล้ว จะไปพูดคุยในระดับต่ำกว่านี้คงยาก และเชื่อว่าในพื้นที่มีความเสี่ยงแน่นอน หากรัฐบาลยังเดินต่อแบบไม่รัดกุม ดังนั้นคำพูดที่ว่าดีกว่าอยู่เฉยๆ หรือลองทำไปก่อน ไม่ดีแล้วค่อยเลิกนั้นเป็นคำพูดที่ไม่รับผิดชอบต่อประชาชนในพื้นที่ที่ต้อง เผชิญความเสี่ยงตรงนี้ และหากไฟใต้ที่ลุกลามขึ้นมาอีกรอบ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบนายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ยืนยันว่า ตนไม่เคยคิดนำเรื่องนี้มาเป็นการเมือง แต่เสียดายว่าที่ผ่านมาฝ่ายค้านเคยเตือนไว้หมดแล้วตั้งแต่ตอนที่รัฐบาลเชิญ ไปทำเนียบ โดยเตือนทั้งเรื่องแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการเฉพาะว่าไม่รัดกุม แต่รัฐบาลก็ไม่ฟังคำท้วงติงเหล่านี้ เมื่อถามย้ำว่า หากรัฐบาลยังมีแนวคิดเช่นนี้ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม จะเชิญนายอภิสิทธิ์และนายถาวร เสนเนียม ไปหารือจะเป็นประโยชน์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอส่งข้อมูลไปให้ดีกว่า เพราะท่าทีของ ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้ทำงานไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล เรื่องใหญ่อย่างนี้นายกฯและรัฐบาลควรขอสิทธิมาแถลงในสภาและฟังความเห็น เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนก็พร้อมที่จะให้ประชุมลับ.

Tuesday, March 5, 2013

เฉลิมนัดถกมหาเธร์ดับไฟใต้ 28มี.ค.

เฉลิมนัดถกมหาเธร์ดับไฟใต้ 28มี.ค.
เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เผย เตรียมเข้าพบ มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อหารือดับไฟใต้ที่เกาะลังกาวี ในวันที่ 28 มี.ค. ...วันนี้ (6 มี.ค. 56) เวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายขวัญชาติ วงศ์ศุภรานันต์ รองผู้ว่าฯ ปัตตานี นายอภิรักษ์ สะมะแอ นายอำเภอเมืองปัตตานี ได้นำผู้นำท้องถิ่นจำนวน 48 คน เข้าพบ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ในโครงการศึกษาดูงานตามโครงการสี่ประสานประจำปีงบประมาณ 2556 โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวกับผู้นำท้องถิ่นว่า จากการพบกับ นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย ได้ย้ำว่า คนมุสลิมไม่นิยมความรุนแรง ต้องประนีประนอม และไม่ต้องการให้มีการแบ่งแยกดินแดน รวมถึงใครก่อเหตุก็หนีไปอยู่มาเลเซียไม่ได้ เดิมทีมาเลเซียเข้าใจผิด มองว่าเหตุการณ์ที่ตากใบและกรือเซะ รัฐบาลใช้ความรุนแรงและทารุณในการแก้ไขปัญหา แต่นั่นถือเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครคิดทำ และหากใครมาบังคับสั่งตนให้ใช้กำลัง ถ้าไม่ทำแล้วจะปลด ก็ไม่ทำ ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ใช้มาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยให้กองทัพภาคที่ 4 ไปดูในเรื่องของหลักเกณฑ์ ซึ่งขณะนี้มีแนวร่วมเข้ามอบตัวแล้วจำนวน 20 คน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะผู้ดูแลด้านพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนมาเลเซีย-ไทย อนุญาตให้ตนเดินทางเข้าพบแล้ว ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ รอแค่หนังสือตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ ดร.มหาเธร์ เดินทางมาที่เกาะลังกาวี และตนมีการเปิดเวทีปราศรัยต่อต้านยาเสพติดที่ จ.สตูล การแก้ไขปัญหาหากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ก็จะทำให้แก้ปัญหาได้ นอกจากนี้ อีก 3 เดือน จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วเปลี่ยนมาเป็น พ.ร.บ.ความมั่นคงแทนใน 5 อำเภอ ส่วนการประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับตำรวจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 14.00 น. วันที่ 6 มี.ค. ยังคงมีการประชุมเหมือนเดิม แม้ช่วงค่ำวันที่ 5 มี.ค. นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โทรศัพท์มาหา บอกว่าถูกห้ามไม่ให้มา โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนห้าม.

Monday, March 4, 2013

ชง กกต.กลาง พิจารณาผลเลือกตั้ง สุขุมพันธุ์

ชง กกต.กลาง พิจารณาผลเลือกตั้ง สุขุมพันธุ์
กกต.กทม. ชง กกต.กลาง พิจารณาผลเลือกตั้ง พร้อมแนบคำร้อง 2 เรื่องเอี่ยว สุขุมพันธุ์ ร่วมพิจารณา รับรองนั่งผู้ว่าฯกทม.อย่างช้าศุกร์นี้ เตือนผู้สมัคร 25 ราย แจงบัญชีค่าใช้จ่ายภายใน 90 วัน ขู่ไม่แสดงสั่งเลือกตั้งใหม่ได้ ...เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 4 มี.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. กล่าวภายหลังการประชุม กกต.กทม.ว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งจากผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร และได้ประชุมหารือกันก่อนที่จะมีมติเสนอเรื่องพร้อมความเห็นไปยัง กกต.กลาง ในวันเดียวกันนี้ เพื่อให้พิจารณาเรื่องการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง เป็นไปตามมาตรา 92 และ 95 ของพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ประกอบระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2554 ข้อ 189 ที่ระบุว่า เมื่อกกต.จังหวัด ได้รับประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้งจาก กกต. ประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ถ้าไม่มีผู้ใดร้องคัดค้าน และกกต.จังหวัดเห็นว่าการเลือกตั้งและการนับคะแนนเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม ให้ กกต.จังหวัดรายงาน กกต.กลาง โดยเร็วเพื่อประกาศผลการเลือกตั้ง พร้อมทั้งแนบรายงานกรณี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ มีเรื่องถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการปราศรัยใส่ร้าย ตามมาตรา 57(5) ของพ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น ที่กกต.รับไว้เป็นคำร้องคัดค้านรวม 2 เรื่อง โดย กกต.กลาง มีอำนาจที่จะพิจารณาเรื่องการประกาศรับรองผลภายใน 7 วันจากวันเลือกตั้ง คือ อย่างช้าภายในวันที่ 8 มี.ค.นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ทั้ง 25 ราย จะต้องมีหน้าที่ยื่นแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายการเลือกตั้งกับทาง กกต.กทม.ภายใน 90 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง หากพบว่ามีการใช้จ่ายเกินกว่า 49 ล้านที่ กกต.กทม.กำหนด หรือไม่แจ้งบัญชีรายรับรายจ่าย จะถือเป็นความผิดที่อาจทำให้ กกต.สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ด้าน นายสุพจน์ ไพบูลย์ กกต.กทม. กล่าวถึงกรณีมีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกทางสำนักงานปกครองและทะเบียน สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร สั่งจำหน่ายไปแล้วกว่า 7 พันรายชื่อ แต่ในวันเลือกตั้งพบว่า รายชื่อดังกล่าวกลับมาเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า คงต้องรอแต่ละเขตส่งรายชื่อผู้มีสิทธิทั้งหมดกลับมายังสำนักทะเบียนก่อน กกต.กทม. จึงจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับปลัดกรุงเทพมหานครได้.

ชวนนท์ ไล่ พท.ย้อนดูตัวเองหลังแพ้ศึกผู้ว่าฯ กทม.

ชวนนท์ ไล่ พท.ย้อนดูตัวเองหลังแพ้ศึกผู้ว่าฯ กทม.
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์วอนขอคนกรุงมั่นใจคุณชาย ชี้หลัง กกต.รับรองผลแล้วตัวรองผู้ว่าฯ จะชัดเจน ตอก พท.มองตัวเองหลังพ่ายแพ้เลือกตั้ง จี้พงศพัศพูดให้ชัดกรณีจ่อกลับ สตช...เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคฯ ขอบคุณคน กทม. ที่ให้โอกาส ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. ให้กลับมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. อีกครั้ง ขอให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าทำตามนโยบายทุกประการที่ประกาศไว้พร้อมเร่งรัดทุกเรื่องที่เร่งด่วนในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ทั้งนี้ คะแนนที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับมานั้นพวกเรารู้สึกยินดี แต่ไม่ประมาท เพราะยอมรับว่ามีประชาชนอีกกลุ่มที่อาจจะยังไม่ไว้วางใจหรือ นิยมพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ พวกเราตระหนักดีและยืนยันว่า จะทุ่มเททำงานให้เป็นที่ยอมรับของคนทุกกลุ่มทุกสี ไม่ใช่เฉพาะคนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่เราจะรับฟังผู้ที่เห็นต่าง เพื่อประโยชน์ของกทม.ส่วนการคัดเลือกรองผู้ว่าฯ กทม. นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มั่นใจว่า ผู้ที่จะมาเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. เป็นทีมงานที่พร้อมมีความรู้ความสามารถ ซึ่งพรรคฯ จะพิจารณาให้เหมาะสมที่สุด และคาดว่าหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แล้วทีมงานรองผู้ว่าฯ กทม. จะชัดเจนขึ้นนายชวนนท์ กล่าวต่อว่า การที่พรรคเพื่อไทยวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลคะแนนที่ออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะ เพราะมาจากวาทกรรมเผาบ้านเผาเมืองที่ทำให้ประชาชนเกิดความกลัวนั้น พรรคเพื่อไทยควรขอบคุณประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทยดีกว่าตีโพยตีพาย โดยเฉพาะการหยิบยกเรื่องวาทกรรมต่างๆ ไม่ใช่วาทกรรมที่จะหลอกใครได้ แต่คน กทม.เห็นและฝังใจเอง ส่วนคำว่ายึดเมืองหลวงออกมาจากปากของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำนปช. จนทำให้คน กทม.ฉุกคิดหรือแม้แต่เรื่องนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง จะมาเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. รวมถึงนายจตุพร ยังออกมาระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคเพื่อไทยจะได้กลับมาเป็นรองผบ.ตร. คำพูดเหล่านี้สะท้อนตัวตนของพรรคเพื่อไทย จึงอยากให้พรรคเพื่อไทยหันกลับไปมองพฤติกรรมของตัวเองเมื่อ 4-5 ปีทีผ่านมาให้ปรับปรุงตัว แก้ไขสิ่งที่คนกทม.ไม่เห็นด้วย และกลับมาแข่งขันกลับพรรคประชาธิปัตย์อีก 4 ปีข้างหน้าทั้งนี้ กรณีที่มีข่าวว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะกลับไปนั่งรองผบ.ตร. และจะได้ตำแหน่งผบ.ตร ในอีก 1 ปีข้างหน้านั้น แม้จะเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ตนอยากให้พรรคเพื่อไทย และพล.ต.อ.พงศพัศ รักษาน้ำใจคน กทม.ที่เลือกมาเป็นล้านเสียง เพราะการเลือกตั้งผ่านมาไม่กี่วัน เผยให้เห็นว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ไม่ได้มีเจตนาจริงใจ ที่จะทำงานให้คนกทม. ดังนั้น อยากให้พล.ต.อ.พงศพัศ ออกมาพูดให้ชัดเจนว่า ที่ได้ทุ่มเทหาเสียงไป 40 กว่าวันนั้น เป็นตัวตนที่แท้จริงของท่านหรือไม่

รอถกมาเลย์จบ ค่อยเคาะเลิก พรก.ฉุกเฉิน

รอถกมาเลย์จบ ค่อยเคาะเลิก พรก.ฉุกเฉิน
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เผย ขอรอ สมช.ถกมาเลเซียให้จบก่อน ค่อยเคาะเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 3 จังหวัดชายแดนใต้ คาด นำร่อง 5-6 อำเภอ... เฉลิม ปิดปากงดจ้อประเด็นการเมือง วันนี้ (5 มี.ค.56) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุม ครม.วันที่ 5 มี.ค. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ติดภารกิจเดินทางไปเยือนประเทศสวีเดน เบลเยียม และสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ โดย ร.ต.อ.เฉลิม ยังคงปฏิเสธจะให้สัมภาษณ์ในประเด็นการเมืองเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยระบุว่าจะงดให้สัมภาษณ์ 7 วัน หาก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย แพ้การเลือกตั้ง “เฉลิม” เล็งเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 5-6 อำเภอทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) กล่าวถึงการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเปลี่ยนมาเป็น พ.ร.บ.ความมั่นคงใน 5 อำเภอ จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ยังมีความเห็นไม่สอดคล้องต้องกัน แต่แนวโน้มจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประมาณ 5-6 อำเภอที่สถานการณ์ดีขึ้น แต่ฝ่ายปฏิบัติการขอไปเจรจากับฝั่งมาเลเซียเบื้องต้นก่อน แล้วมาหาบทสรุป เมื่อถามว่าได้ฝากอะไรถึง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่เดินทางไปประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือเรื่องการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า ไม่ เพราะเลขาฯ สมช.จะต้องมารายงาน ศปก.กปต.อยู่แล้ว ตนไม่ก้าวก่าย เมื่อถามว่าเหตุใดเรื่องการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงต้องไปคุยกับมาเลเซีย ร.ต.อ.เฉลิมตอบเพียงสั้นๆ ว่า มันต้องทีละขั้น ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ตนได้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และยะลา รวมถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เพี่อสอบถามถึงกรณีที่มีกลุ่มคนร้ายเดินสายเผาล้อยางรถยนต์บนถนนหลายจุดในพื้นที่ จ.ยะลา และนราธิวาส ซึ่งพบว่าข้อเท็จจริงเกิดเหตุใน 2 จังหวัด คือ จ.นราธิวาส ที่ อ.รือเสาะ มีการเผาบ้านร้างนอกเมือง ส่วนที่ จ.ยะลา เกิดเหตุทั้งหมด 54 จุด เหตุเกิดระหว่างเวลา 20.00 - 21.00 น. เป็นการเผายางรถยนต์ในเขตนอกเมือง จากอำเภอหนึ่งไปอำเภอหนึ่ง และล้มเสาไฟฟ้า แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ โดยเจ้าหน้าที่ได้สรุปสถานการณ์มาว่า ได้ข่าวมาว่าพวกนี้จะก่อกวนนอกเมือง เพื่อให้กำลังเจ้าหน้าที่ในเมืองออกไป แต่เขารู้ทันจึงไม่ออกไป ความเสียหายมีเพียงเท่านี้ ถือเป็นการสร้างสถานการณ์ทั้งสองจังหวัด ผู้สื่อข่าวถามว่าการข่าวรายงานหรือไม่ว่าจะมีการป่วนสร้างสถานการณ์แบบนี้ต่อไป ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า หากตนไปยิ่งกว่านี้อีก จะมีการเผาแบบนี้ เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ระบุหรือไม่ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มใด ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า เป็นวัยรุ่น ทำเพื่อความสะใจ อาจจะได้รับการยุยงให้สร้างความปั่นป่วน หากตนไปแล้วกลับจะมีเป็นร้อย

Blog Archive