Saturday, March 20, 2010

26 ก.พ. 53 จุดเปลี่ยนประเทศไทย

26 ก.พ. 53 จุดเปลี่ยนประเทศไทย

นับจากนี้ไปเหลือเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น จะถึงวันที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขึ้นนั่งบัลลังก์ตัดสินคดีสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของอดีตผู้นำประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นวันที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคอการเมือง หรือ ไม่ใช่คอการเมือง ตั้งแต่คนชั้นสูง ชนชั้นกลาง คนรากหญ้า นักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน ใจจดใจจ่อ รอคอย อย่างที่บอกเพราะเหตุว่าคดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีความอ่อนไหวยิ่ง ไม่ว่าผลจะออกในรูปใดย่อมกระทบทุกหย่อมหญ้า โยงใยสังคมทุกมิติ โดยเฉพาะสถานการณ์ความรุนแรงที่ถูกเชื่อมร้อยเป็นเรื่องเดียวกันมาระยะหนึ่งก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่ายิ่งใกล้ยิ่งน่าหวาดเสียว เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ขับรถไล่บี้ผู้นำประเทศบนทางด่วนวันเดียวถึง 2 ครั้ง เกิดเหตุระทึกขวัญกลางกรุงลอบวางระเบิดซีโฟร์ภายในศาลฎีกา ลอบยิงระเบิดเอ็ม 79 ที่่ว่ากันว่าหวังผลให้ไปลงที่ทำเนียบรัฐบาล แต่กลับไปตกในรััั้วสถาบันการศึกษา *********************พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรทางฝั่งของรัฐบาลเองนอกจากงัดมาตรการต่างๆ ทั้งการตั้ง คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ ความมั่นคง (คตม.) วิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว พวกเด็กในคาถายังขยันออกมาปูดเรื่องกลไกหนุนการใช้ความรุนแรงสารพัดรูปแบบ ฝั่งของเอกชนเองก็โดนข่าวลับ ข่าวลวง ทำเอาบรรยากาศการลงทุนอึมครึม จนตลาดหุ้นเกือบที่จะ แดงทั้งกระดาน นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ส่วนประชาชนหาเช้ากินคำ่ ทำอะไรไม่ได้ อกสั่นขวัญแขวนกันหมด  โพลหลายสำนักระบุถึงขนาดเบื่อหน่ายการเมือง อยากให้ประเทศชาติสงบ ทักษิณ ผิดอะไร ทำไมต้องยึดทรัพย์ ? อัยการสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องให้ทรัพย์สินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทพร้อมดอกผลของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และ ครอบครัว รวมทั้งผู้มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินรวม 22 รายการ ให้เหตุผลว่าเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และ ได้ทรัพย์สินมาจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวม ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ  มีความผิดที่มีพยานจนถึงขั้นถูกกล่าวหาถึง 5 คดี เช่น ทุจริตโครงการจัดซื้อที่ดินรัชดา โครงการจัดซื้อกล้ายาง เป็นต้น และ มีพฤติการณ์รำ่รวยผิดปกติอีก 6 คดี  เช่น อนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 4 พันล้านบาท เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป, แก้ไขสัญญาอนุญาต ให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ ที่ต้องจ่ายให้ ทศท. จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน (Prepaid) ให้บริษัท AIS, กรณีการขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กโดยไม่มีการเสียภาษี เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นการ ทุจริตเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อนแก่ตนเองและครอบครัว ถือว่า “ได้มาโดยมิชอบ” ซึ่งหากเปรียบเทียบทรัพย์สินที่มีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนและหลังดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้ง ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สมัยเป็นรองนายกฯในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีทรัพย์สินรวม 5.9 พันล้านบาท คุณหญิงพจมาน มี 1.1 หมื่นล้านบาท บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 3 คน (ขณะนั้น) มี 3.8 พันล้านบาทเศษ รวม 5 คนมีทรัพย์สิน  2.1 หมื่นล้านบาท เมื่อพ้นตำแหน่งรองนายกฯ ลดลง 2 พันล้านบาท  คือ พ.ต.ท. ทักษิณ มี  5 พันล้านบาท ลดลง 9 ร้อยล้านบาท  คุณหญิงพจมาน มี 1 หมื่นล้านบาท ลดลง 1 พันล้านบาท บุตร 3 คน มี 3.8 พันล้านบาท ลดลง 48 ล้านบาท รวมทั้ง 5 คนมีทรัพย์สินลดลง 2 พันล้านบาท และ ดำรงตำหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก 4 คนเหลือ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งวันที่ 18 ก.พ. 2544 พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้ง ป.ป.ช. ว่ามีทรัพย์สิน 5.6 ร้อยล้านบาท คุณหญิงพจมานมี 9.9 พันล้านบาท ลูกสาว 2 คน มี 4.7 พันล้านบาท รวม 4 คนมี 1.5 หมื่นล้านบาทเศษ และตอนเป็นนายกฯ สมัยที่สอง 3 คน (พ.ต.ท.ทักษิณ,พจมาน,แพทองธาร) มีทรัพย์สินรวม 1.2 หมื่นล้านบาท  โดยวันที่ 14 มี.ค. 2548  พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งต่อ ป.ป.ช. มีทรัพย์สินรวม 5 ร้อยล้านบาท คุณหญิงพจมาน มี 8.9 พันล้านบาท บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ 1 คน 3.2 พันล้านบาท รวม 3 คน 1.2 หมื่นล้านบาทเศษ หลังจากพ้นตำแหน่งนายกฯสมัยแรก  1 ปี พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 74 ล้าน โดยเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2549 แจ้งต่อ ป.ป.ช.ว่า มีทรัพย์สิน 5.1 ร้อยล้านบาท  คุณหญิงพจมาน มี 8.9 พันล้านบาท บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 3.2 พันล้านบาท  รวม 3 คน  1.27 หมื่นล้านบาท มากกว่าตอนเข้ารับตำแหน่งนายกฯต้นปี 2548 จำนวน 74 ล้านบาท และเมื่อพ้นตำแหน่งนายกฯ สมัยสอง 2 คนมีทรัพย์สินรวม 9.3 พันล้านบาท โดยวันที่ 19 ก.ย. 2549  พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้ง ป.ป.ช.  ระบุมีทรัพย์สิน 5.5 ร้อยล้านบาท  รวม 2 คนมี 9.3 พันล้านบาท เป็นที่น่าสังเกตว่า การยื่นบัญชี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นเฉพาะทรัพย์สินของตนเอง และคุณหญิงพจมาน  ทำให้จำนวนทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช.มีจำนวนลดลงเรื่อยมา และการยื่นทุกครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ระบุว่า ถือหุ้นชินคอร์ปฯ ต่อมาเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2549 มูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท บัญชีฯของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ตอนพ้นตำแหน่งนายกฯสมัยแรกไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้แจ้งว่าถือหุ้นชินคอร์ปมาตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม หากคำนวณคร่าวๆ พ.ต.ท.ทักษิณ มีเงินประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท ไม่รวมกับทรัพย์สินในต่างประเทศ          ตัดสินแล้วเกิดอะไรขึ้น ? จากการวิเคราะห์ และคาดการณ์ แต่ไม่ชี้นำ สรุปได้ว่าผลของการตัดสินครั้งนี้มีสิทธิ์ออกได้ 4 ประตู คือ 1. ยึดทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท 2. ยึดบางส่วน เฉพาะธุรกรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 3. ไม่ยึดเลย และ 4. เลื่อนการตัดสินคดีนี้ออกไป   มาดูผลที่จะเกิดตามมาหากว่า  ยึดทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท แน่นอนคนที่เดือดร้อนที่สุดเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และ ครอบครัว ที่มีความคิดฝังหัวในประเด็น รัฐประหาร และ สองมาตรฐาน อยู่แล้ว ทั้งยังมีเครือข่าย ลูกน้อง จากพรรคเพื่อไทย กลุ่มเสื้อแดงที่รักและชื่มชมในตัว ทักษิณ ชนิดถวายหัว เดือดร้อนแทนนาย ถึงขนาดอาจตายแทนได้ ถึงเวลานี้รัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง ต้องเตรียมรับมือให้ได้ เพราะมีสัญญาณให้เห็นแล้ว จากทหารแก่ ทหารหนุ่มที่มีสรรพกำลัง มีศักยภาพในการใช้อาวุธ อีกกระทั่งการปลุกปั่นของกลุ่มแดงทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นแดงสู้แล้วรวย แดงดารา แดงฮาร์ดคอร์  ที่่เป็นไม้เป็นมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอด อาจนำไปสู่ความรุนแรง ประกาศเป็น สงครามครั้งสุดท้าย จนถึงขั้นรัฐบาลเองจะคุมเกมไม่ได้ ผลสุดท้ายทหารก็ออกมา ถึงตอนนี้อาจเลยเถิดยิ่งกว่าสงกรานต์เลือด เมื่อเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีข่าวและสถานการณ์หลายอย่างที่บ่งบอกอย่างนั้น กรณีแผนระดมมวลชนมาชุมนุม 1 ล้านคน  เหตุุวางระเบิดซีโฟร์ในศาลฏีกา ยิงเอ็ม 79 ตกลงข้างทำเนียบรัฐบาล  ขู่รายวันกะเล่นกันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ชั่วโมงนี้น่าจับตามองอย่างยิ่ง ***************************นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแต่หาก ยึดบางส่วน แน่นอนสถานการณ์ที่ร้อนอาจจะผ่อนเบาบางลงได้บ้าง  แต่สถานการณ์ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ต้องมีการตรวจตรารัดกุมเหมือนเดิม เพราะคำว่า ดับเบิล สแตนดาร์ด ยังปลุกแดงให้บ้าคลั่งได้อยู่ ผนวกกับกลุ่มที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกปล้นอำนาจไปยังคงกระเหี้ยนกระหือรือในตำแหน่ง และอำนาจ ไม่ยึดเลย ประตูนี้แน่นอนคนที่แฮบปี้ มากที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ และ ครอบครัว ส่วนบริวาร ว่านเครือ ก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ที่สำคัญเกมนี้อาจเร่งให้กลุ่มเสื้อแดง ผู้สนับสนุน ทักษิณได้ใจเดินหน้ารุกหนัก ประกาศสู้แบบม้วนเดียวจบ กระชากเก้าอี้จาก ม.มาร์ค ลงมาให้ได้ ก็น่าลุ้น สุดท้าย ศาลอาจจะเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป อีก 30 วัน โดยให้เหตุผลว่าเจ้าตัวไม่มารับฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง จำเป็นต้องมีการเลืื่อนอ่านคำตัดสิน  อาจเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับกรณีการอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตกล้ายาง ซึ่งนายอดิศัย โพธารามิก ผู้ต้องหาในคดีนั้นเดินทางไปต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามหากเลื่อนไปแล้วจะครบกำหนดตัดสินอีกครั้งภายในวันที่ 27 มี.ค. ซึ่งในระหว่างนี้สถานการณ์ยังปกติ หมายถึงว่าเหมือนช่วงเดือน ม.ค.หรือต้นเดือน ก.พ.มีสถานการณ์เกิดขึ้นรายวัน ข่มขู่รายวัน ประท้วงรายวัน เดินทางไปชุมนุมปิดล้อมสถานที่สำคัญๆ ของประเทศรายวัน บรรยากาศยังอึมครึมอยู่เรื่อยๆ หรือ อาจจะมีมือที่ 3 จ้องฉกฉวยโอกาสสร้างเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร แน่นอนย่อมกระทบกับทุกภาคส่วนของสังคม  ได้แต่ภาวนาว่าให้ทุกคนมีสติในการแก้ไขปัญหา ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรม ที่สำคัญยึดประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง ต้องผ่านพ้นมหาวิกฤติครัั้งนี้ไปให้ได้.

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

No comments:

Post a Comment

Blog Archive