Sunday, December 16, 2012

โพลชี้ทักษิณออกช่อง 11 เรื่องการเมือง-พยายามเอาชนะ

โพลชี้ทักษิณออกช่อง 11 เรื่องการเมือง-พยายามเอาชนะ
เอแบคโพลล์เผย ทักษิณ ออกทีวีช่อง 11 ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 75.4 เห็นเป็นเรื่องการเมือง เป็นการพยายามเอาชนะคะคานกันเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องประเด็นร้อนทางการเมือง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกทีวีสดช่อง 11 สิ่งที่อยากได้จากทุกฝ่ายในสังคมช่วงเวลาที่เหลืออยู่ปี 2555 โดยกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครจำนวน 1,112 ตัวอย่าง และอีก 16 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,195 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10 – 15 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา เมื่อสอบถามถึงประเด็นสำคัญที่ทราบจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ช่วงเวลาออกทีวีสดช่อง 11 พบว่า ร้อยละ 43.1 ทราบและจำได้ว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี อย่างไรก็ตามร้อยละ 11.9 ทราบแต่คิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ในขณะที่ร้อยละ 30.8 ไม่ทราบ แต่เห็นคนวิจารณ์กันว่าไม่เหมาะสม และร้อยละ 14.2 รู้สึกเฉยๆ ตามลำดับที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.4 ระบุว่าการวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หลังออกทีวีสดช่อง 11 กลายเป็นเรื่องการเมือง ต่างฝ่ายต่างพยายามเอาชนะคะคานกัน ทีใครทีมัน ต่างสร้างกระแสเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน กลบลบจุดอ่อนทางการเมืองของฝ่ายตน ในขณะที่ร้อยละ 24.6 ระบุไม่ใช่เรื่องการเมือง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.2 ระบุ ควรให้ทุกอย่างจบเร็ว เพราะไม่ควรนำสถาบันฯ และไม่ควรนำเรื่องความจงรักภักดีเข้ามาสู่ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน เพราะต้องการให้หยุดพูด หยุดวิพากษ์วิจารณ์กัน เพราะอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข เพราะเกรงจะยืดเยื้อบานปลาย และเป็นเพียงเรื่องที่ควรให้โอกาส พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้แสดงออกเรื่องความจงรักภักดีบ้าง และทุกคนเคยผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้นจึงควรให้โอกาสแก้ไขปรับปรุงตัวกัน เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 43.8 ระบุควรตรวจสอบขยายผล เพราะเป็นเรื่องไม่เหมาะสม มีหน่วยงานรัฐร่วมรู้เห็นเป็นใจ เป็นต้นที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงการกระทำและคุณธรรมที่อยากได้มากที่สุดจากทุกฝ่ายในสังคมในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปี 2555 เป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าและตลอดไป พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 33.9 อยากได้รอยยิ้ม น้ำใจไมตรีจิตต่อกัน ความรักความสามัคคีของคนในชาติ อันดับสองหรือร้อยละ 25.5 อยากให้ทุกฝ่ายให้อภัยต่อกัน มีเมตตาปรานีต่อกัน ร้อยละ 16.1 อยากให้มีความกล้าหาญ เสียสละ ร้อยละ 9.5 อยากเห็นความกตัญญู รองๆ ลงไปคือ ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีวินัย และอื่นๆ เช่น ความขยันหมั่นเพียร ความเป็นธรรม การไม่เลือกปฏิบัติ การรู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่างไรก็ตาม “คำเตือน” เงื่อนไขพึงระวังจะทำให้เกิดการชุมนุมขับไล่รัฐบาล พบว่า ร้อยละ 60.4 ระบุเป็นปัญหาปากท้อง /ของแพง ร้อยละ 57.4 เกิดการทุจริตคอรัปชันอย่างกว้างขวาง ร้อยละ 51.2 ระบุการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 49.1 ระบุพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ร้อยละ 47.0 ระบุการเลือกปฏิบัติเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ไม่เป็นธรรม และร้อยละ 40.2 เกิดการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ เป็นต้น ขณะที่ความรู้สึกของประชาชนต่อสิ่งที่นักการเมืองกำลังอยากจะทำในกระแสข่าวเวลานี้ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายปรองดอง คดีความทางการเมือง คดีอาญาของนักการเมือง เป็นต้น พบว่า ร้อยละ 42.3 อยากให้จบเร็ว เพราะ เบื่อ เครียด เซ็ง เพราะจะได้ใช้เวลาทำมาหากิน อยากเห็นบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด และช่วยกันแก้ไขต่อไป  ยิ่งช้ายิ่งวุ่นวาย ไม่อยากวกวนกันอยู่อย่างนี้ รู้สึกอึดอัด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 41.6 อยากให้ค่อยเป็นค่อยไป เพราะบ้านเมืองจะไม่วุ่นวาย ไม่ต้องรีบร้อน จะได้ปรับตัวได้ เป็นต้น และร้อยละ 16.1 ปล่อยวาง ไม่อยากยุ่งเกี่ยว อยากทำอะไรก็ทำไปตามลำดับ

No comments:

Post a Comment

Blog Archive