Thursday, November 29, 2012

สุกำพล จวก ปชป.ไม่แฟร์ซักฟอก เชื่อพุ่งเป้าเล่นงาน

สุกำพล จวก ปชป.ไม่แฟร์ซักฟอก เชื่อพุ่งเป้าเล่นงาน
“สุกำพล” จวก ปชป.ไม่แฟร์ซักฟอก เชื่อพุ่งเป้าเล่นงาน หวังเอาคืนถอดยศ มาร์ค” สั่งตั้ง 14 คกก.สอบเทปเสียงหลุด ซัดตัดต่อคลิปเสียง แต่งตั้งปลัด กห. อัด เสถียร” ไร้มารยาทอัดเทปการประชุม... วันที่ 29 พ.ย. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวกรณีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระหว่างวันที่ 25-27 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า เป็นไปตามคำสั่งการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่อยากให้รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจชี้แจงข้อมูล ให้ประชาชนได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงอีกครั้ง สำหรับข้อมูลที่ฝ่ายค้านหยิบมาโจมตีตนนั้นมี 3 ประเด็นคือ การทำผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติผิดกฎหมายและข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ในการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล รวมถึงการกลั่นแกล้งขัดขวางไม่ให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการการแต่งตั้งของกระทรวงกลาโหม ซึ่งเรื่องนี้ทางฝ่ายค้าน ได้มีการนำคลิปเสียงในระหว่างการประชุมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ไปเปิดในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นการตัดต่อเทป เพราะนำมาเปิดในเฉพาะช่วงที่ตนพูดเท่านั้น ทั้งนี้ ตนเห็นว่าที่มีการอัดเทประหว่างการประชุม เป็นการกระทำที่ไม่น่าเชื่อว่านายทหารระดับสูงขนาดนั้นจะทำได้ ถือเป็นการกระทำที่ไม่มีมารยาทและผิดวินัยทางทหารอย่างร้ายแรง หากมียศแค่ร้อยตรี หรือร้อยโท ยังพอที่จะให้อภัยได้ การทำแบบนี้จะเสียไปที่ตัวเขาเอง เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง “ส่วนตัวดูว่าฝ่ายค้านอภิปรายดี ตรงประเด็น แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องการเมือง วันแรกที่เขากล่าวหาผม 3 เรื่อง แต่วันสุดท้ายก็สรุปอย่างนั้น เหมือนกับว่าที่ผมชี้แจงไปไม่มีประโยชน์เลย เหมือนเป็นสร้างความเข้าใจผิดให้แก่คนที่ไม่ทราบเรื่องมาก่อน จึงคิดว่าอยู่นิ่งไม่ได้กับข้อกล่าวหาดังกล่าว ทั้งนี้ การที่ฝ่ายค้านพุ่งเป้ามาอภิปรายผม คงเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการที่ผมออกคำสั่งปลด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ออกจากราชการ ในเรื่องของใช้เอกสารเท็จในการเข้าเป็นทหาร นี่คือเรื่องสำคัญ ในประวัติของกระทรวงกลาโหมโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจน้อยมาก แต่ผมก็ไม่ว่ากัน เพราะผมพร้อม และเข้าใจว่าเป็นวิถีทางทางการเมือง เมื่อถามมาก็ตอบ” รมว.กลาโหม กล่าวพล.อ.อ.สุกำพล กล่าวต่อว่า ส่วนการถอดยศนายอภิสิทธิ์ ตนจะดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จ แต่ขณะนี้เรื่องอยู่ในขั้นตอนของศาลปกครอง ดังนั้น ต้องรอการพิจารณาของศาลปกครองเสร็จสิ้นก่อน หากศาลปกครองชี้ว่าเป็นเรื่องของวินัยทหาร ตนจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ซึ่งขณะนี้ คำสั่งที่ 2 ได้ออกมาแล้วคือ การปลดนายอภิสิทธิ์ออกจากการเป็นนายทหารสัญญาบัตร อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากพูดว่า การดำเนินการของฝ่ายค้านเป็นการผูกใจเจ็บหรือไม่ เพราะตนเป็นลูกผู้ชายพอ จึงอยากให้ดูกันเอาเอง พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวต่อไปว่า ส่วนประเด็นของกองทัพเรือคัดเลือกบริษัท มาร์ซัน จำกัด ทำการต่อเรือสนับสนุนการปฏิบัติการทางเรือจำนวน 3 ลำ วงเงิน 553 ล้านบาท โดยใช้วิธีพิเศษนั้น ไม่ถูกต้อง จนถูกร้องเรียน และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินกำลังตรวจ และ ประเด็นที่ 3 คือโครงการปรับปรุงเรือฟริเกต ชุดเรือหลวงนเรศวร และเรือหลวงตากสิน ของกองทัพเรือ มีการเปลี่ยนแปลงระบบเป้าลวง จากระเบิด SAGEM เป็นระบบ TERMA โดยที่ราคาทั้งสองระบบแตกต่างกันมาก ทำให้มีการทุจริต 1,000 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่า เป็นการกล่าวหาที่เกินจริง เพราะราคาจริงแค่ 2,700 ล้านบาท ซึ่งการที่ฝ่ายค้านมาบอกว่า ตนได้เงินทอนถึง 1,000 ล้านบาท ดูจะมากเกินไป ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแค่ 1,000 บาทเท่านั้น ซึ่งการพูดแบบนั้นเป็นการเอามันเท่านั้น แต่ทำให้ตนเสียหาย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอชมฝ่ายค้านที่หาข้อมูลเก่ง เนื่องจากเก่งในเรื่องที่เป็นฝ่ายค้านแล้ว บวกกับนายทหารที่นิสัยไม่ดีบางคนเอาข้อมูลไปให้ ยอมรับว่าเรื่องประเด็นเป้าลวงตนไม่ได้คิดว่าฝ่ายค้านจะนำมาอภิปรายจึงไมได้เตรียมข้อมูล “ทั้ง 3 เรื่อง ขอให้สื่อมวลชนช่วยแก้ข่าวให้ผมด้วยว่า ที่ผมพูดเป็นจริง ไม่ใช่ว่าผมชี้แจงไปอย่างไรก็ไม่สน อย่างนี้มันไม่แฟร์ และเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องบอกว่าอภิปรายเรื่องอะไร เหมือนมวยชกกันว่าชกที่ไหน อย่างไร แต่นี่บอกว่า ชกกัน แต่ไม่บอกว่า ชกที่ไหน อย่างไร มันไม่ถูก ถ้าแน่จริงจะเอาอย่างไรก็บอกกัน พอถึงวันจริงจะให้ชี้แจงยิบ ถ้า รมว.กลาโหม รู้ขนาดนั้นก็เก่งแล้ว ผมเก็งข้อสอบถูก เรื่องเรือสนับสนุนการปฏิบัติการทางเรือ 3 ลำ แต่พอเรื่องเป้าลวงไม่รู้เรื่อง จึงต้องขอบคุณกองทัพเรือที่ช่วยส่งข้อมูลมาให้ แต่ผมมั่นใจว่าการเซ็นอนุมัติให้กองทัพเรือจัดซื้อมีความถูกต้องและเคลียร์ ถือเป็นสิ่งผมกล้าตัดสินใจ ทั้งนี้ ผมขอปฏิเสธทั้ง 3 ข้อกล่าวหา ล้วนไม่มีมูลความจริงและไม่มีความถูกต้อง เป็นเพียงการนำข้อมูลบางส่วนมากล่าวหาเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ผมชี้แจงไปในสภาหมดแล้ว แต่ทางฝ่ายค้านยังสรุปเหมาว่า ผมผิด และจะนำเรื่องไปร้องที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งผมก็พร้อมที่จะไปชี้แจง” พล.อ.อ.สุกำพล ระบุ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ตนดูแลงานด้านความมั่นคง สำหรับปัญหาในการดูแลความปลอดภัยของครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนมองว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดปัญหา ถ้าหากครูทำตามขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ไม่ออกนอกเส้นทาง เพราะการออกนอกเส้นทาง ถือเป็นความสุ่มเสี่ยงจนเป็นภัยต่อชีวิต ทั้งนี้ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ความจริงมีเพียง 15% ของพื้นที่ทั้งหมด ทางด้าน พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ทาง พล.อ.อ.สุกำพล ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดทางวินัย จากกรณีที่ฝ่ายค้าน นำคลิปเสียงการประชุมแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารมาเปิดในการอภิรายไม่ไว้วางใจ ทั้งหมด 18 คน โดยมีรองปลัดกระทรวงกลาโหม 4 คนเป็นกรรมการ และ พล.ท.พินิจ ฉัตรเสถียรพงศ์ รองเจ้ากรมเสมียนตรา เป็นเลขาฯ โดยกรอบการทำงานเป็นเรื่องของวินัยทั้งหมด อะไรที่อยู่ในคำว่า วินัย ตรงนั้นตรวจสอบได้หมด ส่วนกรณีที่ พล.อ.เสถียร ได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็จะมีทีมงานเจ้าหน้าที่ของกรมพระธรรมนูญอยู่ เพื่อให้คำปรึกษาในรูปแบบวิธีว่าจะทำอย่างไรสำหรับท่านที่เกษียณไปแล้ว ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎระเบียบ ทั้งนี้ื เบื้องต้นสิ่งที่เกิดขึ้น ตามที่เราได้รับข้อมูลมาว่า มีใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร มีเป็นกลุ่มแยกเป็นบุคคล ในหลักการต้องเชิญมาสอบปากคำทั้งหมด ซึ่งระยะเวลาในการดำเนินการจะต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีความเกี่ยวพันต่อเนื่องกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาใน 2-3 วันนี้ “คณะกรรมการมีหน้าที่ตรวจสอบค้นหาความจริง แล้วที่ประชุมทั้งหมดจะมีการเสนอต่อ ท่าน รมว.กลาโหม ที่แต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ต่อไป หากพบความผิดคณะกรรมการจะต้องมาดูอีกว่า ด้วยความผิดในลักษณะนี้ มีบทลงโทษอย่างไร แค่ไหน แม้การสอบสวนครั้งนี้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.14 ทั้ง พล.อ.ชาตรี ทัตติ จเรทหารทั่วไป และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ผมก็ไม่หนักใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อมีคำสั่งออกมาก็ต้องทำ ทั้งนี้ ยังไม่สามารถพูดได้ว่า จะสอบสวนแล้วพบว่ามีความผิดจริงจะต้องมีการปลดออกจากราชการ หรือถอดยศหรือไม่ เพราะต้องมีการตรวจสอบดูว่าอะไรจริง หรือไม่จริงอีกครั้งหนึ่งก่อน” พล.อ.นิพัทธ์ กล่าว.

No comments:

Post a Comment

Blog Archive