Saturday, December 1, 2012

ทนายนปช.ยังไม่มั่นใจคุณสมบัติสส.ก่อแก้วรอตีความ

ทนายนปช.ยังไม่มั่นใจคุณสมบัติสส.ก่อแก้วรอตีความ
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความกลุ่มนปช. ย้ำก่อแก้วเป็นคนละกรณีกับจตุพร ไม่แน่ใจพ้นส.ส.หรือไม่ เชื่อพรรคประชาธิปัตย์ร้องศาลรธน.ตีความเรื่องคุณสมบัติแน่...เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความกลุ่มนปช. กล่าวว่า กรณีศาลอาญา มีคำสั่งเพิกถอนประกันนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในข้อหาข่มขู่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ตนมีข้อกังวลอยู่ว่า การที่ศาลมีคำสั่งเช่นนี้จะนำไปสู่การสิ้นสุดสภาพการเป็นส.ส.หรือไม่ โดยหากพิจารณาเทียบกับคดีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ตนเองเห็นว่าเป็นละกรณีกัน แต่หากพิจารณาตามตรรกะที่ว่าข้อบังคับพรรค ในเรื่องบุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ ต้องห้ามมิให้สมัครเข้าเป็นสมาชิก โดยในข้อ 5 ระบุว่า ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเมื่อมองว่าเมื่อสิ้นสุดการเป็นสมาชิกพรรค ก็จะทำให้สิ้นสุดการเป็น ส.ส.ตามมา หากมองในตรรกะเช่นนี้ ถือว่ารับฟังได้และมีความน่ากังวลสูง แต่เรื่องนี้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตีความ เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องร้องศาลแน่นอนนายวิญญัติ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ต้องต่อสู้เต็มในแง่ที่ว่านายก่อแก้วยังไม่สิ้นสภาพการเป็น สส. โดยยกรัฐธรรมนูญมาตรา 102 มาตรา 106 ในเรื่องลักษณะบุคคลต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. อีกทั้งต้องดูข้อกฎหมายอีกว่าการมีคำสั่งในระหว่างดำเนินคดี ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุดนั้น จะเข้าหลักเกณฑ์ที่จะทำให้หมดสภาพความเป็น ส.ส.หรือไม่.

พท.ป้องก่อแก้วไม่หลุดส.ส. ชี้ศาลแค่ถอนประกัน

พท.ป้องก่อแก้วไม่หลุดส.ส. ชี้ศาลแค่ถอนประกัน
ที่ปรึกษากม.พรรค พท. ออกโรงปกป้อง ก่อแก้ว พิกุลทอง ไม่หลุด ส.ส. ชี้คำสั่งศาลอาญาแค่เพิกถอนประกันชั่วคราว ยังไม่ได้ตัดสินจำคุก พร้อมโต้ฝ่ายค้านปัด “เพื่อไทย” แก้บังคับพรรคอุ้มผู้ถูกคุมขัง ยันเนื้อความยังเหมือนเดิม เทียบกรณี จตุพร ถูกขังในวันเลือกตั้ง เป็นเหตุให้พ้นสภาพสมาชิกพรรค... วันที่ 1 ธ.ค.55 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ถูกศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวชั่วคราวจะทำให้พ้นจากส.ส.หรือไม่ว่า กรณีนายก่อแก้ว จะพ้นจากความเป็นส.ส.ก็ต่อเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก แต่กรณีนี้เป็นเพียงการถูกคุมขังในชั้นพิจารณาของศาล จึงยังไม่พ้นความเป็นส.ส.นอกจากนั้น  นายชูศักดิ์  ได้กล่าวเปรียบเทียบกับกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งกรณีนายจตุพร  ศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากความเป็นส.ส. เพราะในวันเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. 2554 นายจตุพรถูกคุมขังอยู่ จึงพ้นจากความเป็นสมาชิกภาพพรรคเพื่อไทย ทำให้ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากเป็น ส.ส.ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่นายก่อแก้วไม่ได้ถูกคุมขังในวันเลือกตั้งอย่างนายจตุพร  ดังนั้น จึงมีคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และยังไม่มีคำพิพากษาให้จำคุก จึงยังไม่มีเหตุที่จะทำให้พ้นจาก ส.ส.ทั้งด้านกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมาย รัฐธรรมนูญนายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า   ยืนยีนพรรคเพื่อไทยไม่ได้แก้ข้อบังคับพรรค  โดยตัดกรณี โดนคุมขัง ออก เพียงแต่เปลี่ยนถ้อยคำ คือ “เป็นผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ” ซึ่งรวมถึงการถูกคุมขังไว้อยู่แล้ว .

โพลชี้ความจงรักภักดี-เป็นหนึ่งเดียว ทำความสุขมวลรวมคนไทยพุ่งสูงสุด

โพลชี้ความจงรักภักดี-เป็นหนึ่งเดียว ทำความสุขมวลรวมคนไทยพุ่งสูงสุด
เอเบคโพลล์ชี้ ความสุขมวลรวมคนไทยเพิ่มสูงสุดอย่างมีนัย อยู่ที่ 9.17 จากคะแนนเต็ม 10 อยู่ที่ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ และความจงรักภักดีเนื่องจากความสุขของประชาชนในแต่ละสังคมขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน ความสุขของประชาชนบางประเทศขึ้นอยู่กับวัตถุนิยม ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ในขณะที่ความสุขของประชาชนในบางประเทศขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมจารีตประเพณีอันดีงามเป็นสำคัญ สำหรับสิ่งที่ทำให้ประชาชนคนไทยมีความสุขมีเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศไทยมีอยู่หลายประการ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จึงได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสุขประเทศไทยกับความสำนึกรู้คุณแผ่นดิน ประจำเดือนพฤศจิกายน 2555 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนในพื้นที่ 18 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ราชบุรี อยุธยา สุพรรณบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ แพร่ นครสวรรค์ ขอนแก่น หนองคาย มหาสารคาม สุรินทร์ อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา นครศรีธรรมราช และยะลา จำนวนทั้งสิ้น 3,169 ตัวอย่าง โดยดำเนินการสำรวจในระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน–1 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกเขต/อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน โดยมีความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7  จากการวัดความสุขมวลรวมของประชาชนคนไทยภายในประเทศ ประจำเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 5.79 คะแนน ในเดือนกันยายน มาอยู่ที่ 7.40 และ 7.53 คะแนน ในการสำรวจครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นระดับความสุขที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีค่าความสุขเกินกว่าครึ่งในทุกตัวชี้วัด โดยค่าสูงสุดอยู่ที่การเห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติแสดงความจงรักภักดีอยู่ที่ 9.17 คะแนน รองลงมาคือ บรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 7.72 และสุขภาพใจอยู่ที่ 7.58 นอกจากนี้ ความสุขของประชาชนคนไทยเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนตุลาคมเกือบทุกตัวชี้วัดที่น่าสนใจคือ ภาพลักษณ์ของประเทศไทย คนไทย เด็กไทยในสายตาต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจาก 6.03 คะแนน มาอยู่ที่ 6.51 คะแนน เป็นผลมาจากการมาเยือนประเทศไทยของบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายเหวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีของประเทศจีน การชุมนุมทางการเมืองที่ไม่ลุกลามรุนแรงบานปลาย และภาพลักษณ์ดั้งเดิมของประเทศไทยที่ดีอยู่แล้วในสายตาของชาวต่างชาติในเรื่องการดูแลความปลอดภัย การเก็บทรัพย์สินได้แล้วส่งคืนชาวต่างชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐบางพื้นที่ต่อปัญหาอาชญากรรมและการไม่มีน้ำใจของคนไทยบางคนต่อชาวต่างชาติยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยยิ่งไปกว่านั้น ความสุขของประชาชนต่อตัวชี้วัดทั้งเศรษฐกิจระดับครัวเรือนและเศรษฐกิจระดับประเทศเริ่มเพิ่มสูงขึ้นจาก 5.98 มาอยู่ที่ 6.21 และจาก 5.73 มาอยู่ที่ 5.94 ตามลำดับ เป็นผลมาจากโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทยและนโยบายสาธารณะของรัฐบาลในเรื่องการเพิ่มรายได้ที่กลายเป็นความหวังทางจิตวิทยาและกระตุ้นพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน เช่น นโยบายค่าแรง 300 บาท นโยบายเงินเดือน 15,000 บาท รถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก และนโยบายจำนำข้าว เป็นต้น ในขณะที่นโยบายเดิมของรัฐบาลที่เคยทำมาในการส่งเสริมอาชีพระดับตำบล เช่น สินค้าโอทอป เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและการไม่รู้จักกินไม่รู้จักใช้อย่างประหยัดของประชาชนเองยังคงเป็นตัวบั่นทอนความสุขของคนไทยดร.นพดล กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงคือ ความสุขที่ลดลงของประชาชน ได้แก่ ความสุขต่อบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในชุมชนลดลงจาก 7.03 มาอยู่ที่ 6.52 ความสุขต่อคุณภาพนักการเมืองและจริยธรรมของนักการเมืองลดลงจาก 5.24 มาอยู่ที่ 5.05 และความสุขต่อสถานการณ์ทางการเมืองโดยรวมลดลงจาก 5.17 มาอยู่ที่ 5.04 ตามลำดับ เป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมือง ความแตกต่างทางความคิดทางการเมืองที่ชาวบ้านเล็งเห็นว่าอาจนำไปสู่ความรุนแรงบานปลาย และปัญหาคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองของนักการเมืองเป็นสำคัญนอกจากนี้ ตัวชี้วัดอีกประการหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ความสุขต่อคุณภาพโรงเรียนใกล้บ้านของผู้ตอบแบบสอบถามลดลงจาก 6.64 มาอยู่ที่ 6.23 เป็นผลมาจากปัญหาพื้นฐานที่สะสมมาเป็นเวลาช้านานในระบบการศึกษาไทยในหลายมิติ เช่น คุณภาพการบริหารจัดการด้านการศึกษา ปัญหาการกีดกันหรือการปิดกั้นโอกาสของเด็กและเยาวชนที่อยู่ใกล้โรงเรียนที่มีคุณภาพแต่ไม่มีโอกาสเข้าเรียน ปัญหาการเลือกปฏิบัติในชั้นเรียน ปัญหาคุณภาพการเรียนการสอน ปัญหาการใช้ความรุนแรงของทั้งครูและนักเรียน และคุณธรรมจริยธรรมของคุณครูที่มีไม่มากเพียงพอในการเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเด็กนักเรียน เป็นต้นอย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทั้งกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาล กลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล และกลุ่มพลังเงียบ ต่างก็มีความสุขที่เห็นคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกันในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ คือ 9.16 คะแนนในกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาล 9.15 คะแนนในกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล และ 9.18 คะแนนในกลุ่มพลังเงียบ ตามลำดับ และเมื่อศึกษาเจาะลึกกลุ่มประชาชนที่ถูกศึกษาพบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ว่าสีใดก็ตามสามารถแยกแยะความจงรักภักดีออกได้จากอุดมการณ์ทางการเมือง และต้องการให้การเมืองเป็นเรื่องของการเมือง ส่วนความจงรักภักดีเป็นสิ่งที่ “คนไทย” ทุกคนตระหนักดี จึงอย่าดึงสถาบันหลักของชาติลงมาสู่ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ผลสำรวจยังค้นพบ 5 อันดับแรกของรูปแบบสำนึกรู้คุณแผ่นดินที่ประชาชนตั้งใจจะทำเพื่อในหลวง (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) พบว่า ร้อยละ 94.8 ตั้งใจจะแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ร้อยละ 90.5 ตั้งใจจะประหยัด ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ร้อยละ 77.8 ตั้งใจจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีไมตรีจิตต่อกัน ร้อยละ 68.9 ตั้งใจจะทำหน้าที่พลเมืองที่ดี และร้อยละ 65.3 ตั้งใจจะสำนึกถึงความเสียสละเลือดเนื้อของบรรพบุรุษเพื่อประเทศชาตินอกจากนี้ เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างถึงเดือนแห่งความสุขที่ประชาชนรอคอย พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 41.3 ระบุเดือนธันวาคมหรือธันวามหาราช รองลงมาหรือร้อยละ 20.4 ระบุเดือนมกราคม ร้อยละ 19.1 ระบุเดือนเมษายน ร้อยละ 10.6 ระบุเดือนกุมภาพันธ์ และร้อยละ 8.6 ระบุเดือนอื่นๆ อาทิ เดือนสิงหาคม ตุลาคม และพฤษภาคม เป็นต้นผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า คนไทยกำลังเข้าสู่โหมดแห่งความสุขที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปตลอดเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองความสุขประเทศไทยในเดือนธันวามหาราชและปีใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของประชาชนคนไทยภายในประเทศ จนกล่าวได้ว่านี่คือ DNA ของความเป็นไทยที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ความกตัญญูต่อแผ่นดินที่ต้องช่วยกันปกปักรักษาไม่ยอมให้ใครมาดัดแปลงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยได้ “จากการวิจัยที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่า สังคมไทยและประชาชนแต่ละคนจะอยู่รอดได้อย่างมีความสุขทุกสถานการณ์ ถ้าทุกคนสำนึกกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน ทำตามหน้าที่พลเมืองที่ดี ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง ลดอคติที่มีต่อกัน และตระหนักว่าผลประโยชน์ของแต่ละคนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าคือ “ประเทศชาติต้องมาก่อนชุมชนหรือองค์กรของตนและผลประโยชน์ส่วนตัว”ดังนั้น การมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของทุกคนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความรักความสามัคคี มีไมตรีจิตต่อกัน และยอมรับว่าทุกคนมีความผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้นเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขความผิดพลาดบนพื้นฐานของความถูกต้องตามหลักธรรม หลักกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อ “ไม่” ให้คนอื่นๆ ทำผิดตามกันอย่างกว้างขวาง ผลที่ตามมาก็คือ ความสุขประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคงยั่งยืน” ดร.นพดล กรรณิกา กล่าว

Blog Archive